ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 228 กลับมาแล้ว
ตอนที่ 228 กลับมาแล้ว
“จะเอาของไร้สาระพวกนั้นกลับมาทำไม แค่ดูแลเหรินเหรินกับฉีฉีให้ดีก็พอแล้ว” คุณพ่อจี้ได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นมา
เป็ดปักกิ่งหรืออะไรก็แล้วแต่ แม้เขาจะสนใจอยู่บ้าง แต่การออกไปนอกบ้านย่อมไม่สะดวกอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องดูแลเด็ก ๆ ให้ดี ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นนัก
“ยังมีแม่พวกเขาอยู่ไม่ใช่เหรอคะ มีอะไรให้ต้องกังวลด้วยล่ะ? ” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูด
“รอปีหน้าคลอดลูกแล้ว ถ้าคุณอยากไปผมจะพาไปเองนะครับ” หลี่จื้อกล่าวกับหล่อน
คําพูดนี้ฟังดูดี แต่จี้อวิ๋นอวิ๋นยังคงพูดขึ้น “คุณก็ดีแต่พูด ปีหน้ายังมีการสอบเข้าชั้นมัธยมปลาย แล้วฉันยังต้องอยู่เดือนหลังคลอดอีก จะไปได้ที่ไหนล่ะ?”
“หลังจากอยู่เดือนเสร็จ ผมจะพาคุณไปครับ” หลี่จื้อบอก
หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ โรงเรียนของเขาก็จะปิดเทอมในเดือนเก้า เป็นเวลานานกว่า 2 เดือนครึ่ง
“หลี่จื้ออย่าไปฟังหล่อนพูดจาเหลวไหลเลย” คุณพ่อจี้กล่าว
เขาขมวดคิ้วมุ่น ลูกสาวของเขาช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆ ทำไมแต่งงานไปแล้วยังเอาแต่ใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ในเมื่อหลี่จื้อจะพาไปพักผ่อนหลังจากเสร็จสิ้นการอยู่เดือนของหล่อน ยังไม่พอใจอีกหรือ?
ได้รับการดูแลแล้ว มีอะไรให้ไม่พอใจอีก?
หลี่จื้อยิ้มและเริ่มสับไก่
แม้เขาจะเป็นครู แต่ถึงอย่างไรก็โตมาในหมู่บ้าน สามารถทำงานบ้านเล็กน้อยเช่นนี้ได้ คุณพ่อจี้เห็นแล้วก็พอใจมาก
เช่นเดียวกับคุณแม่จี้ นางเองก็วางใจลูกเขยคนนี้มาก เรื่องคุณภาพไม่ต้องพูดถึง น้าไช่นับว่าเป็นแม่สื่อชั้นดีจริง ๆ ด้วย!
อาหารมื้อเที่ยงวันนี้สมบูรณ์พูนสุขมาก มีทั้งไก่ตุ๋นหอม ๆ ชามใหญ่ ไก่ทอด และไข่ไก่ พร้อมทั้งเครื่องเคียงอีก 5 ถึง 6 จาน
หลี่จื้อเจริญอาหารเป็นพิเศษ ก่อนกลับไปคุณแม่จี้ยังจับไก่และเก็บไข่ใส่ตะกร้าให้เอาไปกินในเมือง หลี่จื้อเกรงใจที่จะรับไว้ เขาจึงให้เงินแม่ยาย 10 หยวน ถึงจะยอมรับมัน
“ไม่ใช่ของมีค่าอะไรสักหน่อย รับ ๆ ไปเถอะค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างเอื้อมมือรับมาทันที จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังจักรยานของหลี่จื้อ
หลี่จื้อบอกลาคุณแม่จี้แล้วพาจี้อวิ๋นอวิ๋นกลับไป ระหว่างทางก็พูดกับหล่อน “คุณพ่อกับคุณแม่ก็อายุมากแล้ว คุณเป็นลูกควรสุภาพกับพวกท่านหน่อย”
เขาสัมผัสได้ถึงการต้อนรับจากครอบครัวของภรรยาอย่างจริงใจ อีกทั้งพ่อตาและแม่ยายของเขาก็ยังใจกว้าง ไม่สนใจเรื่องไร้สาระ เมื่อเทียบกันแล้ว ภรรยาของเขาช่างไม่รู้ความเสียจริง
“คุณไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ ถึงยังไงนี่ก็พ่อแม่ของฉัน ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเหมือนซูตานหงเลย” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูด
อันที่จริงหล่อนไม่ค่อยพอใจกับไข่ไก่เพียงตะกร้าเดียวสักเท่าใดนัก อีกไม่นานซูตานหงต้องกลับมาแล้ว หล่อนคงไม่ได้ขึ้นไปที่นั่นอีก แทนที่จะฉวยโอกาสนี้เอามาให้มากสักหน่อย แต่แม่ของหล่อนกลับไม่ยอมร่วมมือ
หลี่จื้อส่ายหน้าและไม่พูดอะไรอีก
“แต่คุณสัญญาแล้วนะคะ ว่าปีหน้าจะพาฉันไปปักกิ่ง!” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดขึ้นมาอีกครั้ง
หล่อนไม่อยากด้อยกว่าซูตานหง!
“ไปก็ไปครับ” หลี่จื้อพูดขณะปั่นจักรยาน
เมื่อสองสามีภรรยากลับไป คุณแม่จี้ก็พูดกับคุณพ่อจี้ “หลี่จื้อเป็นคนดีจริง ๆ”
นางแทบจะพ่นคำด่าออกมาตรง ๆ เพราะลูกสาวของตัวเอง หากไม่ติดว่าเกรงใจคนดีอย่างหลี่จื้อ
แต่ท้ายที่สุดแล้วลูกสาวก็คลอดออกมาจากท้องของนางเอง ตอนนี้บอกได้เพียงว่าชะตาชีวิตของลูกสาวยังดีอยู่ ไม่อย่างนั้นหล่อนจะหาครอบครัวที่มีสามีดีแบบนี้ได้อย่างไร?
คุณพ่อจี้จึงพูดขึ้น “ถ้าคุณว่างก็คุยกับหล่อนว่าเลิกหาเรื่องใส่ตัวสักที และเอาเวลาไปดูแลหลี่จื้อให้มากขึ้นหน่อย”
เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ทว่ายามนี้เขาแก่ตัวขึ้นจึงรับรู้ถึงความแตกต่างและเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่สะใภ้สามยังไม่รู้ความจึงคิดว่าจะไม่ให้เกียรติเธออย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้หากมีอะไรดี ๆ เธอก็ให้เจี้ยนอวิ๋นหอบหิ้วมาให้ เนื่องจากผู้เฒ่าทั้งสองได้กินอาหารบำรุงอย่างเพียงพอ ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจึงแข็งแรงมาก
ที่ผ่านมาหากเข้าสู่หน้าหนาวคราวใด พวกเขาต้องเผชิญกับอาการปวดเอว ปวดขาอยู่ตลอด ยิ่งฝนตกหรือมีหิมะก็อย่าหวังว่าจะรอด พวกเขาต่างรู้สึกปวดร้าวไปทั้งกาย
ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นมาก แม้จะยังอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทในยามค่ำคืน
ไม่เพียงแค่สองคนผู้เฒ่า ยังรวมถึงพี่ชายของเขาด้วย ตั้งแต่ที่ได้มารับประทานอาหารร่วมกัน ดูเหมือนว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะแข็งแรงขึ้นมาก
แล้วดูเจี้ยนอวิ๋นสิ
แต่ละวันมีงานให้ทำอยู่ไม่น้อย ทว่าเขากลับแข็งแรงที่สุดในบรรดาพี่น้อง เนื่องจากได้รับการดูแลด้านโภชนาการอย่างดี
ในขณะที่หลี่จื้อผู้เป็นลูกเขยก็งานยุ่งเช่นกัน การสอนวิชาเอกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี ก็จะรู้ถึงผลเสียของการใช้ร่างกายอย่างหนักในตอนที่แก่ตัวลง
“ปล่อยหล่อนไปเถอะค่ะ ขนาดสามีของตัวเองยังไม่สนใจ ยังจะคาดหวังอะไรกับใครได้อีก?” คุณแม่จี้พูด
นางคร้านจะพูดถึงลูกสาวคนนี้ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ส่วนหลี่จื้อลูกเขยของนางก็ผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นคงไม่เคยดูแลเขาเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจจะเป็นภาระให้เขาเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้แต่งงานกันไปแล้ว ชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่ปล่อยให้หนุ่มสาวจัดการกันเอง
อย่างไรก็ตาม ลูกเขยคนนี้นับว่าเป็นคนกตัญญูผู้หนึ่ง ทั้งยังให้เงินนางถึง 10 หยวนเพื่อนำไปซื้อกระดูกมาต้มน้ำแกง
เงิน 10 หยวนนั้นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ พวกเขาสองผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ขาดเงิน เพียงแต่นี่เป็นการแสดงความกตัญญูของเขา หากยอมรับไว้ก็ไม่ได้ทำให้สองหนุ่มสาวนั้นขาดทุนอะไร
วันนี้ได้ไก่ไป 3 ตัวและไข่อีก 1 ตะกร้า ราคามากกว่า 10 หยวนด้วยซ้ำ
“ไม่รู้ว่าเจี้ยนอวิ๋นกับตานหงจะกลับมาเมื่อไหร่?” คุณแม่จี้หันมาพูด
“นาน ๆ ทีจะได้ไปปักกิ่ง คงอยู่เที่ยวอีก 2 ถึง 3 วันน่ะ” คุณพ่อจี้ตอบ
คุณแม่จี้ยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าวันข้างหน้าจะพาพวกเราไปเที่ยวปักกิ่ง ตาเฒ่า อยากไปรึเปล่า?”
“ยังอยากทำงานอยู่เลย มีหลายเรื่องให้ต้องจัดการขนาดนี้ จะไปที่ไหนได้?” คุณพ่อจี้บอก
ถึงแม้จะอยากไป แต่จะไปได้อย่างไร หากพวกเขาไปกันหมดแล้วสวนผลไม้ล่ะ?
คุณแม่จี้พยักหน้า
“คุณย่าคะ เมื่อไหร่ลุงสามกับคุณนายสามจะกลับมา?” นางเพิ่งถามเสร็จ เยียนเอ๋อร์ก็ถามขึ้นมา
“อีกหลายวันกว่าจะถึงน่ะจ้ะ” คุณแม่จี้ตอบหลานสาว
“ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าลุงสามกับคุณนายสามจะเอาของดีอะไรมาฝากหนู” เยียนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก
ครั้งนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นพาซูตานหงและลูกชายทั้งสองของเขาไป ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงมีเพียงครอบครัวของเขาเท่านั้น เยียนเอ๋อร์ไม่ได้ถูกพาไปด้วย
เยียนเอ๋อร์ยังเด็กมาก หากจะพาไปด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่หากพาเยียนเอ๋อร์ไป แล้วจี้เสี่ยวตงและเสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้ไม่ต้องพาไปด้วยทั้งหมดหรือ?
เรื่องที่พวกเขาจะขาดเรียนนั้นไม่ใช่ข้ออ้าง พูดง่าย ๆ เลยก็คือจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่สะดวกจึงไม่พาไปด้วย จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้เพื่อความสนุกสนาน ไม่ใช่เพื่อให้มีข้อพิพาท
จี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงเดินทางไปตอนช่วงเข้าฤดูหนาว กว่าพวกเขาจะกลับมาก็เกือบจะสิ้นเดือนสิบเอ็ด
ขากลับพวกเขาเรียกรถกลับมาโดยตรง การได้ออกไปเที่ยวข้างนอก นับว่าทั้งครอบครัวได้ผ่านทั้งลมทั้งความหนาวเหน็บมาอย่างโชกโชน ในที่สุดก็รู้ซึ้งว่าการอยู่บ้านของตัวเองนั้นสะดวกสบายมากขนาดไหน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อนาคตดูท่าเธอต้องอยู่ตัวคนเดียวแน่อวิ๋นๆ นิสัยอย่างนี้ใครจะทนอยู่ด้วยได้ตลอด
อารมณ์เปลี่ยนปุบปับมากค่ะตอนนี้ จากหัวร้อนอยากทุบยัยอวิ๋นๆ กลายเป็นเอ็นดูเยียนเอ๋อร์แทน
ไหหม่า(海馬)