ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 194 เขินอายไม่เลิก
ตอนที่ 194 เขินอายไม่เลิก
ไม่ใช่เพียงคุณแม่จี้ที่พูดถึงเรื่องนี้ ครอบครัวคนขายเนื้อหลี่ก็พูดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
น้าหลี่ผู้เป็นแม่ของหลี่จื้อรับหัวหมูมาจากสองพ่อลูกที่กลับมาถึงบ้าน
หากแต่ตอนนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่หัวหมู แต่เป็นการแต่งงานของลูกชายคนเล็กต่างหาก
“เป็นยังไงบ้าง? เจอหล่อนหรือยัง?” น้าหลี่โพล่งถามทันทีที่สองพ่อลูกก้าวพ้นประตูบ้าน
ดูจากคำพูดของน้าหลี่ เห็นได้ชัดว่านางเองก็พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้เช่นกัน
ตอนนี้มีใครไม่รู้จักจี้เจี้ยนอวิ๋นบ้างล่ะ? แม้จะยังไม่ใช่ตระกูลเศรษฐี แต่ก็เป็นคนเพียบพร้อมไม่แพ้ใคร
เขาเคยเป็นทหารมาก่อน หลังจากนั้นก็บาดเจ็บระหว่างทำภารกิจจนต้องปลดประจำการ แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวทำมาหากินได้ จนตอนนี้ชีวิตสุขสบายแล้ว แม้แต่อ่างเก็บน้ำซึ่งเคยเป็นของส่วนกลาง เขาก็เป็นคนเช่าไว้ เรียกได้ว่ามีความสามารถไม่น้อย
พอครั้งนี้น้าไช่บอกว่าจะทาบทามน้องสาวของเขาให้กับลูกชายคนรอง น้าหลี่จึงอดยินดีไม่ได้
น้าไช่เป็นแม่สื่อให้ครอบครัวนางมานาน สะใภ้คนโตที่น้าไช่แนะนำให้ก็เป็นที่น่าพอใจของนางมาก คราวนี้ทาบทามน้องสาวของจี้เจี้ยนอวิ๋นให้ จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรกัน?
เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังเรียนวิทยาลัยอยู่ ถือว่าการศึกษาสูงทีเดียว
อย่างน้อยในด้านนี้ก็นับว่าเหมาะสมกัน
“เจอแล้วครับ” หลี่จื้อบอกเสียงอ้อมแอ้ม
“หล่อนเป็นยังไงบ้างล่ะ?” น้าหลี่ถาม แม้ความจริงจะเคยเจอจี้อวิ๋นอวิ๋นและรู้สึกถูกใจไม่น้อยก็ตาม หากแต่ยังไม่รู้ว่าลูกชายจะคิดอย่างไรกับอีกฝ่าย
ตอนนี้ลูกคนเล็กอายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว วัน ๆ เอาแต่ทำงานจึงไม่ได้แต่งงานเสียที รู้ตัวอีกทีก็อายุย่างเข้า 27 แล้ว จะปล่อยให้ชักช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกต่อไป!
แถมการแต่งงานครั้งนี้ก็ดีด้วย น้าหลี่ถึงได้สนับสนุนอย่างถึงที่สุด
“หล่อนก็น่ารักดีครับ” ว่าจบแล้วหลี่จื้อก็คว้าหัวหมูเข้าไปเก็บในครัว
“เขาคงมีใจให้หล่อนน่ะสิ” คนขายเนื้อหลี่บอกพร้อมยิ้มขำ
“ดีแล้วค่ะ ชอบก็ดีสิคะ!” น้าหลี่มีท่าทางสุขล้นจนเอ่ยซ้ำไปมาและเอ่ย “แล้วคุณคิดว่าทางนั้นว่ายังไงบ้างคะ?”
“ก็ดูชอบลูกเราอยู่นะ” คนขายเนื้อหลี่ตอบ “ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้หัวหมูมาหรอก”
เขารับจ้างชำแหละหมูมานาน นอกจากค่าจ้างแล้วก็ไม่เคยมีใครให้ของตอบแทนมาก่อน อย่างสุภาพที่สุดก็ให้เพียงเครื่องในหมูมา ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนแรกที่ให้หัวหมูกับเขา
เป็นสัญญาณบอกชัดว่าครอบครัวจี้พอใจในตัวหลี่จื้อ
น้าหลี่บอก “งั้นฉันจะไปคุยกับพี่ไช่นะคะ”
เพราะเป็นเรื่องการแต่งงานของลูกชายคนเล็ก จึงต้องเร่งจัดการให้เร็วที่สุด หากรอจนล่วงเลยยาวไปถึงปีใหม่ปีหน้าคงเตรียมงานแต่งไม่ทันแล้ว หลังปีใหม่เดือนแรกย่อมไม่ต้องพูดถึง เดือนสองก็ไม่ดี ถ้าถึงเดือนสามก็เตรียมแต่งงานกับคนอื่นเสียเถอะ
หากรีบแต่งงานกันได้ นางก็จะได้อุ้มหลานชายหรือหลานสาวในปีหน้า
น้าหลี่ทิ้งให้สองพ่อลูกจัดการหัวหมู ส่วนครอบครัวลูกชายคนโตยังต้องอยู่ดูแลร้านในเมือง เพราะตอนนี้ใกล้สิ้นปีแล้วลูกค้าจึงมากเป็นพิเศษ
ตัวนางเองกำลังจะไปหาน้าไช่ แต่น้าไช่กลับบังเอิญมาหาเสียก่อน
ทั้งสองพี่น้องไม่เกรงใจต่อกัน พากันจับมือเดินกลับมา
“คุณน้องคะ พี่มีเรื่องหนึ่งจะมาบอก ครอบครัวจี้ชอบหลี่จื้อมากเลยล่ะ แต่พี่ไม่รู้ว่าหลี่จื้อเจออวิ๋นอวิ๋นแล้วจะชอบหรือเปล่าน่ะสิ?” น้าไช่เอ่ย
คำพูดนั้นของน้าไช่เหมือนกับยาที่ช่วยประโลมใจน้าหลี่
แม้จะคาดเดาไว้แล้วว่าตระกูลจี้น่าจะพอใจในตัวลูกชายตน แต่เมื่อได้ยินจากปากน้าไช่ก็ทำให้น้าหลี่มั่นใจมากขึ้น
หากฝ่ายตระกูลจี้ไม่มาบอก น้าไช่ก็คงไม่มาหาเป็นการเฉพาะแบบนี้
น้าหลี่ยกยิ้มก่อนบอก “เดี๋ยวฉันจะให้ลูกมาบอกด้วยตัวเองแล้วกันนะคะ”
นางเรียกหลี่จื้อออกมา เจ้าตัวออกอาการเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นน้าไช่ หากแต่ก็ยืนกรานหนักแน่น “คุณป้าครับ ผมไม่รู้ว่าหล่อนคิดยังไงกับผมเหมือนกัน แต่ผมก็อยากทำความรู้จักหล่อนให้มากกว่านี้จริง ๆ นะครับ”
“ป้ารู้จ้ะว่าเธอเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคงไม่หาคู่ให้หรอก เธอก็รู้จักพี่ชายบ้านนั้นดีนี่ ทั้งจี้เจี้ยนกั๋วพี่ใหญ่ จี้เจี้ยนเยี่ยพี่รองที่คอยขับรถส่งของอยู่ จี้เจี้ยนเหวินพี่สี่ที่ตอนนี้สอนหนังสืออยู่ที่เจียงสุ่ย แล้วก็จี้เจี้ยนอวิ๋นพี่สามที่ให้หัวหมูเธอกลับมา อวิ๋นอวิ๋นน่ะเป็นลูกสาวคนเดียวแถมยังเป็นคนสุดท้องด้วย จะเอาแต่ใจไปหน่อยก็ไม่แปลกหรอก เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ แต่งงานกันไปหนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันเถอะนะ” น้าไช่พูดพร้อมรอยยิ้ม
แม้ว่าชื่อเสียงของจี้อวิ๋นอวิ๋นจะดูไม่ดีนักในสายตาชาวบ้าน แต่น้าไช่ไม่ได้เอามาใส่ใจแต่อย่างใด สำหรับนางแล้วหล่อนแค่เอาแต่ใจไปเสียหน่อย แต่งงานไปเดี๋ยวก็จะปรับตัวได้เอง ไม่มีประโยชน์จะต้องมากังวลเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?
เรียกได้ว่าหล่อนคงมีชีวิตสุขสบายหากได้แต่งงานกับผู้ชายอย่างหลี่จื้อ ผู้หญิงทั้งหมู่บ้านจะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน
“คุณน้า ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลหล่อนให้ดี” หลี่จื้อรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
น้าไช่ยิ่งดีใจขึ้นไปอีก หากไม่ติดว่าหลานสาวนางอายุเพียง 16 ซึ่งเด็กเกินกว่าจะแต่งงานตอนนี้ นางคงจะแนะนำให้เขาแต่งงานกับหลานตัวเองไปแล้ว
น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงเวลา
“ปีนี้คงจัดงานไม่ทันแล้ว แต่เตรียมการรอไว้ก่อนได้ เดือนหนึ่งกับเดือนสองก็คงไม่เหมาะ ลองเลือกฤกษ์ดีช่วงเดือนสามมาสักวันสิ ดีไหม?” น้าไช่แนะ
“เอาอย่างที่พี่ว่านั่นแหละค่ะ!” น้าหลี่โพล่งขึ้นเพราะเห็นด้วยกับน้าไช่เต็มที่
“เสี่ยวจื้อ* ช่วงนี้เธอก็ลองไปทำความรู้จักอวิ๋นอวิ๋นดูนะ ไปลองคิดดูดี ๆ ป้าเลือกแต่คนดี ๆ มาให้อยู่แล้วหละ จะยอมให้ตัวเองเสียชื่อได้ยังไงล่ะ ไม่งั้นขายหน้าคนอื่นแย่ แต่คนหนุ่มสาวสมัยนี้ก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เธอก็ลองคิดดูให้ดี ๆ ก่อนตัดสินใจแล้วกันนะ ถ้าตกลงไปแล้วยกเลิกทีหลัง สองครอบครัวจะผิดใจกัน แล้วจะเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่า” น้าไช่เอ่ย
*เสี่ยวจื้อ = ใช้เรียกหลี่จื้อในเชิงเอ็นดูเป็นลูกเป็นหลาน
“ครับ” หลี่จื้อพยักหน้ารับ
“ตอนนี้สังคมเปิดกว้างขึ้นแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน ถ้าชอบพอกันหลังจากฆ่าหมูเสร็จ ก็พาหล่อนไปเดินเที่ยวในเมืองหรือชานเมืองบ้างสิ จะได้รู้จักกันมากขึ้นไง” น้าไช่ออกปากแนะนำ
พูดคุยธุระจบแล้วน้าไช่ก็เดินทางกลับ
น้าหลี่แบ่งหูหมูให้ก่อนจะกลับแต่น้าไช่ขอไม่รับไว้ ด้วยอยากเก็บไว้ให้ลูกหลานได้กินมากกว่า จบเรื่องการแต่งงานแล้วค่อยตอบแทนนางก็ยังไม่สาย
ไม่กี่วันต่อมา คนขายเนื้อหลี่จึงมาช่วยจี้เจี้ยนอวิ๋นชำแหละหมู เช่นเดียวกับหลี่จื้อซึ่งจี้อวิ๋นอวิ๋นไม่คิดว่าจะตามมาช่วยด้วย เพราะในสายตาคนภายนอก พวกเขาดูไม่ได้สนิทสนมกัน หากแต่กลับเป็นที่รู้กันดีในหมู่คนที่พอทราบเรื่อง ว่าพวกเขาเขินอายกันไม่เลิก
การกระทำน่ารักชวนเขินอายนั้นเรียกรอยยิ้มของพวกเขาเมื่อได้เห็น