ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 269 จะไม่ทำให้ชื่อเสียงตัวเองแปดเปื้อน
ตอนที่ 269 จะไม่ทำให้ชื่อเสียงตัวเองแปดเปื้อน
อวิ๋นลี่ลี่ดูออกว่าลูกสาวตนเองไม่ชอบป้ารอง ก็เลยให้สะใภ้รองอวิ๋นมาคุยที่ห้องนั่งเล่น
“บ้านหลังนี้สวยดีนะ ตอนแรกพี่ชายรองของเธอก็อยากได้เหมือนกัน แต่เป็นเพราะต้องเอาเงินมาให้เธอยืมไปก่อน” พี่สะใภ้รองอวิ๋นมองไปรอบ ๆ บ้านพร้อมกับหัวเราะ
“ถ้าฉันไม่เอาเงินไป พี่รองจะกล้ามีความคิดแบบนั้นเหรอคะ พี่ใหญ่คงได้ต่อยเขาสักทีแน่ ๆ แล้วเงินนั่นไม่ใช่ของพี่รอง เป็นของคุณพ่อกับคุณแม่ต่างหาก” อวิ๋นลี่ลี่ตอบกลับไป
คิดว่าหล่อนไม่รู้หรืออย่างไรว่าพี่สะใภ้รองจะมาคิดบัญชีเก่า แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็คืนเงินให้อีกฝ่ายไปแล้ว แถมราคาเนื้อหมูยังตกไม่ใช่น้อยหลังจากที่หล่อนโทรหาพวกเขา 2 ถึง 3 ครั้งในเรื่องที่ซูตานหงบอกมา ถือเป็นการชดใช้ให้กันไปแล้ว
อย่างพี่ใหญ่ของหล่อนที่หล่อนเตือนได้ถูกจังหวะ ทำให้เขายังได้เงินกลับมาถึง 100 กว่าหยวน ซึ่งยังเกินกว่าราคาทุนอยู่
ส่วนพี่รองที่ไม่ยอมเชื่อ ก็ถือว่าไม่แย่อะไรที่ตอนนี้ยังได้ทุนคืน แต่ถ้ารอถึงปีใหม่คงได้ตายจริง ๆ แน่!
ทว่าตอนนี้พี่สะใภ้รองกลับกล้าที่จะมาหาหล่อน พูดถึงเรื่องที่หล่อนยืมเงินพ่อกับแม่ไป เรื่องนี้ขนาดพี่ใหญ่กับพี่รองยังไม่พูดถึงเลย ดังนั้นหล่อนก็จะไม่เกรงใจแล้วเหมือนกัน
“ตอนนี้บ้านราคาสูงจนหาซื้อไม่ได้แล้ว” พี่สะใภ้รองอวิ๋นเอ่ย
“ราคาขนาดนี้ถือว่าสูงขึ้นนิดหน่อยเองค่ะ ตอนแรกฉันก็ได้เงินจากทางบ้านสามีมาช่วยไม่น้อย ไม่งั้นก็คงซื้อไม่ได้ ถ้าพี่รองอยากซื้อตั้งแต่แรก เกรงว่าเงิน 500 หยวนก็คงจะซื้อไม่ได้แน่นอน ส่วนทางบ้านพี่สะใภ้รองก็คงไม่มีให้ยืมมากสักเท่าไหร่หรอกมั้งคะ” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยอย่างสงบ
พี่สะใภ้รองอวิ๋นรู้ดีว่าน้องสามีฝีปากร้ายไม่ใช่เล่น “ตอนนี้ร้านนั้นเป็นของน้องเขยสามใช่ไหม?”
“ค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่พยักหน้า
หล่อนพอที่จะเดาได้แล้วว่าพี่สะใภ้รองมาที่นี่เพื่ออะไร
“เธอพอจะถามน้องเขยสามหน่อยได้ไหม ว่าเขาจะเปิดร้านอีกหรือเปล่า?” พี่สะใภ้รองเอ่ย “ตอนนี้พี่รองของเธออยู่บ้านว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ หลานของเธอก็ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว คงต้องใช้เงินอีกเยอะ”
อวิ๋นลี่ลี่เคยบอกกับซูตานหงไปเมื่อนานมาแล้วว่าหล่อนรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็เห็นแก่หน้าของพี่ใหญ่ แล้วพี่ใหญ่ของหล่อนก็ดูแลหล่อนมาอย่างดี แต่พี่รองของหล่อนไม่ได้หน้าใหญ่ขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของหล่อนกับพี่สะใภ้รองเลย
“พี่สะใภ้รอง พี่มาช้าเกินไปแล้ว ตอนนี้พี่เขยสามไม่คิดจะเปิดร้านที่ไหนแล้วค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่ไม่ได้พูดตัดโอกาสแต่อย่างใด แค่พูดว่าตอนนี้ยังไม่มีโอกาสเท่านั้น
สะใภ้รองอวิ๋นรีบพูดสวนขึ้นมา “ทำไมถึงไม่เปิดร้านใหม่ล่ะ ฉันเห็นว่าร้านของน้องเขยก็มีผลประกอบการดี วันก่อนที่ไปถามพี่สะใภ้ใหญ่ หล่อนบอกว่าเดือนหนึ่งได้เงินไม่ใช่น้อยเลยนี่”
“นั่นก็ใช่ค่ะ ตอนนี้พี่เขยสามเลยเปิดร้านในเมืองไปแล้วร้านหนึ่ง แล้วจะให้เขาเปิดอีกร้านหนึ่งในเวลานี้ได้ยังไงกันคะ?” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ย
“เรื่องนี้มันก็ไม่แน่ เธอก็ลองไปถามเขาสิ” พี่สะใภ้รองอวิ๋นว่า
“ค่ะ” อวี๋นลี่ลี่ตอบรับ “รอฉันไปทำงานก่อนนะคะ จะใช้โทรศัพท์โทรไปถามให้”
เมื่อสะใภ้รองอวิ๋นกลับไป อวิ๋นลี่ลี่ก็มอบของบางอย่างให้หล่อนนำกลับไปด้วย
“แม่” เยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ป้ารองเป็นใครเหรอคะ?”
“ป้ารองเป็นภรรยาของลุงรองยังไงล่ะ เป็นพี่สะใภ้ของแม่ ทำไมเหรอ เยียนเอ๋อร์ไม่ชอบเหรอ?” อวิ๋นลี่ลี่ถาม
“ไม่ชอบ คุณป้าเขามองหนูเหมือนที่พวกป้า ๆ ในหมู่บ้านชอบมอง หนูไม่ชอบ” เยียนเอ๋อร์ไม่เข้าใจในเรื่องพวกนั้น
แต่อวิ๋นลี่ลี่รู้ ว่านั่นคือสายตาของพวกอิจฉาตาร้อน
ชีวิตของเยียนเอ๋อร์ดีกว่าลูกสาวของหล่อน แถมเด็กหญิงยังมีหน้าตาสะสวย พี่สะใภ้รองอวิ๋นเลยนึกอิจฉา
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก ป้าเขามาที่นี่ไม่บ่อยแน่นอน” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยไปแบบนั้น
เยียนเอ๋อร์พยักหน้า และหมุนตัวกลับ “ปีใหม่นี้หนูจะกลับไปหาเหรินเหรินกับฉีฉีน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าในท้องของคุณนายสามจะเป็นน้องชายหรือน้องสาว”
“ถ้ากลับไปตอนปีใหม่ตอนนั้น เราก็เอาของขวัญไปให้นะ พวกเขาต้องดีใจแน่นอน” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยอย่างยิ้ม ๆ
“อื้ม!” เยียนเอ๋อร์พยักหน้า
เมื่อเธอออกไปกับพ่อแม่ เธอถึงได้รู้ว่าการมีน้องชายนั้นมีความสุขเพียงใด ไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียว และสามารถทำทุกอย่างได้โดยมีคนอยู่เป็นเพื่อน
เธอคิดถึงพวกน้องชายเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าพวกน้อง ๆ จะคิดถึงเธอบ้างไหม
เหรินเหรินคิดถึงแน่นอน ขนาดวันนี้ยังให้พ่อตัวเองเอาพุทราแดงไปให้พี่สาวของเขาด้วย “พี่สาวของผมชอบกินพุทราแดง ถ้าพ่อบอกให้ลุงเหอซานเอาของไปส่งเมื่อไหร่ เอาไปให้พี่สาวผมตะกร้าหนึ่งด้วยนะครับ”
“ได้สิ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบรับ
เหรินเหรินพยักหน้า ส่วนฉีฉีนั้นไม่ได้สนใจ เขาลืมเรื่องของเยียนเอ๋อร์ไปเกือบหมดแล้ว
เขาเดินเข้ามากอดขาของผู้เป็นพ่อ “พ่อ พาผมไปอ่างเก็บน้ำหน่อย ผมจะไปดูเป็ด!”
“วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้แล้วกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
“ไปวันนี้! ” ฉีฉีไม่ยอม
“วันนี้พ่อไม่ได้ผ่านไปทางนั้น งั้นพ่อจะพาไปเก็บถั่วแทนนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นว่า เขาอุ้มฉีฉีขึ้นบนบ่า ฉีฉีส่งเสียงอย่างมีความสุขไม่หยุด เขารู้สึกเหมือนเขากำลังบินอยู่กลางท้องฟ้าและเริ่มโยกตัวอย่างมีความสุขขณะที่ขี่คอของพ่อ
จี้เจี้ยนอวิ๋นถามเหรินเหรินว่าจะไปด้วยกันไหม เหรินเหรินส่ายหน้า “ผมจะรอไปรดน้ำผักบนภูเขากับแม่”
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงพาฉีฉีออกไป
สองพ่อลูกมาเก็บถั่วกลางแดดจนกระทั่ง 5 โมงเย็นถึงได้กลับบ้าน
ซูตานหงพาสองพ่อลูกที่ตัวดำปี๋ไปเดินเล่นที่สวน เดินได้สักพักก็กลับไปกินข้าว นี่คือชีวิตประจำวันของเธอที่ดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อยไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด เมื่อใดที่รู้สึกเบื่อ เธอก็จะไปปักผ้า ตอนที่ปักผ้าเวลามักจะเดินเร็วเสมอ
วันถัดมาอวิ๋นลี่ลี่ก็โทรมาหา ถามถึงเรื่องของเด็กน้อยในท้อง และก็เอ่ยถึงเรื่องของพี่สะใภ้รองของหล่อน
“อย่าไปสนใจพี่ใหญ่เลยค่ะ ตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำตัวไม่ชัดเจน พี่ใหญ่ก็ชัดเจนไปแล้ว แต่พี่รองคนนี้ทำตัวไม่ชัดเจน แถมพี่สะใภ้รองยังมาขอกับฉันจนต้องเออออไปก่อน พูดตามตรงคือฉันไม่ได้อยากจะแนะนำพวกเขาเลยค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่ว่าเช่นนั้น
ซูตานหงยิ้ม “อันที่จริงร้านของพี่ใหญ่เธอในช่วงนี้ก็ทำบัญชีคลาดเคลื่อนไปบ้าง ลี่ลี่ถ้าเธอว่างก็ช่วยไปเตือนพี่สะใภ้ใหญ่เธอหน่อยนะ ให้หล่อนทำบัญชีดี ๆ หน่อย ทุกครั้งที่มีเงินเข้าออกให้จดเอาไว้ เพราะจากทุกร้านที่เปิด มีแต่ร้านของพี่สะใภ้ใหญ่ของเธอเท่านั้นแหละที่มีปัญหา”
ยอดในบัญชีคลาดเคลื่อนไม่มาก เดือนหนึ่งก็ประมาณ 5 ถึง 6 หยวน แต่ถ้าเธอไม่พูดก็เท่ากับเป็นการปล่อยปละละเลย ตอนนี้ยังน้อยก็จริง แต่ในอนาคตล่ะ?
พออวิ๋นลี่ลี่ได้ยิน ก็รีบตอบกลับไปทันที “วางใจได้เลยค่ะ ฉันจะกลับไปบอกพี่ใหญ่ทันทีเลย! ”
หล่อนรู้จักพี่สะใภ้ใหญ่ของตนดี แล้วก็ไม่ได้วางใจอะไรอีกฝ่ายขนาดนั้นด้วย!
“ช่วงนี้เหรินเหรินคิดถึงพี่สาวเขามาก ปีใหม่นี้เธอก็พาเยียนเอ๋อร์กลับมาด้วยสิ” ซูตานหงหันกลับมาพูด
“เมื่อวันก่อนเยียนเอ๋อร์ก็เพิ่งคิดถึงน้องชายไปเหมือนกันค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่ยิ้ม “ตอนที่เยียนเอ๋อร์ได้พุทราแดงก็ดีใจมาก ๆ เลย”
สองสะใภ้พูดคุยกันอีกสักพักก็วางสายไป
ซูตานหงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อวิ๋นลี่ลี่กลับโกรธมาก ไม่ใช่เพราะโกรธซูตานหงแต่โกรธพี่สะใภ้ใหญ่ของหล่อนต่างหาก
เงินเดือนก็ได้ตั้งมากมายขนาดนั้น แถมตามหลักแล้วพี่ชายของหล่อนก็จะสามารถลืมตาอ้าปากได้ภายในเวลาครึ่งปี เช่นเดียวกับคนงานเก่า ๆ ที่ทำงานอยู่ นี่ไม่ได้เห็นถึงประโยชน์จากมันเลยเหรอ?
พี่สะใภ้ใหญ่ของหล่อนกลับมองว่ามันไม่พอ แถมยังทำบัญชีเละเทะอีกด้วย หล่อนเคยเห็นซูตานหงทำบัญชีอยู่กับตา ทุกอย่างล้วนจดไว้เป็นอย่างดี เช่นว่ารับไข่ไก่มากี่ชั่งขายไปกี่ชั่ง ซึ่งมันชัดเจนเอามาก ๆ
ดังนั้นเมื่อเลิกงานแล้ว อวิ๋นลี่ลี่ก็รีบไป หล่อนเป็นคนแนะนำคนเองกับมือ จะไม่ทำให้ชื่อเสียงตัวเองแปดเปื้อนหรอก!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
การเลือกคนมาทำงานนี่เป็นเรื่องสำคัญมากจริง ๆ ค่ะ กิจการจะรุ่งหรือจะล่มก็ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ด้วยจริง ๆ
ไหหม่า(海馬)