ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 22 เมื่อเป็นหลวงไม่ได้ก็ขอเป็นน้อย
ตอนที่ 22 เมื่อเป็นหลวงไม่ได้ก็ขอเป็นน้อย
จี้อวิ๋นอวิ๋นหัวเราะแล้วกล่าวเย้ยหยัน “พี่สะใภ้อย่าได้ดูเบาผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้หล่อนเป็นนางจิ้งจอกที่ทรงพลังอย่างมาก ถึงขนาดเอาชนะใจคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว ถ้าพี่ว่าร้ายหล่อนต่อหน้าพวกเขา พี่จะมีความผิดถึงตายเลยทีเดียว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” อวิ๋นลี่ลี่เลิกคิ้วถาม
“หรือไม่ใช่กันคะ หล่อนเพิ่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะฉันไป เย็นนี้หล่อนจะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย พี่สะใภ้สี่รอดูเอาเองก็แล้วกัน” จี้อวิ๋นอวิ๋นกล่าว
จีเจี้ยนเหวินทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงเดินเข้ามาหาแม่ของตนในครัวเพื่อมาช่วยชงน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดง
“น้ำตาลทรายแดงนี่ของดีเลยนะครับ แม่เป็นคนซื้อมาเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยขณะเข้ามาในครัวแล้วเห็นห่อน้ำตาลทรายแดง
คุณแม่จี้ยิ้มบาง “แม่จะเป็นคนซื้อได้อย่างไรล่ะ ขนาดแกขอให้แม่ซื้อ แม่ยังลังเลเลย”
“แล้วใครเป็นคนให้มาเหรอครับ” จีเจี้ยนเหวินถามขึ้น
“เป็นพี่สะใภ้สามของแกที่ส่งมาให้แม่สองชั่ง ใช้พอไประยะหนึ่งเลยล่ะ” คุณแม่จี้พูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นจีเจี้ยนเหวินจึงได้เห็นว่าผิวพรรณของแม่ตนดีกว่าปีก่อนมาก ซึ่งคุณแม่จี้ก็ไม่ได้ปิดบัง นางเล่าถึงความกตัญญูที่ซูตานหงทำมาในระยะสองเดือนที่ผ่านมานี้
ไม่ว่าจะเป็นการนำเนื้อมาให้อยู่เนือง ๆ หรือไม่ก็ส่งชาพุทราจีนเก๋ากี้มาหม้อหนึ่งให้พ่อและแม่ของเขาได้ดื่มเพิ่มความอบอุ่น ทำให้คนชราทั้งสองมีร่างกายแข็งแรงขึ้นในสองเดือนหลังจากนั้น
อย่างน้อยขาและแขนของพวกเขาก็แข็งแรงขึ้น ส่วนชายชราก็ไม่ไอออกมาอีกแล้ว
“พี่สะใภ้สามโกรธอวิ๋นอวิ๋นมากจนขอตัวกลับเลยเหรอครับ?” จี้เจี้ยนเหวินถามอีกครั้ง
“นังอวิ๋นอวิ๋นมันเป็นหมาป่าตาขาว ตั้งแต่กลับมาที่บ้านหล่อนก็เอาแต่กินอะไรดีๆ ที่พี่สะใภ้สามเอามาโดยไม่พูดอะไรสักคำ คอยแต่สร้างปัญหาให้พี่สะใภ้ของหล่อนตลอดเวลา นี่ถ้าไม่ใช่วันปีใหม่ล่ะก็ ฉันจะตีหล่อนด้วยไม้กวาดให้ตายเลย” คุณแม่จี้พูดอย่างโมโห
จี้เจี้ยนเหวินไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเห็นซี่โครงทอดและลูกชิ้นอยู่ในครัว ดวงตาของเขาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “อาหารมื้อเย็นมีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ”
“เป็นตานหงที่นำมาให้น่ะ ไข่กับเนื้อพวกนี้ก็เป็นของหล่อนทั้งหมดเหมือนกัน” คุณแม่จี้ตอบอย่างไม่คิดอะไร
จี้เจี้ยนเหวินพลันรู้สึกละอายขึ้นมา
เขาไม่คิดเลยว่าบ้านพี่สามของตนจะนำของมามากมายเช่นนี้ ในปีนี้เขาเองก็นำสิ่งของกลับมาด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับปลาตัวใหญ่และเนื้อชิ้นใหญ่แล้วมันก็ดูด้อยกว่ามาก
คุณแม่จี้ไม่ได้เจตนาจะทำให้ลูกชายต้องลำบากใจ นางก็แค่ตอบคำถามของเขาเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?
“เอาถ้วยนี้ไปให้ลี่ลี่ทีนะ แม่กำลังยุ่งอยู่” คุณแม่จี้ยื่นถ้วยน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงที่ชงเสร็จให้กับบุตรชาย
จี้เจี้ยนเหวินจึงนำน้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดงถ้วยนั้นมาให้ภรรยา
“เจี้ยนเหวิน คุณเอาของขวัญปีใหม่ไปให้แม่แล้วหรือคะ” หยุนลี่ลี่ดื่มน้ำตาลทรายแล้วแล้วถามขึ้นอย่างภูมิใจ
“ให้แล้วครับ” จี้เจี้ยนเหวินตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
กล่าวทางอีกด้านหนึ่ง ซูตานหงก็กำลังทำอาหารอย่างดีให้เสี่ยวเฮยกิน เธอให้มันกินเนื้อติดกระดูกชิ้นโตกับข้าวชามหนึ่ง แล้วราดทับด้วยน้ำแกงมันเยิ้มที่ใส่เนื้อเป็นจำนวนมาก หากคนนอกมาเห็นเข้า ก็ไม่แคล้วต้องกล่าวหาว่าเธอเป็นผู้หญิงฟุ่มเฟือยแน่นอน
สุนัขตัวนี้กินดีอยู่ดียิ่งกว่าคนเสียอีก
แต่ซูตานหงกลับอยากให้เสี่ยวเฮยกินของของเธอมากกว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นเสียอีก ดังนั้นเธอจึงให้เสี่ยวเฮยกินอาหารที่ดีกว่าเดิมมาก
“วันนี้เป็นวันปีใหม่ เจ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ นะ” ซูตานหงลูบศีรษะของเสี่ยวเฮย ซึ่งมันก็กินข้าวและเนื้อในชามพร้อมครางต่ำในลำคออย่างมีความสุข
หลังจากนั้นไม่นานนัก จี้เจี้ยนอวิ๋นก็กลับมา ซูตานหงเหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ยออกมาตรง ๆ “ถ้าคุณคิดจะกลับมาทะเลาะกับฉันล่ะก็ไม่จำเป็นหรอก ฉันขอบอกกับคุณตรงๆ เลยว่าฉันให้ความเอาใจใส่น้องสาวคุณมาครึ่งเดือนแล้ว และตอนนี้ฉันก็หมดความอดทนกับหล่อนแล้วด้วย”
เธอมาอยู่ในร่างนี้นานแค่ไหนแล้วนะ?
ก็จริงอยู่ที่เมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมเป็นคนผิด แต่จี้อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้ เพราะหล่อนเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายเท่านั้น
ซูตานหงไม่รู้หรอกว่าเด็กนักเรียนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ต้องไม่ใช่คนปากตลาดแบบนี้ ซึ่งนับจากนี้ไป คนแบบนี้จะไม่ได้รับอะไรจากเธออีก!
โชคดีที่เธอไม่ได้ให้เนื้อที่กำลังหมักไป ดังนั้นอย่าคิดมากเลย!
ส่วนพ่อแม่สามีก็คงต้องขอโทษพวกท่านแล้ว รอให้จี้อวิ๋นอวิ๋นกลับไปเรียนก่อนจึงจะนำสิ่งของต่างๆ ไปให้พวกท่านอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นของทุกอย่างก็จะตกไปอยู่ในท้องของอวิ๋นอวิ๋นอีก อย่านึกว่าเธอไม่รู้เลย!
จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ภรรยา ผมไม่ได้จะทะเลาะกับคุณนะ น้องสาวผมก็เป็นคนอารมณ์ร้ายแบบนั้นล่ะ คุณอย่าใส่ใจไปเลย”
ซูตานหงแค่นเสียงหึเมื่อได้ยินคำพูดแสดงถึงความโง่งมของเขา “ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ฉันต้องบอกไว้ก่อนว่าฉันได้พูดในสิ่งที่ควรพูดและทำในสิ่งที่สมควรทำแล้ว และฉันจะไม่ทำไปมากกว่านี้”
“ได้จ้ะได้ ที่รักอย่าโกรธไปเลย อีกเดี๋ยวอวิ๋นอวิ๋นก็ต้องกลับไปเรียนในอีกไม่กี่วันแล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบพูดปลอบใจภรรยาของตน
“คุณลืมเอาเงินเดือนของคุณมาให้ฉัน!” ซูตานหงมองเขาอย่างเย็นชา
หึ เมื่อปีก่อนเจี้ยนอวิ๋นยัดเงินให้กับนังหมาป่าตาขาวนั่น เธอจึงจำต้องทำเป็นปิดตาข้างเดียวในปีนี้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ อย่าได้หวังจะทำเช่นนั้นอีกเลย!
“ผมว่าจะเอาให้คุณตอนอยู่ในบ้านอยู่แล้ว แต่เมื่อเช้านี้ผมลืมน่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยเร็วรี่
ซูตานหงเข้ามาในบ้านพร้อมกับเขา เมื่อได้เงินมาเธอก็รีบนับเงิน หลังเห็นว่าจำนวนถูกต้องแล้วจึงนำไปเก็บในตู้และลงกลอนไว้
จากนั้นเธอจึงเข้าครัวต้มน้ำเพื่อใช้ซักผ้าและใช้อาบ ในสภาพอากาศที่เหน็บหนาวเช่นนี้ เธอไม่อยากอาบน้ำเย็น ๆ นักหรอก
“ที่รัก ผมจะช่วยคุณต้มน้ำนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบเสนอตัว
โทสะในใจของซูตานหงยังไม่หายไป ถ้าเขายังก่อกวนเธออีก เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน!
ปล่อยให้เขาต้มน้ำ ซักเสื้อผ้า และผ่าฟืนในลานหน้าบ้านไปเสียเถอะ
ซูตานหงหันหลังกลับไปที่ห้องของเธอและหยิบด้ายปักผ้าออกมา ก่อนจะเริ่มลงมือปักผ้าต่อ
“เจี้ยนเหวินกับภรรยาของเขากลับมาแล้วนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นร้องบอกจากหน้าลานบ้าน
ซูตานหงได้ยินแล้วก็เมินเฉยต่อเสียงนั้น กลับมาแล้วอย่างไร?
ไม่ได้เกี่ยวกับเธอสักหน่อย เธอไม่มีทางสนใจน้องชายสี่และน้องสะใภ้สี่ที่ชอบดูถูกคนอื่นหรอก
มันจะดีกว่าหากเธอเอาเวลาที่จะสนใจคนอื่นมาปักผ้า เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเองมาซื้อของกินของใช้ให้พวกเขาอิจฉาจนตายแทน
จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ผ่าฟืนอยู่ในลานบ้านทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกผิดขึ้นมา เขามองภรรยาของเขาเป็นระยะ เขาไม่คิดเลยว่าซูตานหงจะโมโหขนาดนี้ มีสิ่งใดที่เขาทำให้เธอโมโหขนาดนี้กันนะ?
เอาเถอะ เขาแค่ต้องสับฟืนให้ดี ๆ เขาไม่อยากเข้าไปในบ้านจนกว่าจะผ่าฟืนเสร็จแล้วหรอก
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาที่บ้าน ซูตานหงก็เหมือนจะมีเวลาเพิ่มขึ้น โดยปกติแล้วเธอไม่ใส่ใจเรื่องในครอบครัวเขานักหรอก เป็นเรื่องยากมากกว่าเขาจะกลับมาได้ในครั้งหนึ่ง เธอจึงไม่อยากให้เขายุ่งยากใจ แต่เมื่อคิดว่าตนเองไม่สามารถสำคัญตัวเทียบกับน้องสาวของเขาได้แล้ว เธอก็ไม่อยากจะสนใจอะไรเลย
เธอเป็นสาวน้อยเอาแต่ใจคนหนึ่ง ในชาติที่แล้วมารดาของเธอเคยพูดไว้เสมอว่าเธอต้องเติบโตอย่างสง่างามและให้การสนับสนุนสามีได้ แต่เธอแค่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องนั้น
เมื่อถึงตอนเที่ยง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็นำเกี๊ยวมาให้ชามหนึ่ง ในตอนนี้โทสะของซูหงได้เกือบหายไปหมดแล้ว
เธอวางงานปักผ้าเอาไว้ข้างๆ เพื่อไม่ให้เกี๊ยวหกใส่บนชิ้นงานของเธอแล้วโพล่งขึ้นมาว่า “ฉันไม่อยากอยู่ที่นั่นนาน เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วจะกลับเลยค่ะ”
“ตกลง เราจะกลับมาทันทีหลังกินอาหารเสร็จ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยรัวเร็วเมื่อเห็นว่าในที่สุดภรรยาของตนก็ยอมพูดด้วยสักที
ซูตานหงเหลือบมองสามี “เกี๊ยวของคุณอยู่ไหนคะ”
“ของผมอยู่ในครัว เดี๋ยวผมไปเอามานะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงัก
ทั้งคู่ใช้เวลาในการกินเกี๊ยวด้วยกันภายในห้อง และจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เห็นงานปักผ้าที่ภรรยาของเขาปักขึ้นมา มันเป็นการปักนกตัวเล็กๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ทว่ามันดูมีชีวิตราวกับนกจริง ๆ อย่างมาก
____________