ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 200 ไม่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น
ตอนที่ 200 ไม่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น
อันที่จริงจี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงคิดจะช่วยเหลือซุนต้าซานกับเหอเจี่ยอยู่แล้ว
อีกทั้งการสนับสนุนให้ทั้งครอบครัวได้ย้ายมาอยู่พร้อมหน้ากัน ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ในภายภาคหน้าของพวกเขาเช่นกัน
หากซุนต้าซานกับเหอเจี่ยลงหลักปักฐานที่เมืองมหาวิทยาลัย เมื่อถึงวัยที่เหรินเหรินกับฉีฉีต้องเข้าเรียนก็ยังพอไหว้วานให้ช่วยดูแลได้
จี้เจี้ยนอวิ๋นปรึกษาเรื่องนี้กับซูตานหง และตกลงกันไว้ว่าจะส่งสองพี่น้องไปเรียนชั้นมัธยมในเมืองมหาวิทยาลัย หลังเรียนจบชั้นประถมที่โรงเรียนแถวนี้ โดยให้พวกเขากลับมาบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ จี้เจี้ยนเยี่ยต้องขับรถรับส่งของอยู่แล้ว การไปรับส่งพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็น
ส่วนช่วงเวลาอื่นที่ต้องการคนคอยดูแลนั้น ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยก็นับว่าเป็นคนที่เหมาะสม
ดังนั้นการให้พวกเขายืมเงินไปซื้อบ้านเพื่อตั้งรกรากในเมืองมหาวิทยาลัยจึงเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกตรงที่มีทำเลใกล้ร้านค้าเป็นหลัก ซึ่งก็เห็นว่าแถวนั้นมีที่น่าสนใจอยู่ 2 ที่
เพียงแต่ตอนนี้มีคนเช่าไปแล้ว
ห้องชุดในเมืองเจียงสุ่ยเองก็เช่นกัน
ค่าเช่าต่อปีของทั้ง 3 ที่นั้นราคาสูงถึงเกือบ 300 ถึง 400 หยวน
ด้วยตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชน จึงเป็นธรรมดาที่ค่าเช่าจะแพง คนที่มีปัญญาเช่าได้เห็นจะมีเพียงคนมีฐานะเท่านั้น อีกทั้งบ้านที่เหลือในชุมชนยังถูกขายไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีห้องชุดใหม่ ๆ ในพื้นที่แถบนั้นเหลืออยู่บ้าง ซึ่งใช้เวลาสร้างไม่นานนัก พอที่ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยจะซื้อได้สักชุด
ตอนนี้บ้านในเมืองมหาวิทยาลัยแพงมาก แม้จะไม่ได้ขึ้นราคาพรวดพราด แต่ก็เป็นราคาที่ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยไม่อาจเอื้อมถึง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยื่นมือเข้ามาช่วย
จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มกลับมาทำงานในวันที่ 6 หลังผ่านพ้นช่วงปีใหม่มา
เขาประกาศขึ้นเงินเดือนจาก 30 เป็น 35 หยวนในวันนั้น
แม้การขึ้นค่าจ้างถึง 5 หยวนจะดูมาก แต่เมื่อเทียบกับที่โรงงานให้แล้วนั้นถือว่าไม่มากนัก เพราะพวกเขาขึ้นให้มากกว่า 20 หยวนเสียอีก และที่จี้เจี้ยนอวิ๋นขึ้นเงินเดือนให้ย่อมหมายความว่าปีนี้จะต้องทำงานหนักขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างเช่นการที่เขาไม่คิดจะจ้างคนงานมาดูแลสวน 30 หมู่เพิ่ม แต่กลับใช้วิธีดึงคนงานในสวนสลับกันลงมาทำงานแทน
เพราะสวนแห่งแรกมีพ่อแม่เขาคอยดูแลอยู่ ในเมื่อมีพวกท่านอยู่ ดังนั้นเหลือคนงาน 1 คนไว้เก็บกวาดเล้าไก่และคอกแกะก็เพียงพอแล้ว
สวนอีกแห่งก็มีคุณลุงจี้ผู้เชี่ยวชาญดูแลอยู่ วัน ๆ เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายอยู่นิ่งเฉย เอาแต่หาเรื่องทำโน่นนี่ไปเรื่อย จนบางครั้งเขารู้สึกผิดเมื่อเห็นดังนั้น ถึงได้เอาอาหารที่ภรรยาเตรียมมาขึ้นไปฝากบ่อย ๆ
มีคุณลุงจี้กับหยางอ้ายเซินและคนอื่น ๆ คอยช่วย จึงไม่ต้องห่วงเรื่องงานสวน ทั้งการจัดการเก็บปุ๋ยคอกและงานอื่น ๆ ล้วนเป็นไปอย่างดี
ทันทีที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน บรรดาพืชพรรณที่ลงกล้าไว้ก็งอกงามแข็งแรง
ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสาม
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การปลูกมันหวาน เจี้ยนอวิ๋นแบ่งไปปลูกข้าวครึ่งหนึ่งจากพื้นที่ 30 หมู่ อีก 8 หมู่ใช้ปลูกมันหวาน ส่วนที่เหลือคือธัญพืชต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ และอื่น ๆ
ขณะที่ทุกคนต่างยุ่งกับการทำงาน จี้เจี้ยนอวิ๋นขนลูกปลาไปที่อ่างเก็บน้ำ โดยมีซูตานหง เหรินเหรินและฉีฉีตามไปด้วย
เมื่อได้เห็นอ่างเก็บน้ำของตนเป็นครั้งแรก เหรินเหรินก็มีท่าทางตื่นตาตื่นใจ มือชี้ไปทางอ่างเก็บน้ำก่อนถาม “แม่ครับ นี่ของบ้านเราเหรอ?”
“จ้ะ ของบ้านเราเอง” ซูตานหงยกยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มออกมาเช่นกัน “พอเหรินเหรินโตขึ้นก็ต้องมาช่วยดูแลที่นี่ด้วยนะครับ พ่อทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”
“ครับ” เหรินเหรินพยักหน้ารับคำ
ฉีฉีเองก็ดูร่าเริงไม่น้อย ตอนนี้เขาพูดได้บ้างแล้วจึงตบมือพลางตะโกนว่าปลา ๆ ไปด้วย
ซูตานหงอุ้มเขาเอาไว้และเอื้อมมือไปแตะน้ำเพื่อเติมน้ำพุวิเศษลงไป
ฉีฉีสนุกสนานเมื่อได้แตะตัวปลา ก่อนพยายามดิ้นลงมาด้วยหวังจะได้จับเต็มไม้เต็มมือกว่านี้
ซูตานหงปล่อยเขาลง ตอนนี้เจ้าตัวน้อยอายุเกือบ 1 ขวบ แม้ยังเดินได้ไม่แข็งดีแต่ก็ถือว่าก้าวได้มั่นคงแล้ว
“พี่ พี่” เขาเรียกพี่ชายให้มาดูปลาด้วยกัน
เหรินเหรินดูท่าจะตื่นเต้นมาก สองพี่น้องพากันไปดูปลา ฉีฉีดูคึกคักไม่น้อย เขาเริ่มเอามื้อไปแตะเพราะอดใจไม่ไหว
ซูตานหงมีรอยยิ้มผุดบนใบหน้า นอกจากจะพาลูก ๆ มาเที่ยวและเติมน้ำพุวิเศษลงในอ่างเก็บน้ำ จี้เจี้ยนอวิ๋นยังเอาปลามาปล่อยในอ่างเก็บน้ำ พร้อมคนงานใหม่จากหมู่บ้านซูเจี่ยและหมู่บ้านต้าวา
จี้เจี้ยนอวิ๋นตั้งใจคัดเลือกคนจากหมู่บ้านต้าวาด้วยตัวเอง เขาคัดคนโดยดูจากลักษณะนิสัยและสภาพครอบครัว ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าจ้างอย่างแน่นอน
ส่วนคนงานจากหมู่บ้านซูเจี่ยนั้นแม่ยายของเขาเป็นคนช่วยแนะนำให้
และคนที่นางเลือกมาให้ก็คือซูอันปัง
ซูอันปังเป็นชายหนุ่มอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น เขาเพิ่งแต่งภรรยาไปเมื่อปีก่อน แม้ปีนี้ภรรยาจะตั้งท้องแก่แล้ว แต่ครอบครัวก็ยังขัดสนเรื่องเงินทองอยู่
หากแต่เหตุผลหลักที่คุณแม่ซูแนะนำเขาให้เป็นเพราะซูอันปังนั้นสนิทสนมกับครอบครัวซู เขามีปู่คนเดียวกับซูตานหง หากแต่สำหรับคนรุ่นนี้ทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเพียงญาติห่าง ๆ กันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ยังนับเป็นญาติจึงยังติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ
อีกทั้งซูอันปังยังเป็นคนขยันขันแข็งและไม่เกี่ยงงาน ถึงจะไม่คล่องแคล่วนักแต่ก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล่อน คนหมู่บ้านเดียวกันจะไม่รู้นิสัยกันได้อย่างไรล่ะ?
เมื่อได้ยินว่าลูกเขยขาดคนงานจึงรีบแนะนำซูอันปังให้
แม้ปีนี้จะมีการขึ้นเงินเดือน แต่มีเพียงคนงานเก่าเท่านั้นที่จะได้ขึ้นค่าแรง คนงานใหม่จะขึ้นเงินเดือนให้ทีละขั้นในภายหลัง คุณลุงสวี่กับซูอันปังซึ่งเป็นคนงานใหม่จึงได้เงินเดือน 30 หยวนเท่านั้น
คุณแม่ซูจึงมั่นใจว่าต่อไปเขาจะได้เงินเดือนเท่าคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน พร้อมบอกให้เขาตั้งใจทำงาน ลูกเขยของนางไม่มีทางกดขี่ข่มเหงอย่างแน่นอน
อีกทั้งเงินเดือน 30 หยวนก็นับว่ามากแล้ว ต่อให้แบ่งไปซื้อเนื้อกินบ้างก็ยังเหลือกินเหลือใช้หากงดกินเนื้อไปครึ่งเดือน เป็นเงินไม่น้อยทีเดียว
ส่วนภรรยาของซูอันปังซึ่งกำลังท้องแก่อยู่ที่บ้าน จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้จัดการอะไร นอกจากให้ค่าจ้างลุงสวี่เพิ่ม 2 หยวนต่อเดือน รวมแล้วเขาจึงได้เงินถึง 32 หยวน แลกกับการเฝ้าอ่างเก็บน้ำเพียงลำพัง
อันที่จริงตอนนี้อ่างเก็บน้ำไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีทั้งรั้วเหล็กล้อมกั้นอยู่และบ้านพักคนงานที่แข็งแรง นอกจากนี้ลุงสวี่ผู้เป็นคนจากหมู่บ้านต้าวายังเป็นที่รู้จักไม่น้อย หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง เพียงลงมาตะโกนเรียกทุกคนก็พร้อมเข้าช่วยเหลือ
จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกกับลุงสวี่ไว้ว่าสามารถขอลางานได้หากมีธุระ ให้ซูอันปังอยู่เฝ้าคนเดียวสักวันสองวันคงไม่เสียหายอะไร
จี้เจี้ยนอวิ๋นยังได้ซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จากห้างในเมืองมาเตรียมไว้ให้ในบ้านพัก เรียกได้ว่าสามารถกินอยู่อย่างสุขสบาย สมกับที่พูดกันว่าเขาไม่เคยกดขี่ข่มเหงใครจริง ๆ