ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 205 แยมสตรอเบอรี่
ตอนที่ 205 แยมสตรอเบอรี่
จี้อวิ๋นอวิ๋นทิ้งประโยคไว้ว่าใครอยากได้สวนผลไม้ของเธอกัน แล้วจากไปด้วยความฉุนเฉียว
ซูตานหงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ตอนที่คุณแม่จี้กลับมาก็เห็นลูกสาวของนางจากไปแล้ว
“น้องสามีบอกว่าไม่อยากได้สวนผลไม้ของฉันก็เลยกลับไปแล้วค่ะ” สำหรับแม่สามี ซูตานหงเคารพนางอย่างมาก แต่การที่จี้อวิ๋นอวิ๋นจงใจใช้คำพูดเสียดแทงเธอนั่นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จริง ๆ
เธอซื้อนมมอลต์เพื่อมอบให้แม่สามีเป็นการแสดงความกตัญญู ส่วนแม่กับพ่อสามีจะดื่มเองหรือยกให้ใครนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา เธอไม่ได้สนใจนัก
แต่คำพูดประโยคนี้ ซูตานหงพูดให้แม่สามีฟังทันที
คุณแม่จี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อย่าถือสามันเลย ไม่คุ้มที่จะโกรธเพราะเรื่องนังเด็กนั่นหรอก”
นางเห็นแล้วว่าการที่ตนกับสามีคอยตามใจลูกสาวคนสุดท้องมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นลูกสาวของนางกลับกลายเป็นหมาป่าตาขาวเสียได้
หล่อนเอ่ยปากขอนมมอลต์นางก็ยกให้ แต่ต่อหน้าพี่สะใภ้ นังเด็กสารเลวนั่นกลับบอกว่านางยกให้ตัวเองโดยตรง
แม้จะรู้ว่าตานหงไม่เก็บเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาใส่ใจ แต่หัวใจคนเราล้วนมีเนื้อหนังทั้งนั้น คุณแม่จี้เองก็รู้สึกผิดหวังกับตัวลูกสาวที่สามารถทำให้นางขายขี้หน้าโดยไม่เห็นหัวกันแม้แต่น้อย
สำหรับลูกสาวคนนี้ อย่าว่าแต่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กเลย ลองหันมองดูทั้งหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านใกล้เคียงดูเถอะ มีเด็กผู้หญิงสักกี่คนที่ได้ร่ำเรียนตั้งหลายปีอย่างหล่อน?
เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูดถึง ล่าสุดที่แต่งงานออกไป สินสอดทองหมั้นพวกนั้นนางก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ทั้งยังให้เงินแก่หล่อนเป็นการส่วนตัวอีก 300 หยวน
300 หยวน นี่เป็นเงินตั้งเท่าไหร่?
ปีนั้นเจี้ยนเหวินมายืมเงิน 500 หยวนเพื่อซื้อบ้าน สุดท้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ถ้าไม่ใช่เพราะตานหงได้เงินมา 400 หยวนและมอบเงิน 200 หยวนให้แต่ละครอบครัว ปล่อยให้เจี้ยนเหวินจ่ายคืนอีก 300 หยวน เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร?
แต่คราวนี้นางและสามีให้เงินถึง 300 หยวนเพื่อให้ลูกสาวเก็บไว้ใช้
นอกจากนี้พี่ชายของหล่อนยังให้เงินกันอีกคนละ 20 หยวน รวมแล้วได้เงินเกือบ 400 หยวน
ดูเอาเถอะ ลูกสาวที่แต่งงานออกบ้านไป จะมีสักกี่คนที่ได้รับการปฏิบัติเหมือนหล่อน แต่กลับมาทำตัวแบบนี้ได้อย่างไร?
คุณแม่จี้ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ นางไม่อยากจะสนใจแล้วจริง ๆ ในเมื่อแต่งงานแล้ว สุดท้ายจะดีจะร้ายก็ให้รู้เอาเอง
ซูตานหงไม่ได้อธิบายอะไรมาก ถึงอย่างไรแม่สามีของเธอก็น่าจะพอดูออก เธอไม่สามารถพูดอะไรดี ๆ ถึงน้องสามีคนนี้ได้อีก ดังนั้นบางเรื่องจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนมากเกินไป
หลังจากได้รับสตรอเบอรี่ลูกสีแดงสด ซูตานหงก็ลงจากภูเขา
ตอนนี้คุณแม่ซูค่อนข้างว่าง อีกทั้งยังเป็นฤดูเก็บเกี่ยวสตรอเบอรี่ หญิงชราจึงมาเป็นแขกของที่นี่
นางนำขนมแป้งเกลียวทอดที่ทำเองมาฝาก 1 ห่อ ขนมแป้งเกลียวทอดนี้กรอบนอก นุ่มใน และมีกลิ่นหอมเป็นอย่างมาก
ทั้งเยียนเอ๋อร์และเหรินเหรินต่างชื่นชอบมันมาก แต่น่าเสียดายที่ซูตานหงไม่ยอมให้พวกเขากินมากเกินไป จากนั้นก็ให้พวกเขาดื่มชาสายน้ำผึ้ง
“จะเข้มงวดอะไรนักหนา แต่ก่อนพวกแกกินแค่นี้ยังไม่พอเลยด้วยซ้ำ” คุณแม่ซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเขายังเด็กกันอยู่นี่คะ ถ้าโตขึ้นอีกหน่อยค่อยกินก็ไม่เป็นไรหรอก เก็บไว้ให้เจี้ยนอวิ๋นกินตอนกลับมาด้วยค่ะ” ซูตานหงตอบ
“เจี้ยนอวิ๋นพาฉีฉีออกไปด้วยเหรอ?” คุณแม่ซูถาม
“พาไปด้วยค่ะ เจ้าเด็กคนนั้นไม่ค่อยชอบอยู่ติดบ้าน ปล่อยให้เขามีความสุขไปก่อนสักพัก อีกไม่นานก็จะเริ่มจับให้หัดอ่านเขียนหนังสือแล้ว” ซูตานหงพูด
คุณแม่ซูรีบแย้งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยิน “เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน รอให้โตอีกหน่อยก็ไม่สายหรอก”
โตกว่านี้จะจับได้ที่ไหนล่ะ?
แต่ซูตานหงไม่ได้โต้เถียงกับแม่ของเธอ และหันไปพูดเรื่องไข่เค็ม “ครั้งก่อนที่แม่สอนทำไข่เค็ม ตอนนี้ขายดีมากเลยนะคะ จนมีไข่เค็มขายในท้องตลาดเยอะขึ้นมากเลยค่ะ”
ไข่เค็มของครอบครัวเธอขายดีอยู่แล้ว เมื่อมีคนทำไข่เค็มมากขึ้น กลับมีแค่ของเธอเจ้าเดียวเท่านั้นที่ทำออกมาได้มันเยิ้มและมีกลิ่นหอม จึงขายดีมากเป็นพิเศษ
คุณแม่ซูยิ้มแก้มแทบปริ “ขายได้ก็ดี ตอนนี้มีฟาร์มไก่ตั้ง 2 ที่ ถ้าขายไข่ได้เยอะก็ถือเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ”
ซูตานหงเดินเข้าไปด้านในเพื่อหยิบกระปุกแยมสตรอเบอรี่ออกมาให้แม่ของเธอชิม “ครั้งก่อนหนูขอให้แม่สามีเก็บสตรอเบอรี่มาให้ หนูเลยลองทำเป็นแยมสตรอเบอรี่ใส่น้ำผึ้ง แม่ลองชิมดูสิคะ”
คุณแม่ซูไม่เกรงใจ ใช้ส้อมจิ้มขึ้นมาชิมแล้วพูด “ตั้งแต่แต่งงาน ฝีมือทำอาหารแกก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้าน ฉันไม่เห็นแกจะทำอะไรไปมากกว่านี้เลย”
ดูนี่สิ สมแล้วที่เป็นลูกสาวของนาง หลังจากแต่งงานแล้วเธอก็สามารถทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งแยมสตรอเบอรี่แบบนี้ยังทำได้
จากนั้นคุณแม่ซูก็นึกขึ้นได้ จึงรีบพูดขึ้นมา “แกทำแยมสตรอเบอรี่ไปขายได้นะ รสชาติแบบนี้ขายดีแน่นอน!”
ซูตานหงไม่คิดทำจริงจังนัก “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าสตรอเบอรี่จะขายไม่ดีสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องทำแยมสตรอเบอรี่ขายหรอกค่ะ”
ถ้าสตรอเบอรี่ขายไม่ได้ตอนนั้นค่อยทำ ทว่าพอถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว สตรอเบอรี่สด ๆ ขายดีทุกวัน จนแทบไม่พอขายด้วยซ้ำ จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
อีกอย่างการทำแยมสตรอเบอร์รี่นี้ลำบากมาก เธอแค่ทำเอาใจคนแก่และเด็ก ๆ เท่านั้น ไม่ได้อยากจะทำงานหนักขนาดนี้
“แต่ถ้าทำแยมสตรอเบอรี่ขาย ราคาจะเพิ่มเป็น 2 เท่าเลยนะ” คุณแม่ซูบอก
“ไม่ต้องพยายามเพิ่มราคาขนาดนั้นหรอกค่ะ มันลำบากมากเกินไป” ซูตานหงกล่าว
คุณแม่ซูเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า*ได้ จึงพูดตอกย้ำเรื่องเดิม “ถ้าแกไม่ได้แต่งงานกับเจี้ยนอวิ๋นและมีเขาคอยตามใจดูแล มีเหรอที่คนขี้เกียจแบบแกจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายแบบนี้? ฝันไปเถอะ!”
* ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้
ซูตานหงไม่สะดุ้งสะเทือน “รู้แล้วค่ะ รู้แล้ว ที่หนูมีชีวิตที่ดีได้ทุกวันนี้ก็เพราะลูกเขยของแม่ พอใจรึยังคะ?”
คุณแม่ซูหัวเราะและสบถออกมา “เดี๋ยวฉันจะเอาแยมกระปุกนี้กลับไปให้หลานชายของแกลองชิมดู”
“แม่มาอยู่กับหนูสัก 2 วันไม่ได้เหรอคะ?”
“ไม่ได้แล้ว” คุณแม่ซูส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่เอากลับไป 2 กระปุกเลยนะคะ อีกกระปุกหนึ่งก็เก็บไว้กินเอง”
“ซูอันปังทำงานที่อ่างเก็บน้ำเป็นยังไงบ้าง?” คุณแม่ซูเอ่ยถาม
“เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าเขาเป็นคนขยันค่ะ ยังชื่นชมแม่ด้วยว่าเลือกคนได้ดี” ซูตานหงยิ้ม
เมื่อได้ยินดังนั้นคุณแม่ซูก็ยิ้มหน้าบาน “สองสามีภรรยานั่นเพิ่งแยกบ้านได้ไม่นาน ตอนนี้ภรรยาของเขาใกล้จะคลอดแล้ว เขาจะยังทํางานได้ดีอยู่ใช่ไหม? แต่เจ้าเด็กอันปังก็เป็นคนมีความสามารถจริง ๆ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่แนะนำให้เขาไปทำหรอก”
“ให้เขารีบทำงานช่วงนี้ให้เสร็จเถอะค่ะ พอภรรยาเขาคลอดลูกก็ให้ลาพักร้อนได้ จากนั้นให้มาทำงานแค่ครึ่งวัน อีกครึ่งวันกลับบ้านไปดูแลลูกกับภรรยาและจ่ายเงินเดือนให้ตามปกติ” ซูตานหงพูด
ไม่นานมานี้ ภูเขา 2 ลูก บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำเพิ่งขุดหลุมเพื่อปลูกต้นกล้าผลไม้ เจี้ยนอวิ๋นขนต้นกล้าผลไม้ทั้งหมดที่ถูกส่งมาไปไว้ที่ฝั่งหนึ่งของอ่างเก็บน้ำแล้ว ตอนนี้เขามักจะเข้าไปดูอยู่บ่อยครั้ง ทั้ง 2 คนกำลังทำงานอยู่และปลูกต้นกล้าผลไม้ตรงภูเขานั้นได้อย่างรวดเร็ว
ซูตานหงวางแผนไว้แล้ว เมื่อใดที่ได้กลับไปที่นั่นอีกก็จะรดน้ำพุวิเศษลงไป
ครั้งที่แล้วตอนจี้เจี้ยนอวิ๋นขนต้นกล้าผลไม้มาไว้ที่บ้าน เธอได้รดมันไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ควรรดอีกครั้งจะดีกว่า
“เรื่องมากอะไรขนาดนั้น ตอนที่ฉันคลอดพี่รองของแกได้ 3 วัน ฉันต้องลุกจากเตียงมาให้อาหารหมูแล้ว” คุณแม่ซูพูด
“นั่นมันเมื่อก่อนนี่คะ ตอนนี้ก็คือตอนนี้” ซูตานหงยิ้ม “ถึงตอนนั้นถ้าแม่ว่างก็เข้าไปช่วยดูหน่อยนะคะ ยังไงก็มีปู่คนเดียวกัน น่าจะดีถ้าสนิทสนมกันให้มากขึ้นสักหน่อย”
ญาติที่ขยันขันแข็งแบบนี้ไม่ได้มีมากนัก