ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 312 เหล่าจางเกษียณแล้ว
ตอนที่ 312 เหล่าจางเกษียณแล้ว
ส่วนทางฝั่งซูตานหงนั้น เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา เธอจึงได้เล่าเรื่องให้เขาฟังอีกครั้ง
จี้เจี้ยนอวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “ธุรกิจของครอบครัวเรา หล่อนจะไปรู้อะไร?”
ไม่ว่าจะเป็นทั้ง 2 ร้านในตัวเมือง ร้านค้าในเมืองเจียงสุ่ย หรือแม้แต่ร้านค้าอีก 2 แห่งในเมืองมหาวิทยาลัย กิจการทั้งหมดต่างก็ดำเนินไปด้วยดีมาก
ลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ในความมีเสถียรภาพนี้เอง กิจการยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
พ่อค้าเร่บางคนถึงกับมารับสินค้าไปขายต่อ อีกทั้งความต้องการในแต่ละเดือนก็เพิ่มมากขึ้น
เหตุผลคืออะไรน่ะเหรอ? สินค้าของครอบครัวเขามีคุณภาพยอดเยี่ยมมากน่ะสิ ลูกค้าจึงกลับมาซื้อซ้ำเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ร้านค้าทั้ง 2 แห่งในเมืองมหาวิทยาลัย กลุ่มคนชราที่เกษียณแล้วต่างไม่ต้องการซื้อของจากร้านอื่น พวกเขาชอบที่จะซื้อของเหล่านั้นในร้านของจี้เจี้ยนอวิ๋น
จนตอนนี้ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว พวกเขาก็ยังรักในสินค้าของครอบครัวเขาเท่านั้น
“ถึงหล่อนจะพูดแบบนั้น แต่สิ่งที่หล่อนพูดก็ไม่ใช่เรื่องเท็จทั้งหมดนะคะ” ซูตานหงกล่าว
เมื่อไม่นานมานี้เจินเหมียวหงได้มาพูดคุยกับเธอถึงเรื่องสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เกิดภายนอก ตอนนี้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ฟาร์มขนาดใหญ่ก็เริ่มดําเนินไปทีละส่วน ซึ่งการแข่งขันจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้ ซูตานหงจึงเล่าเรื่องที่จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดให้จี้เจี้ยนอวิ๋นฟัง
จี้เจี้ยนอวิ๋นปลอบใจเธอ “ครอบครัวของเรามีสินค้าคุณภาพดี ทั้งยังราคาไม่แพง พวกเขาสามารถรู้ข้อดีข้อเสียได้ด้วยตัวเอง คุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
“ฉันมีอะไรให้ต้องกังวลกันคะ” ซูตานหงยิ้ม “ต่อให้ครอบครัวเราจะแย่แค่ไหน ก็ยังมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์อยู่”
ทั้งยังมีบ้านอีกหลายหลัง และมีร้านค้าอีกหลายแห่งที่อยู่ในทำเลดี จะเลวร้ายกว่านี้ได้อย่างไร?
อีกอย่าง หากธุรกิจในครอบครัวไม่ดีจริง ๆ ขึ้นมา เธอก็แค่กลับไปทำอาชีพเก่า
ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ครั้งล่าสุดที่ได้พบกับเจินเหมียวหง อีกฝ่ายยังได้ให้ชุดงานปักผ้าแก่เธอเพื่อทำในเวลาว่าง และเจินเหมียวหงยังให้ราคาสูงถึง 2,000 หยวน
1 เดือน เธอสามารถปักได้ 1 ชุด เงินจำนวนนี้ยังเลี้ยงครอบครัวไม่ได้อีกเหรอ?
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม เขายังคงฟังคำพูดของภรรยา ทว่าความจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงที่ไกลออกไป แม้แต่คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงบางคนยังได้ทำสัญญาเช่าภูเขาเพื่อปลูกผลไม้และทำฟาร์มไก่กันแล้ว
และได้ยินว่าทำได้ดีมาก
ดังนั้นในอนาคตจึงย่อมมีการแข่งขัน และจะค่อย ๆ ขยายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น เรื่องเหล่านี้จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้ดีแก่ใจ แต่เขาไม่คิดว่าสินค้าของตัวเองจะแย่กว่าของครอบครัวอื่น
อย่างไรก็ตามเขาก็เริ่มเข้มงวดกับร้านค้าของเขามากขึ้น
ทัศนคติในการซื้อและขายต้องดี หากของไม่ดีสามารถชดเชยให้ได้ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลกับลูกค้า มันต้องเป็นความรับผิดชอบของครอบครัวเขา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องน้ำหนัก การชั่งต้องมีความเที่ยงตรง ไม่ว่าจะน้อยแค่ไหนก็ไม่ควรมีสถานการณ์นี้เกิดขึ้น
หากต้องการทำธุรกิจ คุณภาพและความน่าเชื่อถือของสินค้าภายใต้ชื่อต้องอยู่ในระดับดี นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ส่วนจี้เฟิงที่จัดการหน้าร้านและเซียวต้าจวินที่อยู่กับพี่ใหญ่อวิ๋นก็ดำเนินการอย่างเคร่งครัดเช่นกัน เนื่องจากจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ค่อยคุยกับพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจังนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำและเปลี่ยนให้คนอื่นมาทำแทน!
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ด้วยเงินเดือนที่เขาให้ หากจะรับสมัครคนจากข้างนอกก็หาได้หลายคน
เมื่อเวลาผันผ่านไป มันก็ถึงฤดูกาลที่เชอร์รี่สุกงอมแล้ว
กล่องเชอร์รี่ถูกส่งไปยังเมืองมหาวิทยาลัยและเมืองเจียงสุ่ย รวมถึงในอำเภอด้วยเช่นกัน แต่ปริมาณที่ส่งไปในเมืองมหาวิทยาลัยยังถือว่าไม่เพียงพอ นับได้ว่าเป็นเพียงแค่ 2 ใน 10 เท่านั้น
ในวันนี้เองจี้เจี้ยนอวิ๋นได้กลับมาพร้อมกับจดหมายในมือ “พ่อบุญธรรมเขียนจดหมายมาถึงผมด้วยล่ะครับ”
“ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงวันเกษียณแล้วใช่ไหมคะ?” ซูตานหงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
“ถึงตอนนั้นคุณก็ไปรับ ส่วนฉันจะจัดการที่บ้านเองค่ะ” ซูตานหงกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
ซูตานหงได้ให้รายการของที่จำเป็นต้องซื้อแก่เขา เวลากินต้องลงจากภูเขามากินข้าวด้วยกันที่บ้าน ทว่าที่บ้านห้องนอนมีไม่พอ จึงต้องขึ้นไปนอนบนภูเขา แต่บนภูเขายังมียุงชุม ดังนั้นมุ้งกันยุงจึงเป็นสิ่งจําเป็น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อากาศได้ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และบนภูเขาก็ไม่มีไฟฟ้า เช่นนั้นก่อนนอนคืนนี้คงต้องวางน้ำแข็งเอาไว้
แต่บนภูเขาก็มีอากาศร้อนแค่ช่วงก่อนนอนเท่านั้น พอตกดึกอากาศจะเย็นสบายมาก ถึงขนาดต้องห่มผ้าด้วยซ้ำ เนื่องจากความหนาวเย็นจากบนภูเขา
นี่คือสิ่งที่คุณแม่จี้พูด
คุณพ่อกับคุณแม่จี้ต่างก็รู้ว่าเหล่าจางกําลังจะมา เมื่องานกินเลี้ยงวันสิ้นปีครั้งก่อนเขาก็ได้สาบานตนว่าเป็นญาติกันต่อหน้าสามีภรรยาชราแล้ว
คุณพ่อกับคุณแม่จี้ไม่มีความเห็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าเหล่าจางเป็นศาสตราจารย์อาวุโสของมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก
มีเหล่าจางช่วยสอนหลาน ๆ สักคนสองคน ยังจะต้องกังวลใจว่าพวกเหรินเหรินจะเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ไม่ได้อีกหรือ?
ไม่แน่ว่าในอนาคต การไปปักกิ่งเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็อาจเป็นไปได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องความสัมพันธ์ไว้ไม่ใช่หรือ?
หากสามารถมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นความรุ่งโรจน์ของวงศ์ตระกูลนัก ทั้งยังเป็นหน้าเป็นตาให้แก่บรรพบุรุษอีกต่างหาก
ดังนั้นเมื่อสองผู้เฒ่ารู้ว่าเหล่าจางกำลังจะมา จึงเตรียมการอย่างขมีขมัน
แม้แต่คุณพ่อจี้ยังพูดขึ้น “บนภูเขายังไม่ได้ติดตั้งไฟฟ้าเลย ไม่รู้ว่าเหล่าจางจะเคยชินกับมันหรือเปล่า”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนปักกิ่ง มาจากถิ่นที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มาที่นี่ก็ใช่ว่าจะปรับตัวได้
แต่สำหรับการมาที่นี่ของเหล่าจาง หากไม่ผิดพลาดก็คงจะมาอยู่ให้ดูแลยามแก่เฒ่า คุณพ่อจี้เองยังไม่คัดค้าน แล้วลูกชายของเขาจะไม่พอใจได้อย่างไร?
และยังบอกอีกว่าตัวเขาเองมีเงินเดือนเกษียณเพิ่มขึ้นทุกปี แล้วจะนับเป็นอะไรได้?
แต่คุณแม่จี้กลับพึมพําขึ้นมา “หลังจากพ่อบุญธรรมของเจี้ยนอวิ๋นมาแล้ว เขาก็จะไม่กลับไปแล้วใช่ไหม?”
คุณพ่อจี้ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่านางหมายถึงอะไร เขาขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “คุณอย่าคิดแบบนั้น เขาเป็นศาสตราจารย์อาวุโสของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีเงินเดือนเกษียณ หากได้รับการสั่งสอนจากเขา ไม่ว่าจะเป็นเหรินเหริน ฉีฉี หรือเสียงเสียง ในอนาคตเรื่องนั้นจะเป็นประโยชน์ไปตลอดชีวิต มีเงินเท่าไหร่ก็แลกมาไม่ได้!”
“ฉันก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนี่คะ” คุณแม่จี้กล่าว
“พวกเรายังไม่สนิทกับเหล่าจางมากนัก แต่นิสัยของเหล่าจางก็ดื้อรั้นเหมือนกัน คุณอย่าคิดแบบนั้นเลย ไม่อย่างนั้นเจี้ยนอวิ๋นคงไม่เห็นด้วย ฉันคิดว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าจางนะ” คุณพ่อจี้พูด
“เจี้ยนอวิ๋นเคยไม่ดีกับใครด้วยเหรอ?” คุณแม่จี้กล่าว
ถึงแม้นางจะบ่นพึมพำ แต่นางก็ช่วยซูตานหงเตรียมของบางอย่างไว้ให้ ล้างเสร็จแล้วจึงนำออกมาตากแดด
เวลาครึ่งเดือนนั้นจะว่าไปก็ไม่สั้นไม่ยาว ท่ามกลางความยุ่งของจี้เจี้ยนอวิ๋น มันก็ผ่านไปในพริบตา
เหล่าจางนําทรัพย์สินสําคัญและเสื้อผ้ามาหลายชุด พร้อมกับคู่หูเก่าของเขาที่มาส่งยังสถานีรถไฟ
“นายจะกลับมาเมื่อไหร่?” ชายชราถามเขา
“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าไม่ชินกับการอยู่ที่นั่น ไม่กี่วันก็จะกลับมา” เหล่าจางกล่าว
“แล้วถ้าชินล่ะ?” ชายชราพูด
“ถ้าชินแล้ว งั้นคงต้องดูอีกที” เหล่าจางโบกมือแล้วพูด “เอาล่ะ ฉันจะขึ้นรถแล้ว จะถึงเวลาแล้ว”
“อย่าลืมส่งน้ำผึ้งมาให้ฉันสักขวดล่ะ!” ชายชราเตือนเขา
“เข้าใจแล้ว” เหล่าจางโบกมือโดยไม่เงยหน้า