ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 250 คิดเรื่องหยางต้าหยา
ตอนที่ 250 คิดเรื่องหยางต้าหยา
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่จี้กับคุณแม่กวงซงค่อนข้างดี ไม่อย่างนั้นคงไม่ขอให้นางขึ้นเขาไปช่วยแน่ ดังนั้นพอคุณแม่จี้ได้ยินจึงตอบกลับ “ไว้ฉันมีเวลาจะไปบอกตานหงเรื่องที่เธอพูดให้นะ เธอวางใจได้เลย ในเมื่อต้องพูดแล้ว อย่างนั้นจะหาคนดี ๆ ให้กวงซงของเธอแน่นอน”
“ดีเลย” คุณแม่กวงซงตอบด้วยรอยยิ้ม
ฤดูเชอร์รี่มีงานค่อนข้างยุ่ง แต่คุณแม่จี้ก็ลงมาจากภูเขาในตอนเย็น เมื่อตารางงานอันแสนวุ่นวายจบลง
“แม่ครับ คุณย่าลงมาแล้ว ผมไม่ต้องไปเรียกแล้ว” ฉีฉีเพิ่งเปิดประตูกําลังจะขึ้นไปบนภูเขา แต่พอเห็นย่าของเขาก็ตะโกนบอกแม่ในครัวทันที
คุณแม่จี้ยิ้ม “เรียกย่ามีอะไรรึเปล่า?”
“มีครับ แม่บอกว่าวันนี้จะกินบะหมี่ แม่ใช้กระดูกชิ้นใหญ่เคี่ยวน้ำซุป กลิ่นหอมมากเลยครับ” เหรินเหรินรับคํา
ระหว่างที่พูด ซูตานหงก็เดินออกมาจากห้องครัว เมื่อเห็นแม่สามีเธอจึงพูดขึ้น “คุณแม่ลงมาพอดีเลย ฉันกำลังขอให้ฉีฉีขึ้นไปบนภูเขาเพื่อบอกว่าไม่ต้องทำอาหาร คืนนี้กินบะหมี่กันเถอะค่ะ”
คุณแม่จี้พยักหน้าและเข้าไปในครัวเพื่อช่วยเธอ ซูตานหงบอกให้นางนั่งพักก็พอ ไม่นานก็เสร็จแล้ว
คุณแม่จี้ช่วยจุดไฟจากนั้นก็เล่าเรื่องของจี้กวงซงให้เธอฟัง
“จี้กวงซงเหรอคะ งั้นคืนนี้ฉันจะคุยกับเจี้ยนอวิ๋นดูนะคะ” ซูตานหงกล่าว
เธอนึกตลกอยู่ในใจ คราวก่อนเธอพยายามหลีกเลี่ยงการเป็นแม่สื่อแล้ว ทว่าตอนนี้กลับมีคนต้องการให้เธอเป็นแม่สื่อให้อีก
แต่เห็นจี้อวี้หลานกับสวี่เหอซานใช้ชีวิตกันอย่างสบายดี เธอก็รู้สึกยินดี ส่วนหนุ่มน้อยจี้กวงซงนั้น เธอเองก็มีทัศนคติที่ดีต่อเขาเช่นกัน
คืนนี้ทุกคนได้กินบะหมี่รสเลิศ อย่างที่เหรินเหรินบอก น้ำซุปเคี่ยวด้วยกระดูกชิ้นใหญ่ที่จี้เจี้ยนอวิ๋นไปซื้อมา 2 ชิ้นเมื่อเช้าวันนี้ เธอเอามาเคี่ยวทั้งหมด เมื่อได้น้ำซุปที่หอมกรุ่นก็ใส่บะหมี่ลงไป พร้อมกับแล่เนื้อสันคอหมูกรอบ ๆ แล้วโรยขึ้นฉ่ายที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ผลที่ได้คือน้ำซุปบะหมี่ที่หอมมาก
ซูตานหงมีหม้อให้คุณแม่จี้ยกขึ้นไปบนภูเขาเพื่อกินกับเยียนเอ๋อร์และคุณพ่อจี้ รวมถึงลุงจี้ด้วย บะหมี่ชั้นดีนี้ต้องกินตอนร้อน ๆ ไม่อย่างนั้นจะเสียรสชาติในไม่ช้า
เหรินเหรินกับฉีฉีกินกันคนละชาม สองพี่น้องต่างตั้งหน้าตั้งตารอกินอยู่แล้ว
ส่วนซูตานหงก็ทำบะหมี่ชามใหญ่ให้ตัวเอง ส่วนจี้เจี้ยนอวิ๋นนั้นยังไม่ลงมาเลย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะกลับมาแต่บะหมี่ก็วางอยู่ในครัวแล้ว รอแค่เขากลับลงมาเท่านั้น
บะหมี่ซุปกระดูกมีกลิ่นหอมมาก เหรินเหรินกับฉีฉีสองพี่น้องกินกันอย่างเอร็ดอร่อย จนไม่เหลือน้ำซุปแม้แต่หยดเดียว
ซูตานหงเข้าใจถึงความอยากอาหารของสองพี่น้องเป็นอย่างดี แต่กินอิ่มแล้วจะกินอีกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะท้องอืดได้ง่าย จึงปล่อยให้สองพี่น้องเล่นกันเอง ส่วนเธอก็จัดการบะหมี่ของตัวเองต่อไป
ช่วงนี้ความอยากอาหารของเธอดีมาก เมื่อก่อนเธอกินได้เพียงแค่ครึ่งชามก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ตอนนี้กินไปจนหมดชามแล้ว เธอยังไม่พอใจอยู่อีกหรือ?
ซูตานหงตกใจกับความอยากอาหารของตัวเอง และรู้สึกว่าไม่สามารถกินได้อีกต่อไป
เธอรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองอ้วนขึ้นมาก ถ้ากินแบบนี้คงต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา ครอบครัวของเขาก็กินอิ่มแล้ว ซูตานหงจึงไปยกบะหมี่ชั้นดีชามใหญ่ให้เขา
จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร โดยเฉพาะฝีมือของภรรยา ไม่ว่าจะกินอะไรก็อร่อยมาก อากาศร้อน ๆ แบบนี้ยิ่งทําให้เขาหิวเป็นพิเศษ
อาหาร 3 มื้อต่อวันได้กินอย่างเพียงพอ เมื่อออกไปข้างนอกก็มีพลังงานและไม่เสียสุขภาพ
ซูตานหงนั่งอยู่ตรงข้ามเขาและเล่าเรื่องที่คุณแม่จี้พูดให้ฟัง
จี้เจี้ยนอวิ๋นฟังจบก็ยิ้ม “ผมเคยถามเขามาก่อน เขาบอกว่าใน 2 ถึง 3 ปีนี้ จะยังไม่คิดเรื่องนี้”
ซูตานหงได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้น “ยังมีอีกเหรอคะ คนที่ไม่อยากแต่งภรรยา?”
อายุ 20 ปี ไม่เด็กแล้ว สามารถแต่งงานได้
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากหรอก แต่อยากเก็บเงินให้มากกว่านี้” จี้เจี้ยนอวิ๋นในฐานะผู้ชายจึงค่อนข้างเข้าใจสิ่งที่จี้กวงซงคิดและกล่าวขึ้น “เจ้าเด็กกวงซงนั้นต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เขาอยากแต่งงานก็ต่อเมื่อมีเงิน เขาไม่ใช่คนประเภทที่ยอมให้ภรรยาลําบากไปกับเขา เจ้าเด็กนี่หยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเองมากเลย”
ตอนที่กล่าวเช่นนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นยังคงยิ้มอยู่ เห็นได้ว่าเขามีทัศนคติที่ดีต่อจี้กวงซง
“งั้นก็ไม่ต้องสนใจแล้วเหรอคะ?” ซูตานหงยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ คุณลองไปสืบก่อนว่าคุณป้าหยางว่ายังไง ปีนี้หยางต้าหยาอายุ 15 แล้วไม่ใช่เหรอ อีก 3 ปีก็จะอายุ 18 แล้ว ถึงตอนนั้นกวงซงก็อายุแค่ 23 เอง แบบนั้นคงไม่เป็นไร” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
เมื่อซูตานหงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เป็นประกายและมองไปที่สามีของตัวเอง “คุณไม่ได้วางแผนไว้นานแล้วใช่ไหมคะ?”
“วันนี้ผมไปหาพี่รองมา ไม่ใช่ว่าเจอเธอหรอกเหรอ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาสาวน้อยคนนี้เติบโตอย่างดีอยู่ในร้านพี่รองของคุณ อีก 3 ปีก็คงไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนักหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะแต่งงานตอนอายุ 18 ปี แม้ว่าจะเร็ว แต่ก็ไม่เร็วเกินไป
มีคนที่ไม่เหมาะสมและแต่งงานตอนอายุ 16 ปีก็มี
“งั้นฉันจะไปถามคุณป้าหยางนะคะ” ซูตานหงพยักหน้า
สำหรับหยางต้าหยานั้นนับว่าไม่เลวเลย ตอนนี้เงินเดือนของหยางต้าหยาสูงถึง 25 หยวน และยังอยู่ในร้านพี่รองของเธอซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย ในบางครั้งพี่สะใภ้รองของเธอก็มักจะซื้อเสื้อผ้าให้สักชุดหรือสองชุด บวกกับการทำงานในร้าน ทำให้ครั้งล่าสุดที่หญิงสาวกลับมาดูขาวขึ้นมาก ทั้งยังกตัญญูและเป็นผู้หญิงที่มีระเบียบวินัยอีกด้วย
เด็กสาวแสนดีเช่นนี้ หากพูดคุยกันดี ๆ ในหมู่บ้านต้องมีคนไม่น้อยกําลังจ้องมองอยู่
ท้ายที่สุดแล้วเงินเดือนของหยางต้าหยาจะไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังเป็นคนขยันหมั่นเพียรแบบนี้ด้วย ใครหรือจะไม่ต้องการ?
เมื่อซูตานหงบอกว่าจะทำเธอก็ลงมือทำทันที แล้วเธอก็ทำทีจะเดินย่อยอาหารไปที่บ้านคุณป้าหยางซึ่งอยู่ถัดไป
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยังคงต้องการให้ภรรยาอยู่กับเขาสักพัก อีกอย่างเขายังไม่ได้บอกเรื่องที่เธอตั้งครรภ์เลย
“ไม่รีบหรอก คุณกินเองเถอะค่ะ” ซูตานหงโบกมือและไม่สนใจเขาอีกต่อไป
เมื่อมาถึง คุณลุงหยางกับคุณป้าหยางกําลังกินข้าวอยู่ สองผู้เฒ่าประหยัดมาก กินโจ๊กคู่กับผักดอง และไข่คนกับมะเขือเทศ
“ตานหงมาแล้ว ว่าแต่กินข้าวรึยังล่ะ?” คุณป้าหยางถามด้วยรอยยิ้ม
“กินแล้วค่ะ คุณป้าอย่าประหยัดขนาดนั้นเลยค่ะ ให้ฉันซื้อเนื้อให้คุณลุงกินสักหน่อยจะเป็นไรไปคะ?” ซูตานหงกล่าว
“กินเนื้ออะไร มีโจ๊กให้กินก็ไม่เลวแล้ว” คุณป้าหยางพูดด้วยรอยยิ้ม
คุณลุงหยางก็ยิ้มเช่นกัน เขาไม่ได้สนใจนัก
สองผู้เฒ่าทานอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเก็บชามและตะเกียบ
ซูตานหงพูดถึงเรื่องของหยางต้าหยา
คุณป้าหยางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องต้าหยาป้าก็พอได้ยินแม่ของหล่อนพูดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าแต่งงานเร็วขนาดนั้น”
ซูตานหงคาดคะเน มีลูกสาวคนหนึ่งที่สามารถส่งเงินกลับบ้านได้ทุกเดือน หม่าฮุ่ยแม่ของหยางต้าหยาจะยอมให้ลูกสาวคนนี้แต่งงานเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?
จึงพูดขึ้น “ตอนนี้เพิ่งจะอายุ 15 เอง ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ตานหง เธอบอกความจริงกับป้ามาเถอะ มีใครเคยพูดถึงต้าหยาเหรอ?” ป้าหยางถาม
“ไม่หรอกค่ะ แต่วันนี้เจี้ยนอวิ๋นไปร้านพี่รองของฉันมาและเจอกับต้าหยา เลยบอกว่าถ้าต้าหยาได้ตกลงปลงใจกับกวงซง ในอนาคตชีวิตคงดีไม่น้อย” ซูตานหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
……………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะว่าไปสองคนนี้ก็น่าจะเหมาะสมกันดีนะคะ แต่สามปีให้หลังนี้จะเจอใครที่กว่านี้หรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)