ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 29 ภูเขาลูกนี้เป็นของฉัน!
ตอนที่ 29 ภูเขาลูกนี้เป็นของฉัน!
คุณพ่อจี้คุ้นเคยกับกรรมการหมู่บ้านเป็นอย่างดี น่าแปลกที่พวกเขายังทำงานอยู่แม้จะเป็นวันปีใหม่วันแรก ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขออะไรมากนัก เพียงแต่ลงทะเบียนให้และทำตามคำขอของคุณพ่อจี้ ซึ่งจี้เจี้ยนกั๋ว จี้เจี้ยนเยี่ย และจี้เจี้ยนเหวินต่างลงนามรับรองในสัญญาฉบับใหม่ด้วยฐานะพยาน
เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้
ส่วนซูตานหงนั้นรออยู่ที่บ้านสกุลจี้ และมองจี้เจี้ยนอวิ๋นนำหนังสือรับรองโฉนดที่ดินมาให้ จากนั้นเธอก็มอบเงินให้ทีละคน และรู้สึกพอใจกับการดำเนินการของคุณพ่อจี้มาก
นี่คือสิ่งที่ซูตานหงต้องการ และพวกเขาก็ได้ลงนามกันอย่างสมัครใจ และในสัญญายังระบุด้วยอีกว่าแต่ละครอบครัวได้เงินไปครอบครัวละเท่าไร
“จากนี้ต่อไปภูเขาลูกนี้เป็นของเราแล้วนะคะ!” ซูตานหงรับโฉนดที่ดินและเอกสารไว้พลางยิ้มให้จี้เจี้ยนอวิ๋น
จี้เจี้ยนอวิ๋นมองเธอเล็กน้อย ก่อนจะอำลาคุณพ่อคุณแม่จี้และพาภรรยากลับไป
“ไปดูยอดเขาของพวกเรากันเถอะค่ะ” หลังจากซูตานหงได้โฉนดที่ดินและเอกสารการโอนแล้ว เธอก็พูดกับจี้เจี้ยนอวิ๋น
“ตานหง อย่าไปเลยครับ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี พ่อและแม่ผมเพียงถูกพี่สะใภ้ทั้งสองบังคับให้ออกเงิน ผมสัญญาว่าต่อไปผมจะทำงานให้หนักขึ้นและหาเงินมาให้มาก ๆ นะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ซูตานหงยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้ฉันขายผ้าปักได้ 4 ชุดน่ะค่ะ เจี้ยนอวิ๋น คุณรู้ไหมว่าฉันทำเงินได้เท่าไหร่?”
จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดพร้อมกับมองไปที่ซูตานหง ” 100 หยวนต่อผืนไม่ใช่เหรอครับ?”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันบอกพวกเขาน่ะค่ะ” ซูตานหงหัวเราะออกมา แล้วโน้มตัวไปกระซิบสามี “จริง ๆ แล้วผ้าปัก 4 ชุดนั้นขายได้เกือบ 2,000 หยวนเลยล่ะค่ะ”
” 2,000 หยวน?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเบิกตากว้าง “ได้มากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“คุณคิดว่าอย่างไรล่ะคะ? งานปักผ้าของภรรยาคุณไม่ได้ขายได้ในราคาทั่วไปนะคะ” ซูตานหงยิ้มแล้วชี้ไปที่ผ้าลายร้อยวิหคคำนับพญาหงส์ในตู้แล้วพูดเพิ่มเติมว่า “คุณรู้ไหมคะว่าฉันวางแผนที่จะขายชิ้นงานปักนี้ให้กับพี่หงในราคาเท่าไหร่?”
“เท่าไหร่ครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามอย่างใจลอย
“ฉันจะไม่ขายภาพร้อยวิหคคำนับพญาหงส์นี้ถ้ามันไม่สามารถทำเงินได้ 1,000 หยวนค่ะ” ซูตานหงเอ่ย
จี้เจี้ยนอวิ๋นตกตะลึงสุดขีดและอุทานลั่น “คุณหารายได้มากขนาดนี้ได้ยังไงน่ะครับ?”
“ถ้าคุณมีฝีมือ คุณก็สามารถหาเงินเพิ่มได้ไม่น้อยเลยค่ะ คุณจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องครอบครัว และไม่ต้องรับงานที่เสี่ยงอันตรายเพื่อครอบครัวอีก ฉันไม่อยากให้คุณทำมัน เข้าใจไหมคะ?” ซูตานหงพูด
“เข้าใจแล้วครับภรรยา คุณวางใจเถอะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ
ซูตานหงได้ยินแล้วก็พอใจ ก่อนเอ่ยขึ้น “ไปดูเนินเขากันเถอะค่ะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นพาซูตานหงไปที่เนินเขาซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขาลูกที่พวกเขาสองคนขึ้นไปจับกระต่ายเมื่อวานนี้ แต่ภูเขาลูกนั้นที่พวกเขาไปจับกระต่ายกันนั้นเป็นที่สาธารณะ ในขณะที่เนินเขานี้ทั้งลูกเป็นของเธอคนเดียว!
ซูตานหงเดินดูบริเวณโดยรอบและรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง เนินเขาลูกนี้ไม่สูงนัก แต่มีขนาดใหญ่มากและกินบริเวณกว้างขวาง
เมื่อเห็นว่าเธอสนใจจริง ๆ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็บอกว่าภูเขาลูกนี้อาจกินพื้นที่มากกว่า 200 หมู่ ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะทุกคนต่างจ้องจะขอเช่าที่แห่งนี้ ราคาจึงได้ต่ำมาก แต่ประเด็นสำคัญคือที่ดินแห่งนี้เป็นที่ดินเลวอย่างยิ่ง จึงไม่มีใครต้องการเลยสักคน
“ภรรยา หากคุณต้องการใช้ที่ตรงนี้ปลูกไม้ผล คุณอาจจะขาดทุนได้นะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดขึ้นด้วยความลำบากใจ
พ่อแม่ของเขาทดลองปลูกไม้ผลมาหลายปีแล้วแต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล พวกเขารดน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวันแต่ก็ล้มเหลว ในที่สุดพวกท่านก็ต้องยอมทิ้งภูเขาลูกนี้ไป
“ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ฉันจะทำอะไรสักอย่างกับมันเอง” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมองเห็นที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาล อารมณ์ของเธอก็ดีขึ้นจริง ๆ ชาติที่แล้วมารดาของเธอได้เตรียมที่นาอันอุดมสมบูรณ์กว่า 20 หมู่ให้กับเธอเป็นสินเดิม แต่สุดท้ายเธอก็มาอยู่ โลกนี้โดยไม่ทันได้ทำอะไรกับที่ดินเหล่านั้น ดังนั้นในชาตินี้เธอจะต้องใช้ที่ดินผืนนี้เป็นแหล่งทำกินให้ได้มากที่สุด
“คุณคิดว่าเราควรปลูกผลไม้อะไรกันดีคะ?” ซูตานหงหันไปถามจี้เจี้ยนอวิ๋น
“ถ้าคุณอยากปลูก ผมว่าปลูกต้นท้อไว้ก็ดีนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเสนอความคิด เขาอยากกินลูกท้อสักหน่อย เขาไม่ได้กินลูกท้อมานานหลายปีแล้ว
“อย่างนั้นปลูกท้อสัก 10 ต้น” ซูตานหงพยักหน้ารับ “แล้วอย่างอื่นล่ะคะ”
“คุณอยากกินสาลี่ไหมที่รัก?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
“อยากค่ะ งั้นเราก็ปลูกสาลี่อีก 10 ต้น” ซูตานหงเห็นด้วย
จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้ว่าภรรยาของเขากำลังวางแผนที่จะปลูกไม้ผลเพื่อทำสวนผลไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสวนที่สามารถเก็บผลไม้ไว้กินเองได้
เขาจึงเสนอว่าให้ปลูกแอบเปิ้ล เชอรี่ มะเดื่อ ที่สามารถปลูกได้ตามที่ว่ามาทั้งหมด
“ฉันวางแผนที่จะปลูกผลไม้เปลือกแข็งด้วย เกาลัดก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะคะ” ซูตานหงพูดขณะนึกถึงเกาลัดผัดน้ำตาลที่เธอชื่นชอบ ซึ่งเธอเคยทำไว้บ้างเมื่อช่วงหนึ่ง แม้แต่เสี่ยวเฮยก็ยังชื่นชอบสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน
“งั้นปลูก 2 ต้นนะ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
“ค่ะ แล้วเราก็จะปลูกต้นพลับและพุทราอีกอย่างละ 10 ต้นด้วย ถ้ามีอะไรอีกคุณก็เสนอมาได้นะคะ ฉันจะได้หาแหล่งต้นกล้ามาปลูกก่อนจะถึงหน้าใบไม้ผลิน่ะค่ะ” ซูตานหงพูด
“คุณจะปลูกคนเดียวได้ยังไงครับ? ต่อให้คุณพ่อกับคุณแม่มาช่วย คุณก็ลงกล้าในพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหวหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
“เราก็จ้างคนงานวันละ 50 เหมาได้นะคะ มีคนมากมายในหมู่บ้านเต็มใจที่จะทำงานนี้ให้กับเราแน่ค่ะ” ซูตานหงพูดด้วยอาการสบาย ๆ
จี้เจี้ยนอวิ๋นนถึงกับชะงัก เขาพบว่าภรรยาของเขามีวินัยขึ้นทุกขณะ ค่าจ้างวันละ 50 เหมาต่อวันเท่ากับ 15 หยวนต่อเดือน เป็นจำนวนที่ดีมากสำหรับคนในเมือง ต้องทราบก่อนว่าเงินเดือนของจี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่นั้นเป็น 19 หยวนกว่าต่อเดือน รวมกันสองคนก็จะเป็น 40 กว่าหยวน
จะต้องมีคนในหมู่บ้านสนใจอยากทำงานนี้แลกกับค่าแรง 50 เหมาต่อวันแน่!
“ถ้าคุณให้คุณพ่อคุณแม่ได้ยินว่าจ้างแพงขนาดนี้ พวกเขาจะต้องไม่มีความสุขแน่” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
“มันไม่เกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะเพราะฉันเป็นคนจ่ายค่าจ้างนี้เอง แค่จ้างมาวันละ 3-4 คนต่อวัน ค่าจ้างวันละ 2 หยวนไม่นับว่าแพงอะไร” ซูตานหงกล่าว
เธอไม่เพียงแต่จะจ้างคนมาปลูกต้นไม้เท่านั้น แต่เธอยังจะจ้างคนแบกน้ำและแบกสิ่งของอื่น ๆ อีกด้วย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง
“ถ้าคุณต้องการจะปลูกจริง ๆ ผมจะติดต่อคนให้ ต้องการต้นไม้หรือผลไม้แบบไหนอะไรก็เขียนเอาไว้ เมื่อเรากลับไปที่บ้านผมจะเป็นคนโทรไปถามให้คุณเอง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
“คุณมีคนอยู่ในใจแล้วเหรอคะ?” ซูตานหงถามอย่างแปลกใจ
“ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่ได้รับอุบัติเหตุขณะทำงานจนบาดเจ็บนิดหน่อย เขาก็เลยออกมาทำเองคนเดียว หลังจากลาออกจากการเป็นทหารแล้วเหมือนว่าจะปลูกต้นไม้อยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขายังจะทำอยู่หรือเปล่าเพราะนี่มันก็หลายปีมากแล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดพร้อมกับพยักหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณก็แค่โทรไปถามเขาก็ได้ เรามีโทรศัพท์อยู่ที่คณะกรรมการหมู่บ้าน” ซูตานหงบอกกับสามีของเธอ
“คุณยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก วันนี้เป็นปีใหม่ใหญ่น่ะ ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
” ตอนนี้ไหน ๆ คุณก็กลับมาที่บ้านช่วงปีใหม่แล้ว ถ้าอยู่ไม่ไกลก็เรียกชุมนุมคนได้นะคะ” ซูตานหงกล่าว
“ไม่เป็นไร ผมกลับไปถึงแล้วจะโทรเรียกเลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
หลังจากเห็นภูเขากันพอสมควรแล้วทั้งสองคนก็กลับบ้าน ซูตานหงเริ่มทำอาหารเย็นทันที อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ต้องกลับไปที่บ้านสกุลจี้อีกแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้พวกเขาก็ใช้ชีวิตกันแบบนี้ ไม่ต้องรวมตัวกันในวันให้เป็นการรบกวนแต่ละฝ่าย
ทางที่ดีที่สุดคือให้ทุกคนใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
ซูตานหงไปที่ห้องครัวเพื่อสับเนื้อแกะและทำการตุ๋น พวกเขากินแค่โจ๊กหวานซึ่งเป็นอาหารเบา ๆ ในตอนเช้า แล้วร่างกายของจี้เจี้ยนอวิ๋นจะทนไหวได้อย่างไร?
“ตานหง? เธออยู่ในครัวหรือเปล่า?” เสียงของคุณแม่จี้ดังมาจากข้างนอก
_______________