ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 310 มองคนผ่านจมูก
ตอนที่ 310 มองคนผ่านจมูก
นอกจากรายได้ที่มั่นคงของสามีแล้ว พวกหล่อนยังลงมือทำงานนอกบ้านอีกด้วย
โดยปกติแล้วงานในบ้านเป็นหน้าที่ของพวกหล่อน และเป็นเพราะพวกหล่อนนี่เอง จึงสามารถเก็บเงินค่าแรงของสามีไปได้ไม่น้อย เช่นนี้การเก็บเงินขนาดนั้นจึงทำให้สามารถซ่อมบ้านจนเสร็จได้
สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่ซูเจวียนภรรยาของจี้เจี้ยนเหอยังเทียบไม่ติด
ตอนนี้ซูเจวียนอยู่ดูแลลูก เมื่อไม่กี่วันก่อนซูตานหงได้ยินมาว่าหล่อนทะเลาะกับแม่สามี ทะเลาะกันเสียงดังยกใหญ่ทีเดียว
สาเหตุมาจากแม่สามีของหล่อนอย่างป้าหลี่ไม่ชอบที่หล่อนแสร้งทำเป็นหญิงหัวสูง
ทั้งยังบอกว่าหล่อนไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อได้เพียงนั้น!
ตอนนี้ซูเจวียนแยกบ้านออกไปแล้ว และหล่อนเองก็ไม่ได้รู้สึกดีที่แม่สามีมาพูดเช่นนั้น จึงเอ่ยปากเถียงกลับไป
อย่างที่รู้กันว่าเมื่อครั้งที่ซูเจวียนอยู่เดือน ป้าหลี่ก็ไม่ได้มาดูดำดูดีแต่อย่างใด มีเพียงแม่แท้ ๆ ของหล่อนที่มาคอยดูแลเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าซูเจวียนเกลียดป้าหลี่ จึงไม่ได้แสดงความกตัญญูมากนัก แม้แต่เงินสักเหมาหล่อนก็ไม่คิดแบ่งปันให้
หากแต่มันก็เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น เธอเพียงได้ยินมาเท่านั้น ไม่ได้นึกสนใจแต่อย่างใด
ป้าหลี่คนนั้นยังไม่ใช่คนดีน่าคบหาสักเท่าไร
เธออยู่คุยกับหวังหงฮวาครู่หนึ่ง ซูตานหงจึงไม่รบกวนหล่อนต่อ อีกทั้งตอนนี้แดดแรงมากแล้ว
หวังหงฮวาให้กะหล่ำปลีหัวใหญ่กับเธอ ซูตานหงไม่คิดปฏิเสธน้ำใจจึงรับมาอย่างช่วยไม่ได้ อาหารกลางวันของวันนี้คงมีกะหล่ำปลีเป็นวัตถุดิบหลักแล้ว
เธอนำกะหล่ำปลีมาซอยและเอาลงผัด หั่นเนื้อหมูเป็นเส้นบางแล้วนำลงไปผัดด้วยกัน จากนั้นจึงผัดกับหอมหัวใหญ่และไข่ หลังผัดส่วนผสมเหล่านี้คลุกเคล้ากับข้าวสวยแล้ว มันก็กลายเป็นข้าวผัดผักส่งกลิ่นหอมฉุย
ต่อมาเธอจึงทำโจ๊กเนื้อใส่ไป๋เหอให้กับหยวนหยวนและเสียงเสียงที่ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ จากนั้นทำแกงจืดสาหร่ายไข่คนอีกหม้อหนึ่ง เป็นอันเสร็จสิ้น
แม้จะเป็นอาหารกลางวันที่แสนเรียบง่าย แต่เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นได้กิน เขากลับติดอกติดใจมากทีเดียว
เหรินเหรินกับฉีฉีเองก็เช่นกัน ทั้งคู่ล้วนเอ่ยปากชมว่ากับข้าวผัดผักมีกลิ่นหอมมาก
หยวนหยวนกับเสียงเสียงต่างอิ่มอร่อยเต็มที่แม้กินเพียงโจ๊ก
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ค่อนข้างยุ่งเป็นพิเศษ จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงมีงานล้นมือ ช่วงนี้เขาเริ่มใส่ใจสุขภาพของตัวเองขึ้นมาบ้าง ตอนกลางวันจะต้องนอนสักตื่น เมื่อก่อนหน้านี้เป็นซูตานหงที่ขอร้องให้เขานอนเขาถึงได้ยอมนอน พอเป็นตอนนี้เขากลับนอนเองเมื่อถึงเวลานอนแล้ว โดยมักพาเหรินเหรินเข้านอนด้วยกัน
ตอนนี้มีหยวนหยวนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
ถึงแม้ที่บ้านจะมีหยวนหยวนเพิ่มเข้ามา แต่เด็กน้อยคนนี้ก็ถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ไม่ทำตัวรบกวนคนอื่น เล่นอยู่ในส่วนของตัวเอง เธอสามารถเล่นอยู่คนเดียวได้ทั้งวัน เมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำหรือต้องการสิ่งใดจึงเอ่ยปากบอก
ทว่าเป็นเช่นนี้เพียงสองวันแรกเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็ตื่นแต่เช้าขึ้นไปเล่นบนเขาด้วยตัวเอง ตอนนี้ผลไม้มากมายบนภูเขาเริ่มทยอยสุกตามกันแล้ว เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นทั้งวัน จะลงมาก็ต่อเมื่อช่วงกินข้าวและตอนนอนเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าหยวนหยวนชื่นชอบการใช้ชีวิตในแต่ละวันเช่นนี้ น้าหลี่ผู้เป็นย่าของเธอกลัวว่าเธอจะปรับตัวไม่ได้ จึงแวะเวียนมาหาเป็นครั้งคราว
พอได้เห็นหลานสาวที่เคยซูบผอมกลายเป็นเด็กมีเนื้อมีหนัง ที่สำคัญคือหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เด็กน้อยคนนี้กลับดูร่าเริงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
นางหัวเราะพร้อมถามว่าเธออยากกลับไปอยู่กับบ้านย่าหรือไม่ หยวนหยวนส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าเธอจะอยู่กับลุงและป้าสะใภ้ที่นี่ ทั้งยังกลัวว่าจะโดนย่าพาตัวกลับไปอีกต่างหาก
คุณแม่จี้ให้เหรินเหรินพาเธอไปวาดรูป ส่งยิ้มให้น้าหลี่ก่อนบอก “ตอนนี้เด็กคนนี้สนุกสนานกับที่นี่ได้ทั้งวัน เธอกินอยู่กับลุงและป้าสะใภ้ ถึงเวลานอนก็นอนที่บ้านนั้น ช่วงกลางวันถึงไปเล่นอยู่บนเขา ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก บ้านลูกชายสามของฉันดูแลหยวนหยวนเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
“สะใภ้สามเลี้ยงเด็กเก่งจริง ๆ เลยนะ” น้าหลี่ค่อนข้างมั่นใจในตัวซูตานหงไม่น้อยทีเดียว
ดูจากลูกชายทั้งสามคนของเธอสิ คนที่อายุมากที่สุดยังไม่ทันได้เข้าเรียนก็เดินถือสมุดพร้อมกับดินสอสี ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้วาดรูปเล่นไปวัน ๆ แต่ยังวาดแบบจริงจังจนนางรู้ว่าเป็นรูปอะไรเพียงเหลือบมองครู่เดียว
“ตอนนี้หยวนหยวนยังเด็ก ของพวกนี้คงจะมากเกินไปสำหรับเธอ” ป้าหลี่เอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า หลี่จื้อเอาเงินค่าเลี้ยงดูเธอมาให้แล้ว เพียงพอที่จะซื้อของให้หยวนหยวนเลยล่ะ” คุณแม่จี้ว่า
น้าหลี่จึงไม่ได้ทักท้วง
เมื่อถึงช่วงสุดสัปดาห์ หลี่จื้อจึงกลับมาที่หมู่บ้าน เขามุ่งตรงมาหาลูกสาวของตัวเองเป็นสิ่งแรก
เขามาถึงในช่วงเย็นย่ำ พอดีกับเวลาอาหารเย็นที่ทุกคนเริ่มลงมือรับประทานกันแล้ว
จี้เจี้ยนอวิ๋นยื่นชามข้าวกับตะเกียบให้เขา หลี่จื้อร้อนใจอยากจะเห็นหน้าลูกสาวโดยไม่ได้คำนึกถึงว่าช่วงเวลา จึงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ตัวเขาเองก็ลืมกินข้าวก่อนมาที่นี่เช่นกัน
แต่เขาไม่ได้คิดจะปฏิเสธ หลังจากรับชามข้าวของตัวเองมา เขาก็หันไปป้อนหยวนหยวน
“หยวนหยวนกินข้าวเองได้แล้ว นายไม่ต้องป้อนเธอหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
หยวนหยวนกินข้าวเองได้จริง ๆ ทั้งยังกินได้อย่างเรียบร้อย ไม่ทำโจ๊กหกแม้แต่น้อย เธอแสดงออกชัดว่าชอบกินโจ๊กมาก โดยตักขึ้นมาเป่าและเอาเข้าปากเอง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู หลี่จื้อมองลูกสาวด้วยแววตาตื้นตันใจ
หลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่จื้อจึงพาลูกสาวกลับบ้าน
หากแต่หยวนหยวนกลับไม่ยอมกลับไปด้วย
“น้าเขย ให้หยวนหยวนอยู่ที่นี่เถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาหาเธอใหม่” ช่วงนี้เหรินเหรินพาหยวนหยวนไปวาดรูปด้วยกันบ่อยมาก เขาจึงสนิมสนมกับเธอ เมื่อเห็นท่าว่าหยวนหยวนไม่อยากกลับไป เขาจึงพูดออกมาเช่นนั้น
“ได้สิ” หลี่จื้อดูออกเช่นกันว่าลูกสาวตนไม่อยากกลับไปด้วย แม้ในใจจะผิดหวัง แต่กลับรู้สึกโล่งใจ
หากลูกสาวต้องการอยู่ที่นี่ แสดงว่าเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นี่
เมื่อเห็นว่าพ่อไม่พาเธอกลับไปแล้ว เด็กหญิงก็เผยท่าทางดีใจ
เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรว่าหยวนหยวนอยู่ที่นี่ หลังจากวันหยุดวันที่สองของหลี่จื้อ หล่อนก็ได้มาหา
หยวนหยวนกับเหรินเหรินขึ้นไปบนเขาแล้ว ซูตานหงเป็นคนเปิดประตูรับแขก
“พี่สะใภ้สาม” เมื่อเห็นซูตานหง จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยเรียก ก่อนเริ่มกวาดสายตามองเข้าไปในตัวบ้าน
“มีอะไรงั้นเหรอ?” ซูตานหงเอ่ยถามหล่อน
ต้องบอกว่าตั้งแต่จี้อวิ๋นอวิ๋นออกไปทำธุรกิจเป็นของตัวเอง หล่อนแต่งตัวทันสมัยทีเดียว ทั้งตัวส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทรงผมเป็นทรงที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอาง แถมยังใส่รองเท้าส้นสูง กลายเป็นสาวทันสมัยอย่างยิ่ง
อันที่จริงซูตานหงไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ จี้อวิ๋นอวิ๋นเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
ผู้ชายคนนั้นทำให้หล่อนเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ?
“พี่สะใภ้สาม พี่ดูสิ ฉันซื้อรองเท้าส้นสูงมาฝากด้วย กำลังเป็นที่นิยมมาก ๆ ในตอนนี้เชียวนะ มีขายแค่ที่เซี่ยงไฮ้เท่านั้น ทั้งเมืองนี้มีเพียงร้านของฉันเท่านั้นแหละค่ะที่มีขาย ส่วนกระเป๋านี้ก็มาจากเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน เป็นหนังแท้คุณภาพพิเศษเลยนะคะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นนึกขึ้นได้ ยื่นของฝากของหล่อนมาให้
ซูตานหงมีใบหน้าเรียบเฉย ก่อนเอ่ย “ของพวกนี้ฉันใช้ไม่เป็นหรอก เธอเอากลับไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา”
“พี่สะใภ้สาม ฉันรู้ว่าฉันทำเรื่องผิดพลาดไป แต่พี่ก็อย่าดูถูกฉันมากขนาดนั้นได้ไหม?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเก็บสีหน้าของตัวเอง และมองหน้าเธอกลับอย่างไม่คิดมาก
แม้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในชาตินี้ แต่เยียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ป่วยอีกต่อไปแล้ว พ่อแม่ของหล่อนยังแข็งแรงสุขภาพดี แม้แต่พี่ชายคนที่สามของหล่อนก็เปลี่ยนจากคนจนในชาติก่อนกลายเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยขึ้นมาเพียงนี้
ส่วนผู้หญิงอย่างซูตานหงน่ะเหรอ เธอยังคงมองคนผ่านจมูก*ของเธอเสมอ
* มองคนผ่านจมูก = ดูถูกคนอื่น