ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 30 ขอยืมเงินจากพี่ชายสาม?
ตอนที่ 30 ขอยืมเงินจากพี่ชายสาม?
“อยู่นี่ค่ะ” ซูตานหงปิดฝาหม้อแล้วออกจากครัว
เสี่ยวเฮยเห็นคุณแม่จี้มาหาก็ไม่ได้ถอยห่างจากหน้าประตู ซึ่งนางก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกเสี่ยวเฮยเห่าใส่แต่อย่างใด กลับรู้สึกชอบใจมากกว่า “เสี่ยวเฮยหมาตัวนี้เฝ้าบ้านได้ดีมากจริง ๆ”
ซูตานหงยิ้ม
เมื่อแม่สามีกับลูกสะใภ้เดินเข้ามาในลานบ้าน คุณแม่จี้ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ตานหง แม่รู้ว่าเรื่องเมื่อเช้าทำให้เธอกับเจี้ยนอวิ๋นต้องลำบากและเสียเงินไปมาก แม่กับพ่อรู้สึกขอบคุณมากนะ”
ซูตานหงส่ายหน้า “คุณแม่อย่าพูดอย่างนี้เลยค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเดือดร้อนอะไร อีกอย่างที่ดินหลังภูเขาลูกนั้นก็เป็นของฉันแล้ว และฉันวางแผนปลูกไม้ผลในปีหน้าไว้แล้วค่ะ”
“แต่ที่ดินผืนนั้นปลูกอะไรไม่ขึ้นหรอก มันแห้งแล้งเกินไป รดน้ำไปเท่าไหร่ก็ซึมหายหมด” คุณแม่จี้ส่ายหน้า
เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้นางกับสามีทุ่มเทหมดหน้าตักและอยากจะสู้สักยกใหญ่ แต่หลังจากลงทุนลงแรงไปอย่างเปล่าประโยชน์มาหลายปี ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ลงต้นกล้าปลูกอะไรไว้
พวกเขาทำงานอย่างหนักไม่ว่าจะรดน้ำหรือใส่ปุ๋ย ซึ่งลูกชายคนโตกับลูกชายคนรองก็ไปช่วยงานด้วยไม่ว่าจะเป็นงานหนักหรือเบา แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพวกเขาก็ยอมแพ้เนื่องจากไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
แต่ผู้เฒ่าทั้งสองไม่ยอมแพ้ และใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับต้นกล้าไม้ผลในภายหลัง
“คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ถ้าฉันจะปลูกไม้ผล ฉันจะต้องปลูกสำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ” ซูตานหงกล่าว
เมื่อเห็นว่าเธออยากจะปลูกต้นไม้จริง ๆ คุณแม่จี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ขอให้เธอคิดดูให้ดีนะ เธอทำงานปักผ้ายังดีกว่ามาทำสวนเสียอีก ส่วนระหว่างที่เธอกำลังปักผ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องซักผ้าหุงหาอาหารเพราะแม่จะมาทำให้ เธอจะได้หาเงินมาทดแทน 400 หยวนที่จ่ายไปโดยเร็วที่สุดอย่างไรล่ะถูกไหม?”
ซูตานหงเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ คุณแม่ไม่ต้องทำงานบ้านให้ฉันหรอกค่ะ แค่ดูแลคุณพ่อก็พอ เจี้ยนอวิ๋นที่ต้องออกไปทำงานข้างนอกจะได้สบายใจ คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ ฉันแค่ลองปลูกดูเฉย ๆ น่ะค่ะ หากมันไม่ได้ผลอย่างไรก็จะกลับมาทุ่มเทกับการปักผ้า มีงานฝีมือนี้อยู่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรกินหรอกค่ะ”
คุณแม่จี้คิดเห็นอย่างเดียวกัน นางจึงพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยปากถาม “จริงสิ เจี้ยนอวิ๋นอยู่ที่ไหน?”
“เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าเขามีเพื่อนที่เกษียณแล้วคนหนึ่งขายต้นกล้าไม้ผลอยู่ ตอนนี้เขาไปโทรศัพท์ถามอยู่ค่ะ” ซูตานหงตอบ
คุณแม่จี้ได้ยินก็เอ่ยขึ้น “คุณพ่อของเธอก็รู้แหล่งขายต้นกล้าไม้ผลนะ ถ้าเจี้ยนอวิ๋นติดต่อทางนั้นไม่ได้ก็ให้มาถามเขาได้”
เมื่อเห็นว่าถึงเวลากินข้าวของซูตานหงแล้ว คุณแม่จี้ก็เอ่ยปากชวนไปกินข้าวด้วย แต่ซูตานหงปฏิเสธไปและบอกว่าวันนี้พวกเขาสองคนจะกินข้าวที่บ้านของตัวเอง และในครัวก็มีของอร่อยอยู่มากมาย
คุณแม่จี้รู้ว่าเรื่องในวันนี้สร้างความวุ่นวายและปัญหาให้มากมาย หากไม่ได้เงินจากบ้านสามช่วยไว้ เกรงว่าบ้านใหญ่กับบ้านรองคงยังไม่หยุดกับเรื่องนี้
หลังจากกลับไปที่บ้าน คุณแม่จี้ก็เล่าเรื่องที่คุยกับซูตานหงให้สามีของตนฟัง
คุณพ่อจี้ถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้น “ถ้าพวกเขาอยากปลูกไม้ผล เราจะไปช่วยพวกเขาปลูกในช่วงหน้าใบไม้ผลิแล้วกัน”
คุณแม่จี้พยักหน้า เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทั้งสองยังแข็งแรงกันอยู่ คุณพ่อจี้ทำได้สิบส่วน ในขณะที่คุณแม่จี้ทำได้เจ็ดส่วน
ขณะเดียวกัน อวิ๋นลี่ลี่ก็กำลังคุยกับจี้อวิ๋นอวิ๋นอยู่ภายในห้อง
“อวิ๋นอวิ๋น เธอมีอะไรปิดบังฉันอีกหรือเปล่า? เธอบอกพี่สะใภ้คนนี้มาเร็ว ว่าหล่อนปักรูปดอกไม้อะไร? หล่อนถึงได้เงินมา 400 หยวน” อวิ๋นลี่ลี่ถาม
เมื่อเห็นซูตานหงหยิบเงิน 400 หยวนออกมาต่อหน้าทุกคนได้ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าหล่อนรู้สึกตกใจมากเพียงใด
เงิน 400 หยวนนั้นมีมูลค่าที่มาก มันเกือบจะเท่าเงินเดือนของหล่อนกับสามีที่ทำงานตลอดทั้งปีเลยทีเดียว ประเด็นสำคัญก็คือซูตานหงหยิบเงินจำนวนนี้ออกมาอย่างง่ายดายได้อย่างไร? เธอต้องมีเงินอยู่มากขนาดไหน?
“ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะคะ ตั้งแต่กลับมาฉันก็ไม่ได้เห็นกับตาหรอกค่ะ แต่แม่จะเอ่ยชมหล่อนในทุกครั้งที่พูดถึง ท่านชมทุกเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นตอบ
ความจริงก็คือ เมื่อจี้อวิ๋นอวิ๋นได้ยินว่าซูตานหงยินดีที่จะให้เงิน 400 หยวนเพื่อยุติความขัดแย้งในครอบครัว หล่อนก็ตกใจไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ
แต่เมื่อหายตกใจแล้วหล่อนก็แสยะ
จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่คิดว่าซูตานหงจะโง่ขนาดนี้ เงินจำนวนมากขนาดนี้เธอก็ยังเต็มใจเอาออกมา ต่อให้มอบเงินให้เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานไปแล้ว พวกหล่อนก็ไม่มีทางสำนึกบุญคุณเธอหรอก!
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเธอมีเงิน แต่กลับบอกพี่ชายสามไม่ให้มอบเงิน 10 หยวนเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนให้หล่อน!
อวิ๋นลี่ลี่ไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หล่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “รู้แบบนี้ถ้ายืมเงินจากพี่ชายสามเพื่อซื้อบ้านได้ก็คงจะดี อย่างน้อยพี่ชายสี่ของเธอก็จะได้ไม่เครียดเรื่องเงินมากนัก”
จี้อวิ๋นอวิ๋นชะงักไป ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยกลับ “เรื่องนี้ทำได้นะคะ พี่สามเป็นคนดี เพียงแต่ว่าเขาถูกซูตานหงเป่าหูว่าไม่ให้เงินกับฉัน แต่ถ้าให้พี่สี่ไปพูดกับพี่สาม ฉันคิดว่าพี่สามต้องยื่นมือเข้าช่วยแน่ ๆ !”
“จริงเหรอ?” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยด้วยดวงตาที่ฉายวาวขึ้น
จี้อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า
อวิ๋นลี่ลี่จึงเดินออกจากห้องไปหาจี้เจี้ยนเหวินที่ลานบ้านทันที ตอนนี้เขากำลังผ่าฟืนอยู่ ในช่วงสิ้นปีเขาถึงจะได้กลับมาที่บ้านเดิมสักระยะ เพราะเขาไม่มีโอกาสกลับมาในช่วงวันหยุดฤดูร้อนเลย วันนี้พ่อแม่ของเขาไม่ได้พูดอะไรเพราะได้จ่ายเงินค่าบ้านให้เขาในตอนนั้นไปแล้ว แต่พวกท่านก็ถูกพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองฉีกหน้าต่อหน้าทุกคน
“เจี้ยนเหวิน” ขณะที่จี้เจี้ยนเหวินกำลังระบายโทสะของตัวเองไปกับการผ่าฟืน เขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากภรรยา
“มีอะไรเหรอ?” จี้เจี้ยนเหวินถาม
“เจี้ยนเหวิน เรายังเป็นหนี้ค่าบ้านอยู่มากกว่า 500 หยวน คุณก็เห็นว่าครอบครัวพี่สามร่ำรวยมากในตอนนี้ ฉันคิดว่าเราควรจะขอยืมเงินจากพี่สามจ่ายค่าบ้านที่เหลือก่อนแล้วเราค่อยคืนเงินพี่สามในภายหลังได้หรือไม่น่ะค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่กระซิบถาม
จี้เจี้ยนเหวินชะงักไป จากนั้นก็พลันจ้องมองหล่อนเขม็ง “คุณกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง พี่สะใภ้สามถึงกับต้องควักเงินออกมา 400 หยวนให้กับพี่สะใภ้ทั้งสองเพื่อที่จะยุติเรื่องทั้งหมด คุณยังคิดที่จะไปตอแยกับพี่สะใภ้สามอีกเหรอ?”
เขาเองก็ได้ยินมาจากแม่ของตนว่าเหตุที่สะใภ้สามมีเงินมากมายขึ้นมาได้ก็เพราะขายงานปักผ้า ตอนนี้สะใภ้สามได้ปรับปรุงตัวเองดีขึ้นแล้ว และแม่ของเขายังบอกอีกว่าเธอค่อย ๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว แต่พวกเขากลับมาที่บ้านหนึ่งครั้งต่อปีจึงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ในขณะที่นางได้เห็นสะใภ้สามอยู่ทุกวันจึงไม่รู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมากนัก
สิ่งที่แม่ของเขาพูดล้วนเป็นตามอย่างที่นางพูด แม่ของเขายังทำให้เขารวยขึ้นในอนาคต แต่อย่าลืมว่ายืมไปแล้วต้องจ่ายคืน เขาจึงตอบไปว่าจะจ่ายคืนทีหลัง แต่ตอนนี้ภรรยาของเขากลับมาบอกว่าให้ไปยืมเงินพี่สะใภ้เพิ่ม?
“ฉันไม่ได้บอกให้คุณยืมเงินพี่สะใภ้สาม ฉันให้คุณยืมเงินพี่สามต่างหาก!” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ย
จี้เจี้ยนเหวินสูดหายใจลึก ก่อนจะพูดว่า “คุณกลับเข้าบ้านไปเถอะ ผมยังต้องผ่าฟืนอีกเยอะ”
อวิ๋นลี่ลี่รู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันที “สรุปคุณจะไม่ยืมเงินใช่ไหม?”
จี้เจี้ยนเหวินได้ยินก็สวนกลับ “พี่สามของผมได้เงินเดือนเท่าไร? เขาจะได้เงินจริง ๆ สักเท่าไหร่ต่อให้เก็บออมหมดโดยไม่นำออกมาใช้ คิดว่าเขามีเงินอยู่เท่าไหร่ล่ะ? คุณคิดว่าเงินทั้งหมดเป็นของพี่สามหามาได้ไม่ใช่พี่สะใภ้สามที่เป็นคนหามางั้นเหรอ? คุณจะทำให้ผมแตกคอกับพี่ตัวเองโดยใช้ความเห็นแก่พี่น้องของพี่สามหรือไง? อย่าลืมว่าผมยังต้องจ่ายคืนเงินที่พี่สามให้มาอยู่ โดยที่ผมไม่ได้บอกใครสิ!”
เมื่อเห็นเขามีท่าทางโมโห อวิ๋นลี่ลี่ก็หวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย หล่อนจึงรีบพูดเสียงอ่อนลง “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่กลัวว่าคุณจะกดดันเรื่องเงินมากเกินไป เลยอยากจะ…”
“อย่าพูดเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ผมไม่กดดันมากเท่ากับการที่คุณเอาเนื้อ 2 ชั่งกลับบ้านแม่คุณบ่อย ๆ หรอก!” จี้เจี้ยนเหวินก้มหน้าก้มตาผ่าฟืนต่อ
อวิ๋นลี่ลี่ได้ยินก็ไม่พอใจ “ครอบครัวของฉันก็ให้ยืมเงินไม่น้อยนะคะ…”
“งั้นคุณจะบอกว่าพ่อแม่ผมไม่ให้ยืมเหรอ?” จี้เจี้ยนเหวินเงยหน้าขึ้นแล้วมองหล่อนด้วยสายตาเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง “คุณคิดว่ากับแค่ให้เป็ดย่าง 2 ตัวจะเป็นบุญคุณใหญ่หลวงขนาดที่ทั้งครอบครัวต้องขึ้นอยู่กับคุณงั้นเหรอ?”
อวิ๋นลี่ลี่ได้ฟังก็รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หล่อนกระทืบเท้าด้วยความโกรธจัดแล้ววิ่งกลับไป
ส่วนจี้เจี้ยนเหวินยังคงระบายโทสะไปกับการผ่าฟืนต่อ
_______________