ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 317 ปัญหาการมีบุตร
ตอนที่ 317 ปัญหาการมีบุตร
หลังจากจี้ต้าหย่งกับไช่จ่านกั๋วถมที่ดินเสร็จ พวกเขาก็ลงมือเพาะปลูกถั่ว
ในช่วงหลายวันแรกที่เริ่มปลูก ซูตานหงได้พาเสียงเสียงกับหยวนหยวนขึ้นมาทุกวัน โดยให้หยวนหยวนถือบัวรดน้ำอันเล็ก เพื่อไปรดน้ำพุวิเศษให้ถั่วเหลืองเหล่านี้
แน่นอนว่าหยวนหยวนรดน้ำได้อย่างจำกัด ที่สำคัญคือซูตานหงฉวยโอกาสนี้ตอนจี้ต้าหย่งกับไช่จ่านกั๋วลงไปตักน้ำ แต่หยวนหยวนกลับตกหลุมรักกิจกรรมนี้อย่างเห็นได้ชัด
ทุกเย็นเมื่อถึงเวลา เธอจะหยิบบัวรดน้ำขนาดเล็กขึ้นมาและไปหาป้าสะใภ้สามของเธอ
ซูตานหงมักจะพาเธอและเสียงเสียงออกไปเล่นข้างนอกเมื่อมีเวลา เสียงเสียงไม่ชอบอยู่บ้าน ตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้กําลังหัดเดิน จึงเอาแต่คิดจะออกไปวิ่งเล่นทุกวัน
เหรินเหรินเริ่มเรียนรู้การคัดตัวอักษรโดยใช้พู่กันจากปู่บุญธรรมของเขา ซูตานหงจึงไม่สนใจมากนัก ทุกเช้าเขาจะตื่นแต่เช้าพาต้าเฮยออกไปด้วยกัน มีต้าเฮยอยู่ด้วยแบบนี้ แม้แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็วางใจ
อีกอย่างมันอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขาเอง ไม่ได้ไกลมากนัก
ฉีฉียังซื้อพู่กันเขียน กระดาษข้าวและหมึกด้วย แต่ก้นของเจ้าเด็กนี่เหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอยู่ตลอด จึงไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้
คราวที่แล้วตอนซื้อของพวกนี้ ซูตานหงได้คุยกับเขาแล้ว ดังนั้นเจ้าเด็กคนนี้จึงยอบตัว* อยู่ข้างซูตานหง และไม่ต่อต้านในสิ่งที่ซูตานหงขอให้เขาทำ
*ยอบตัว ในที่นี้หมายถึง อาการที่แสดงออกบอกให้รู้ว่าเห็นด้วย ไม่ขัด ตกลงปลงใจ
สำหรับในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง ทรุดลง, ย่อลง, หมอบ, ฟุบ, เช่น ยอบกาย ยอบตัวลง
“ไปสิ เอาขนมไปให้ปู่บุญธรรมและพี่ชายของลูก” บ่ายวันนี้ หลังจากซูตานหงทำขนมเสร็จจึงส่งไปให้
เหรินเหรินอยู่บนภูเขากับปู่บุญธรรมของเขา เพราะต้องการศึกษาหาความรู้จากปู่บุญธรรม ดังนั้นเขาจึงอยู่กับปู่บุญธรรมของเขาในตอนนี้
“ตอนนี้อากาศร้อนมาก แม่เรียกต้าเฮยไปส่งสิครับ” ฉีฉีเพิ่งกินขนมงาตัดและถั่วเขียวต้มเสร็จ เมื่อท้องอิ่มจึงไม่เต็มใจที่จะเคลื่อนไหว และเริ่มโยนภาระไปให้ต้าเฮย
“ร้อนอะไรกัน ทีตอนที่ลูกวิ่งไปรอบ ๆ อย่างกับลิงทำไมถึงไม่บอกว่าร้อนล่ะ?” ซูตานหงพูด
ฉีฉีถอนหายใจ ไม่มีทางเลือกนอกจากพาต้าเฮยขึ้นไปบนภูเขา ต้าเฮยยังคาบตะกร้าที่มีต้มถั่วเขียวเย็นไว้ในปากของมัน ฉีฉีถือขนมในมือแล้วคลุมด้วยผ้าเช็ดหน้า
1 คน 1 สุนัขขึ้นมาส่งอาหาร
“ทำไมอากาศร้อนขนาดนี้ถึงเอาขึ้นมาส่งล่ะ?” เหล่าจางพูดขณะรีบรับมันมา
“แม่ผมให้มาส่งครับ” ฉีฉีบิดข้อมือของเขา มีขนมไม่มากนักก็จริง แต่พอยกขึ้นมาเขาก็ยังรู้สึกเจ็บมืออยู่บ้าง
“ไม่ต้องให้แม่เธอส่งขึ้นมาแล้ว ต่อไปปู่บุญธรรมจะลงไปกินเอง” เหล่าจางพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้เปลืองแรงอะไร” ฉีฉีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเหรินเหรินเขียนตัวอักษรตัวใหญ่เสร็จ จึงล้างมือมาดื่มถั่วเขียวต้มกับกินขนมงาตัด
ขนมงาตัดมีรสหวานเล็กน้อย ส่วนถั่วเขียวต้มไม่มีรสชาติ แต่เมื่อเสิร์ฟพร้อมกัน มันกลับเข้ากันดีและเย็นสดชื่นมาก
ฉีฉีก็มาดูตัวอักษรพู่กันที่พี่ใหญ่ของเขาคัด ตอนนี้ยังคัดได้ไม่ดีนัก ดูโยกโย้ราวกับไก่เขี่ย
“น่าเกลียดอะไรขนาดนี้?” ฉีฉีพูดออกมาตามตรง
“ถ้านายเขียนได้ดี นายก็ลองดูสิ” เหรินเหรินกล่าว
“คิคิ ช่างมันเถอะ” ฉีฉีหัวเราะคิกคัก เขาไม่ชอบเขียนอะไรพวกนี้ มันน่ารําคาญมาก “ปู่บุญธรรม ตอน 5 โมงครึ่งปู่กลับบ้านไปกินข้าวเองนะครับ ผมจะไม่ขึ้นมาเรียกแล้ว”
“เข้าใจแล้ว” เหล่าจางรับคํา
หลังจากที่ฉีฉีลงจากภูเขา เหรินเหรินยังรู้สึกว่าตัวเองต้องคัดลายมือต่อไป อีกประมาณ 10 นาทีต่อมา เหล่าจางก็บอกให้เขาพักผ่อน “ไปเติมน้ำให้แกะแล้วงีบหลับซะ”
“ได้ครับ” เหรินเหรินไปเติมน้ำให้แกะ จากนั้นจึงกลับมานอน เมื่อตื่นนอนก็ฝึกไท่จื้อกับปู่บุญธรรมของเขา พอฝึกเสร็จก็ฝึกเขียนพู่กันต่อ ถึงแม้คนจะยังไม่โตแต่ก็มีความอดทนสูงมากและสามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้
สิ่งนี้ทำให้เหล่าจางรักในพรสวรรค์ของเขาจริง ๆ เขารู้สึกว่าหากหลานชายคนโตของเขาได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี อนาคตย่อมไม่เลวร้ายไปกว่านี้อย่างแน่นอน
เพียงชั่วพริบตาก็เข้าสู่เดือนสิงหาคมแล้ว เดือนนี้อากาศร้อนจริง ๆ ไม่เพียงแค่ร้อนแต่ยังอบอ้าว!
เด็กจำนวนไม่น้อยมีตุ่มขึ้นที่ศีรษะและมันยังอักเสบด้วย ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงทายาแดง*
*ชื่อสามัญคือเมอร์โบรมิน ชื่อทางเคมีคือ dibromohydroxymercurifluorescein เป็นสารระงับเชื้อเฉพาะที่ ปัจจุบันหลายประเทศยกเลิกใช้ไปแล้ว เนื่องจากมีส่วนผสมของปรอทอยู่
เมื่อฉีฉีเห็นเด็กคนอื่นทา เขาเองก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ดังนั้นจึงเข้าไปก่อกวนซูตานหงและบอกว่าเขาอยากทาด้วย ซูตานหงจึงทาให้เขา โดยไปขอยืมจากบ้านป้าหยางมาทาให้เขาก่อน
หลังจากได้ทามันไปเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่ก็พอใจมาก
“ไม่รู้จะทำยังไงแล้วค่ะ โดนเจ้าเด็กดื้อนี่มาวอแวอยู่ได้” ซูตานหงไล่ฉีฉีออกไปแล้วยิ้มให้ป้าหยาง
“ก็เอาไว้ที่บ้านเธอนั่นแหละ ที่เหลือป้าก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอก” ป้าหยางพูดด้วยรอยยิ้ม
“เวลาท้องต้องกินผลไม้ให้มากนะคะ เด็กเกิดมาผิวจะได้ไม่แย่ ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกเขาจะโต” ซูตานหงพูด
ไม่ว่าจะเป็นเหรินเหริน ฉีฉี หรือเสียงเสียงลูกคนสุดท้อง เมื่อรู้ว่ามีลูกอยู่ในครรภ์ เธอจะเริ่มกินอย่างมีสติ
แต่ละวันต้องกินอาหาร 3 มื้อให้เพียงพอ ผลไม้ต้องไม่ขาด โดยปกติแล้วยังมีน้ำพุวิเศษด้วย ดังนั้นเมื่อลูกทั้ง 3 คนคลอดออกมา ผิวพรรณจึงดูดีมาก ยังไม่พ้นช่วงอยู่เดือนก็ขาวอวบอ้วนแล้ว
เสียงเสียงอ้วนจ้ำม่ำ แขนขาเล็ก ๆ ของเขามีรูปร่างราวกับเผือกอ้วน ๆ ผิวเนื้อของเขาไม่มีตุ่มผุดขึ้นมา เพราะเธอคิดว่าเธอกินอย่างดีในตอนที่ตั้งครรภ์
“ปีหน้าต้าหยาจะแต่งงานแล้วเหรอคะ?” ซูตานหงถาม
ปีนี้ต้าหยาอายุ 17 ปีแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วซูตานหงเคยพบหล่อน อีกฝ่ายโตเป็นสาวสะพรั่ง สูง 160 เซนติเมตร แถมยังหน้าตาดีอีกด้วย
ปีนี้อายุ 17 ปีหน้าก็จะอายุ 18 นับว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“ปีหน้าก็แต่งงานแล้ว” เมื่อพูดถึงหลานสาวของนาง ป้าหยางก็ยิ้มเช่นกัน
“แต่งก็ดีแล้วค่ะ คุณลุงกับคุณป้าก็เห็นเจ้าหนุ่มกวงซงแล้วนี่คะ ไม่ต่างกันเลย” ซูตานหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เธอเองก็มีทัศนคติที่ดีต่อจี้กวงซง
“มันเป็นเรื่องในบ้านของหล่อน ตอนนี้มีการวางแผนครอบครัวแล้ว คงไม่สามารถคลอดลูกเหมือนเมื่อก่อนได้”
แม่ของจี้กวงซงได้ให้กำเนิดลูกสาวอยู่หลายคน กว่าจะให้กำเนิดลูกชาย หากจี้กวงซงเป็นเหมือนแม่ของเขา ไม่รู้ว่าต้าหยาจะถูกตำหนิหรือไม่
“ตอนนี้สังคมเป็นแบบไหนแล้ว ใครจะสนว่าเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันคะ” ซูตานหงพูด
“ตานหง จากที่เธอคลอดพวกเหรินเหรินเด็กตัวขาวอ้วนทั้ง 3 คนได้ติด ๆ กันแบบนี้ เธอมีสูตรลับอะไรหรือเปล่า?” ป้าหยางถามเสียงเบา
ซูตานหงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถ้าฉันมี ฉันคงไม่ให้คนอื่นหรอกค่ะ แต่จะยกให้ต้าหยาแทน การแต่งงานของหล่อนก็ถือว่าฉันเป็นแม่สื่อคอยดูแลให้ ฉันจะไม่หวังให้หล่อนได้ดีเหรอคะ?”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก” ป้าหยางกล่าว
“ฉันรู้ค่ะ แต่สูตรลับนั่น ฉันไม่มีหรอกค่ะ การจะมีลูกชายหรือลูกสาวเป็นเรื่องของโชคชะตา คุณป้าอย่าคิดมากไปเลยค่ะ ลูกหลานยังไงก็มีชะตาเป็นของตัวเองไม่ใช่เหรอคะ? ดูอย่างบ้านรองและบ้านสะใภ้สี่ของฉันสิ ไม่ใช่ว่ามีลูกสาวเหรอคะ? แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็ปกติดี” ซูตานหงพูด
“ก็จริง” ป้าหยางพยักหน้า
ซูตานหงคุยกับนางอยู่สักครู่ก่อนจะกลับบ้าน ซึ่งตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นอยู่ที่บ้าน เป็นวันที่หาได้ยากที่เขาจะไม่ทำงาน เนื่องจากอากาศร้อนเกินไป เขาจึงไม่ออกไปข้างนอก เสียงเสียงนอนอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ เขาชอบอยู่กับพ่อของเขา เมื่อเห็นซูตานหงกลับมา ก็ส่งเสียงเรียกแม่ แล้วหันไปเล่นหุ่นยนต์ในอ้อมแขนของพ่อเขาต่อ
จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังตรวจสอบบัญชี ตราบใดที่เขาไม่ออกไปข้างนอก เขาก็จะถือปากกาเพื่อคำนวณบัญชี