ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 135 คิดจะจับเสือมือเปล่าเหรอ?
ตอนที่ 135 คิดจะจับเสือมือเปล่าเหรอ?
ไม่กี่วันต่อมาจี้เจี้ยนอวิ๋นก็แวะมาดูสภาพของเขา ทันทีที่เลิกงานก็จะลากเขามาเป็นคู่ซ้อมมวยเสมอ ดูสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนรักกันไม่มีผิด
ซูจิ้นจวินถึงกับขาสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นจี้เจี้ยนอวิ๋น
เมื่อก่อนเขาแค่คิดว่าน้องเขยคนนี้น่ารำคาญและมักชอบมาเจ้ากี้เจ้าการ บอกว่านิสัยแบบนี้จะรอดไปได้สักกี่น้ำ เขาจึงรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายเข้าไส้ แต่เมื่อโดนอีกฝ่ายทารุณอย่างหนักเมื่อวาน ตอนนี้เขาจึงนึกกลัวน้องเขยขึ้นมาไม่น้อยแทน
เมื่อจี้เจี้ยนเหอ สวี่อ้ายตั๋ง และจี้หงจวิน เห็นว่าเขาถูกจี้เจี้ยนอวิ๋นพาไปซ้อมมวยก็นึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
หากแต่ไม่ได้อิจฉาเพราะเขาไม่ต้องทำงาน
แม้งานบนเขาจะหนักแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับชายบึกบึนเหล่านี้
พวกเขาจะทำงานไปพูดคุยกับคุณพ่อกับคุณแม่จี้ไป หรือจะลงเขาไปทำไร่ของตัวเองก็ได้ ซึ่งถือว่าสะดวกสบายยิ่งนัก
แต่พวกเขาก็ไม่ทำเช่นนั้น ทุกคนต่างขยันขันแข็ง ทำงานครบตามเวลา แต่ก็ไม่เลิกงานเย็นเกินไป ปกติก็จะอยู่ราว ๆ ห้าโมงครึ่ง มีบ้างที่จะล่วงเลยไปถึงหกโมงเย็น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นฟ้าก็ยังสว่างอยู่
พวกเขามักจะทำงานในสวนให้เสร็จในเวลาตามที่ควรเป็นก่อนจะค่ำมืดเสียก่อน
ผิดกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มักทำงานจนต้องกลับบ้านค่ำมืดโดยไม่จำเป็น
ที่พวกเขาอิจฉาซูจิ้นจวินคือการที่ได้เรียนรู้วิชามวยจากเจี้ยนอวิ๋นต่างหาก มันคือทักษะที่เอาไปใช้ดูแลสวนได้จริง หากทำได้คงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาแย่งตำแหน่งคนงานประจำของพวกเขาไป
เมื่อซูจิ้นจวินเห็นว่าตนเองเป็นที่อิจฉาก็นึกกระหยิ่มใจ “เจี้ยนอวิ๋น เจี้ยนอวิ๋นอ่า ฟังฉันนะ นายไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่อู้เด็ดขาด จะตั้งใจทำงานสุดตัวเลย!”
“ผมรู้ครับ ผมไม่ได้จะจับผิดอะไรพี่หรอก แต่เพราะว่าพี่ไม่ค่อยมีแรงก็เลยต้องให้มาฝึกไม่ใช่เหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
หลังจากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น และซูจิ้นจวินก็ไม่คิดโอดครวญอะไรออกมาอีก
การรับมือกับคนเจ้าปัญหาแบบนี้ ต้องกำราบให้หลาบจำจะได้ไม่กล้าขี้เกียจ ไม่อย่างนั้นก็จะกลับไปทำตัวแบบเดิมอีก นี่เป็นวิธีการสั่งสอนขั้นเด็ดขาดตามแบบฉบับจี้เจี้ยนอวิ๋น ที่จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ช่วงนี้ซูจิ้นจวินจึงไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากซ้อมมวยจนน่วมทั้งวันโดยไม่ได้พัก ทั้งท่าย่างเหยาะ กระโดดกบ และอื่น ๆ ที่แทบจะหืดขึ้นคอ
จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับต้องขับรถมาส่งเพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินแล้ว
ทุกคนที่เห็นต่างก็บอกว่าเจี้ยนอวิ๋นมีบุญคุณกับพี่ชายคนนี้มาก คุณแม่ซูทำบุญอะไรมาถึงโชคดีมีลูกเขยดีขนาดนี้? ดีกว่าลูกชายแท้ ๆ เสียอีก
ซูตานหงเองก็ได้ยินเรื่องที่ชาวบ้านพูดกัน ก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้ทุกคนชื่นชมคุณที่ช่วยซ้อมมวยให้พี่ใหญ่กันหมดเลยนะคะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยกยิ้ม “แล้วมันไม่ดีกับพี่ใหญ่เหรอครับ? รู้ไหมว่าข้อต่อเขาขึ้นสนิมหมดแล้ว ผมก็ต้องช่วยเขาขัดออกสักหน่อยสิ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับภรรยา ผมคอยดูอยู่ มันแค่ดูเจ็บแต่ไม่ได้เจ็บจริง ๆ หรอก”
“ฉันรู้ค่ะ” เธอไม่ได้ห่วงว่าพี่ชายจะเจ็บตัวหรือไม่ “แต่ถ้าวันนี้เขามีสภาพแบบนี้ พรุ่งนี้ก็อาจไม่ไหวก็ได้นะคะ”
“ผมมีแผนแล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะขับรถไปรับเขามาทำงานเอง!” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
เธอหลุดหัวเราะออกทันที เห็นทีซูจิ้นจวินคงไม่มีโอกาสได้พักหายใจหายคออีกแล้ว แต่มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น หากคิดจะดัดนิสัยขี้เกียจของเขาก็ต้องทำให้เด็ดขาด
“เย็นนี้คุณทำอะไรกินเหรอครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
แม้ว่าเขาจะหมั่นออกกำลังกายเองหลังปลดประจำการออกมา แต่ก็ไม่มากเท่าตอนที่เป็นทหารอยู่ ทว่าหลังจากต้องมาฝึกซ้อมให้ซูจิ้นจวินก็พลอยทำให้เขาต้องฝึกหนักไปด้วย
ตอนนี้จึงหิวมากแล้ว
“ฉันตุ๋นไก่เอาไว้ค่ะ ว่าจะนึ่งปลาที่คุณจับมาเมื่อวานมากินคู่กับมันฝรั่งเส้นอยู่” ซูตานหงตอบ
“มิน่าล่ะ ผมถึงได้กลิ่นหอมมาแต่ไกลเชียว” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
เธอรู้ว่าเขาคงหิวมากแล้วจึงได้ตักซุปไก่มาให้รองท้อง ก่อนจะเริ่มทำอาหาร
เขาเพลิดเพลินไปกับมื้อเย็นที่ชวนให้อิ่มอกอิ่มใจไม่น้อย วันนี้ครอบครัวของเขาตั้งโต๊ะเร็ว จึงกินเสร็จตั้งแต่เวลาหกโมงครึ่งเท่านั้น
เมื่อช่วงปีใหม่ท้องฟ้ามืดเร็วแต่ตอนนี้กลับยิ่งมืดเร็วยิ่งขึ้น แม้ว่าจะยังดูสลัว ไม่มืดมากเท่าไรก็ตาม
“บรื้น ๆ ๆ”
ตอนนั้นเองที่มีเสียงรถดังขึ้นจากนอกบ้าน
มันคือเสียงรถของเหล่าฉินที่ซูตานหงคุ้นเคยดี
เธอพาเหรินเหรินไปเดินย่อยที่สนามหญ้าเพราะเมื่อเย็นเจ้าตัวน้อยกินไปเยอะ ในขณะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นออกไปต้อนรับแขก
เหล่าฉินอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะร้านในอำเภอที่เปิดตามคำแนะนำของจี้เจี้ยนอวิ๋นคงดำเนินไปได้ราบรื่น
“เจี้ยนอวิ๋น ตอนนี้มีไข่อยู่เท่าไหร่ล่ะ? ฉันจะขอซื้อเพิ่มสักหน่อยน่ะ” อีกฝ่ายถามขึ้น
“อยากได้เท่าไหร่ก็ซื้อได้ตามใจเลยครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
ตอนนี้อากาศอุ่นขึ้น แม่ไก่จึงเริ่มออกไข่แล้ว ทำให้มีไข่ให้ขายมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ที่ร้านเป็นยังไงบ้างครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยถามตอนที่นั่งรถขึ้นไปบนเขาด้วยกันกับอีกฝ่าย
“ไปได้สวยเลยล่ะ คนในอำเภอก็อยากจะซื้อกันทั้งนั้น” เหล่าฉินกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “แต่ว่าเจ้าของที่หน้าเลือดไปหน่อย พอเห็นว่าร้านของฉันขายดีก็อยากจะขึ้นค่าเช่าเสียอย่างนั้น”
จี้เจี้ยนอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ได้สิครับ ตกลงกันไว้ก่อนแล้วไม่ใช่เหรอว่าขอเช่าเป็นรายปี”
“หล่อนบอกว่าไม่คิดว่าจะขายดีขนาดนี้น่ะ” อีกฝ่ายตอบ
“ร้านอยู่ที่ไหนกันครับ? เห็นว่าก็ไม่ได้อยู่ในย่านที่คนพลุกพล่าน ที่ขายดีได้ก็เพราะว่าไข่กับเนื้อไก่ของเรา ที่ส่วนใหญ่เป็นไข่แฝดทั้งนั้น ส่วนเนื้อไก่ก็หอมเป็นพิเศษ” เขาเอ่ย
“นั่นน่ะสิ” ว่าจบเหล่าฉินก็หัวเราะออกมา
ไม่ว่าใครที่เคยซื้อเนื้อไก่กับไข่ไปก็ต่างกลับมาซื้ออีกทั้งนั้น
“ถ้าพอจะซื้อร้านนั้นมาได้ก็ทำเถอะครับ” เป็นจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ออกปากแนะนำ
เหล่าฉินชะงักไป “ซื้อเลยเหรอ? มันแพงมากเลยนะ คงต้องใช้เงินมากโข”
“ผมยังพอมีเงินอยู่ครับ ยังไงก็ลองไปขอซื้อดูก่อน ถ้าเงินไม่พอก็มาหาผมนะครับ” เขายืนกราน
อีกฝ่ายนึกซาบซึ้งจากใจจริงก่อนบอก “ได้เลย!”
ครั้งนี้เหล่าฉินซื้อไข่กลับไปจำนวนมากถึง 5 ตะกร้า ส่วนไก่เป็น ๆ นั้นนำกลับไปไม่มากนัก แค่ 5-6 สุ่ม คิดเป็นไก่เพียง 15 ตัว เพราะไก่ชุดนี้ยังไม่โตเต็มที่ แต่หลังจากนั้นจะมีไก่ที่โตพร้อมขายมากขึ้น
เหล่าฉินเองก็รู้ว่าถ้าจับไก่ไปได้ก็จะมีไก่ให้ขายมากกว่านี้ เพียงแต่ไก่ที่เหลืออยู่นั้นถูกกันไว้ให้ออกไข่ จึงไม่สามารถจับไก่ไปได้มากนัก
แต่เมื่อภรรยาของเขาเห็นไข่ที่นำกลับมาถึงบ้านก็มีท่าทางไม่พอใจ “ไข่จำนวนมากขนาดนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ทำไมจับไก่มาได้น้อยขนาดนี้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเจี้ยนอวิ๋นคิดจะจับเสือมือเปล่าเหรอ? หรือว่าอยากจะขึ้นราคากัน? เหล่าฉิน บอกไว้เลยนะว่าอย่าไปยอมเด็ดขาด!”
………………………………………