ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 321 ราคาบ้านในภายภาคหน้า
ตอนที่ 321 ราคาบ้านในภายภาคหน้า
สิ่งที่ซูตานหงพูดมามีเหตุผล ตอนนี้บ้านของจี้เจี้ยนเหวินที่เมืองเจียงสุ่ยเป็นของเขากับอวิ๋นลี่ลี่
แค่บ้านหลังนั้นก็มีมูลค่ามหาศาลแล้ว
น้อยคนนักจะรู้ว่าครอบครัวของเธอมีบ้านหลายหลัง ซึ่งเจินเหมียวหงเป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องนี้
หากแต่หล่อนไม่เคยแพร่งพรายให้กับใคร
ทุกคนจึงไม่รู้ว่าเธอมีบ้านหลังอื่นด้วย
ไม่เพียงแค่บ้าน ยังรวมถึงร้านค้า เธอบอกคนอื่นว่าเธอเช่า ทั้งที่จริงเธอซื้อถึง 2 ร้านในอำเภอ แม้จะไม่ค่อยบอกใครแต่ก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้เช่นกัน
เจ้าของร้านค้าอื่นต่างเช่ากันทั้งนั้น หากถามว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ซื้อ
ย่อมเป็นเพราะว่าไม่มีเงิน หากพวกเขามีเงิน มีหรือจะไม่ซื้อเอาไว้?
ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่น คุณแม่จี้ฟังมามากพอแล้ว และรู้สึกว่าคงเป็นการยากนักที่ลูกชายคนที่ 3 ของนางจะซื้อบ้านในเมืองได้
“ฉันได้ยินอวิ๋นลี่ลี่บอกว่าบ้านทางโน้นราคาขึ้นเร็วมากเลยนี่ เธอกับเจี้ยนอวิ๋นไม่คิดเก็บเงินเอาไว้บ้างเหรอ?” คุณแม่จี้ถาม
“เก็บได้บ้างแต่เก็บไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ แม่คะ ดูเจี้ยนอวิ๋นสิ เขาเองมีเงินไม่มาก เขาแค่ต้องการเสี่ยง ก่อนหน้านี้เราต้องเสียค่าปรับกรณีของเสียงเสียงถึง 4,000 หยวน ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะคะ” ซูตานหงบอก
คุณแม่จี้ไม่ได้มีข้อกังขาแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็มีค่าใช้จ่ายมากมายที่นึกไม่ถึง
และแม้จะหาเงินต่อเดือนได้มากมาย เงินเดือนที่ต้องจ่ายทุกเดือนนั้นยังมากกว่า 1,000 หยวน เรียกได้ว่าไม่น้อยทีเดียว
นางจึงเข้าใจเรื่องที่ลูกสะใภ้สามบอกว่าไม่อาจเก็บเงินได้
“ถ้าเธอมีเงินไม่พอ ก็มาเอาเงินจากฉันก่อนได้ เธออยากจะไปเมืองเจียงสุ่ยก่อนไหม? ถ้าเจอทำเลที่ถูกใจก็ซื้อเก็บเอาไว้ให้หลาน ให้พวกเขามีที่พักสักหลัง จะได้ประหยัดเวลาหาเงิน” คุณแม่จี้เอ่ย
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันกับเจี้ยนอวิ๋นจะพึ่งตัวเอง นี่เป็นเรื่องของลูก ๆ เรา ต่อไปพวกเขาคงหาเองได้ พวกเขาได้รับการศึกษาถึงชั้นมหาวิทยาลัย สิ่งที่พวกเขาต้องมีก็คือความสามารถในการหาเลี้ยงชีพในสังคม แค่นี้ฉันเองก็มีความสุขและสบายใจแล้วล่ะค่ะ” ซูตานหงบอก
หลังจากคุยกับแม่สามี ซูตานหงก็พาเสียงเสียงกลับบ้าน
คุณแม่จี้เอ่ยกับคุณพ่อจี้ “ถ้าคุณมีเวลาก็คุยกับเจี้ยนอวิ๋นนะคะ ถ้าเขามีเงินก็ควรจะเก็บเอาไว้ก่อน ถ้าคิดแต่จะเอาไปใช้ เขาจะเหลือเก็บอะไรล่ะคะ?”
“เถ้าแก่ใหญ่อย่างเจี้ยนอวิ๋น ผมไม่ต้องไปบอกเขาว่าอะไรควรไม่ควรหรอก” คุณพ่อจี้บอกอย่างไม่พอใจนัก
ภรรยาเขาคงไม่ได้สังเกตคำพูดเมื่อครู่ของสะใภ้สาม
แม้นางจะหวังดีกับเหรินเหรินและพวกเขา แต่จะต้องไปสนใจทำไมกับการปล่อยให้พวกเขาได้พึ่งพาตนเอง?
ตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังวางพื้นฐานให้ ต่อไปลูก ๆ ของเขาก็จะเป็นคนกลับมาดูแลกิจการไม่ใช่เหรอ?
สิ่งสำคัญคือแม้เจี้ยนอวิ๋นจะบอกว่าเช่าร้านค้าที่เมืองมหาวิทยาลัย แต่อันที่จริงมันถูกซื้อขาดมาแล้ว ไม่มีร้านใดที่เช่าเลย
ครั้งนี้เขาไปถึงปักกิ่ง ตั้งใจจะซื้อร้านค้า ไม่ใช่การเช่า
ในฐานะผู้ชายด้วยกัน คุณพ่อจี้ก็สนับสนุนให้ลูกชายเสี่ยง โดยเฉพาะในปักกิ่ง หากมีร้านค้าที่นั่น ต่อไปเขาเองคงได้ไปที่นั่นบ่อยขึ้นไม่ใช่เหรอ?
แม้จะเคยไปเที่ยวเล่นเพียงไม่กี่วัน เขาก็เห็นมาแล้วว่าปักกิ่งเป็นเช่นไร แต่กลับมีเวลาน้อยไปเสียหน่อย เขาคิดว่าหากมีโอกาสอีกครั้ง คงจะอยู่ให้นานกว่านี้
คุณแม่จี้บ่นพึมพำอย่างไม่มีความหมายอื่นใด
เย็นวันนั้นเอง นางก็ออกมานอกหมู่บ้าน
นางทำเพียงมารอหน้าหมู่บ้าน หลังจากรอได้ราวครึ่งชั่วโมง นางก็เห็นจี้อวิ๋นอวิ๋นมาถึง
“แม่” จี้อวิ๋นอวิ๋นเรียกด้วยความคิดถึง
“มานี่ เดี๋ยวใครเห็นเข้า” คุณแม่จี้ดึงมือลูกสาวมาที่ป่าเล็ก ๆ บริเวณหน้าหมู่บ้าน
“แม่คะ แม่เป็นแม่ฉันนะ มาเจอฉันจะเสียหายอะไรล่ะคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นว่าขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ยังจะถามอีก ก็เพราะแกไปทำเรื่องงามหน้าไว้ ถึงได้เดือดร้อนมาจนถึงทุกวันนี้ไง!” คุณแม่จี้เอ็ดเข้าให้
นี่เป็นลูกสาวของนางทั้งคน ครั้งที่แล้วหล่อนคุกเข่าต่อหน้านาง คำนับขอขมา ตบหน้าตนเองหลายครั้ง และขอร้องให้ยกโทษให้ หากหล่อนไม่ทำเช่นนั้น นางคงสบายใจกว่านี้
ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นก้อนเนื้อที่นางเบ่งออกมาจากท้อง
จี้อวิ๋นอวิ๋นส่งยิ้มและเอ่ย “แม่คะ เมื่อก่อนฉันเคยหลงผิดไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะไม่ทำตัวให้เป็นที่อับอายอีก ตอนนี้ฉันมีร้านค้า 2 ร้านในเมืองเราแล้ว ฉันเปิดอีกร้านในเมืองเจียงสุ่ยด้วยนะ ตั้งใจจะขยายสาขาไปทั่วประเทศเลย ฉันอยากจะส่งออกเสื้อผ้าของฉันออกไปทั่วโลก!”
“แกจัดการหน้าที่ดูแลร้านที่มีอยู่ให้ดีก่อนดีกว่านะ อย่าเพิ่งคิดการใหญ่เลย!” คุณแม่จี้ว่าเสียงแข็ง
“แม่ไม่เข้าใจหรอก นี่เป็นช่วงเวลาทองของการพัฒนาประเทศเลยนะ แค่กล้าเสี่ยงก็จะไปได้อีกไกล เห็นไหมว่าฉันเปิด 3 ร้านรวดเดียวเลย แล้วก็ได้กำไรจากทั้ง 3 ร้านภายใน 2 เดือนด้วย มากกว่า 100 หยวนเชียวนะคะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นบอก
คุณแม่จี้มุ่นคิ้ว “อย่างนั้นก็เก็บเงินไปซื้อบ้านเถอะ แกบอกฉันเองนี่ว่าควรจะซื้อไว้สักหลัง?”
“ฉันคิดอยู่ว่าจะซื้อดีหรือเปล่า? และจะไม่ซื้อที่นี่หรอกค่ะ ฉันจะไปซื้อที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว และเสิ่นเจิ้น!” จี้อวิ๋นอวิ๋นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เสิ่นเจิ้นเหรอ? แกหมายความว่ายังไง?” คุณแม่จี้ถามด้วยสงสัย
“ต่อไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เสิ่นเจิ้น จะกลายเป็น 4 เมืองใหญ่ของประเทศเราค่ะ อย่าว่าแต่ที่ดินเลย แม้แต่บ้านยังเก็บไว้ได้ถึงชั่วคนหรือ 2 ชั่วคนเลย” จี้อวิ๋นอวิ๋นบอก
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ไปซื้อเถอะ” คุณแม่จี้เอ่ย
“ฉันบอกแม่ไปแล้วว่าฉันไม่รีบ ฉันอยากจะขยายกิจการเสียก่อน พอเป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่ จะยังต้องกลัวว่าไม่มีเงินซื้อบ้านอีกเหรอคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นว่าย้ำ
“แกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน?” คุณแม่จี้ถามขณะมองหน้าลูกสาว
“ไม่ต้องสนใจว่าฉันรู้เรื่องได้ยังไงหรอกค่ะ แม่แค่ฟังฉันไว้ก็พอ” จี้อวิ๋นอวิ๋นกล่าว
หล่อนได้กลับมาเกิดใหม่ ประเทศจะพัฒนาในภายภาคหน้าอย่างไร หล่อนรู้ดีที่สุด หากทำตามแนวทางที่เป็นไป เหตุใดต้องกังวลว่าจะตามยุคสมัยไม่ทัน?
“พี่สามก็เหมือนกัน เขาตั้งใจจะทำสวนไปตลอดชีวิตเลยเหรอ? แม่คะ ดูอย่างพี่สี่สิ บ้านในตอนนี้ของพี่ต่อไปจะมีมูลค่าเป็นแสนเลยนะคะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย
“เป็นแสนเหรอ?” คุณแม่จี้ชะงัก “เพิ่มขึ้นมากขนาดนั้นได้ยังไง ตอนที่พี่สี่ของแกซื้อ ราคาแค่ 2,000 หยวนเองนะ!”
“ราคาบ้านตอนนี้จะเทียบกับในอนาคตได้ยังไงล่ะคะ? ต่อไปนี้ทุกพื้นที่จะเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น!” จี้อวิ๋นอวิ๋นบอก
ด้วยเห็นว่าเป็นแม่ตน หล่อนจึงเปิดเผยให้รู้บ้าง “พี่สี่กับพี่สะใภ้เป็นคนการศึกษาสูง วิสัยทัศน์แตกต่างออกไป ถึงจะยากลำบากมาก่อน แต่ต่อไปจะต้องมีชีวิตสุขสบายแน่”
ถึงอย่างไรพี่สี่กับพี่สะใภ้ของหล่อนก็มีอาชีพมั่นคง และยังมีบ้านที่เจียงสุ่ย ไม่จำเป็นต้องเช่าบ้าน มีอาหารกินที่โรงเรียน ทำให้ออมเงินได้มาก
อีกทั้งเยียนเอ๋อร์เป็นผู้หญิง ค่าใช้จ่ายจึงไม่มากนัก
ต่อไปราคาบ้านจะพุ่งสูงขึ้น แม้จะเป็นบ้านพื้นที่เพียง 80 ตารางเมตร มี 2 ห้องนอนและ 1 ห้องนั่งเล่น เรียกได้ว่าเป็นขนาดเล็กที่สุด แต่ยังมีชุมชนที่จะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคตอีก