ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 336 คนงานเด็ก
ตอนที่ 336 คนงานเด็ก
ผู้หญิงในยุคนี้ไม่เหมือนกับผู้หญิงในยุคหลัง ๆ และต่อให้เป็นผู้หญิงในยุคหลังจากนี้ก็คงไม่มีใครทำตัวเสเพลแบบนั้น
สามีทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว หล่อนจะทำความสะอาดบ้านและทำอาหารให้เขาไม่ได้เชียวหรือ?
หากเขามีหน้าที่ทำงานหาเลี้ยงหล่อน หล่อนก็มีหน้าที่ดูแลครอบครัวให้ดีไม่ใช่หรืออย่างไร?
ทุกอย่างควรช่วยเหลือจุนเจือกัน หากมีแต่ให้อยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ร้องขอไม่มีที่สิ้นสุด คงไม่มีทางที่จะสานสัมพันธ์กันได้อย่างยั่งยืน
การแต่งงานครั้งนี้ ไม่แปลกใจนักที่จะลงเอยด้วยการหย่าร้างในท้ายที่สุด
ด้วยเหตุที่จี้อวิ๋นอวิ๋นนอกใจเขา
เป็นธรรมดาที่เหอเชี่ยนจะได้ยินเรื่องเหล่านี้ หล่อนเป็นครูที่เพิ่งเข้ามาสอนเมื่อปีก่อน แต่สำเร็จการศึกษาจากสาขาภาษาอังกฤษ จึงรับหน้าที่สอนภาษาอังกฤษให้กับห้องหัวกะทิระดับชั้นมัธยมปลาย
แม้จะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน แต่หลี่จื้อกลับดึงดูดความสนใจของหล่อนได้
เขาเป็นชายหนุ่มเฉิ่มเชยคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่รักอาชีพอาจารย์ของเขา และไม่ต่างจากหล่อนมากนัก
เหอเชี่ยนถามจากอาจารย์สาวคนอื่นว่าใครน่าคบหาด้วย หล่อนจึงได้รู้เรื่องของหลี่จื้อ
แต่คงต้องพักเรื่องนั้นไว้ก่อน ตอนนี้เห็นทีควรสะสางเรื่องตรงหน้า
“ในเมื่อหย่ากันแล้ว ก็ต่างคนต่างอยู่ไปสิคะ ทำไมถึงตามตอแยอยู่ได้?” เหอเชี่ยนว่าเสียงเรียบ
“มันเรื่องอะไรของเธอ เรื่องระหว่างฉันกับหลี่จื้อ จำเป็นต้องให้เธอมายุ่งด้วยเหรอ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นโพล่งขึ้นทันที
“หึ ๆ” เหอเชี่ยนหลุดขำ และไม่ได้พูดอะไรอีก
หล่อนดูออกว่าแม่สาวคนนี้ปากร้ายขนาดไหน ต่อให้แต่งตัวทันสมัย แต่มันคงไม่อาจเปลี่ยนธาตุแท้ไปได้
“คุณไปก่อนเถอะครับ” หลี่จื้อบอกหล่อน
“ค่ะ” เหอเชี่ยนพยักหน้าและเดินจากไป
จี้อวิ๋นอวิ๋นเห็นว่าเขาอ่อนโยนกับหญิงอื่น แต่กลับเย็นชากับหล่อนเหลือเกิน จึงอดระงับเพลิงริษยาของตนไม่ได้
“ผมกับคุณ จี้อวิ๋นอวิ๋น หย่ากันแล้ว ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอีก ไม่มีทางที่ผมกับคุณจะกลับมาคืนดีกันได้อย่างเด็ดขาด!” หลี่จื้อเอ่ยอย่างเฉยชา
จี้อวิ๋นอวิ๋นใจสลายเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหล่อนจะพูดอย่างไร หลี่จื้อก็ไม่ชายตากลับมามอง
“กิจการของฉันใหญ่โตแค่ไหน คุณรู้บ้างไหม ฉันเปิดร้าน 2 ร้านในตัวอำเภอ และอีกร้านที่เมืองเจียงสุ่ย ต่อไปฉันตั้งใจจะเปิดร้านที่เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว และเสิ่นเจิ้น ฉันจะซื้อบ้านอยู่ที่นั่น คุณรู้หรือเปล่าว่าต่อไปแถวนั้นจะเจริญขึ้นแค่ไหน เมืองพวกนั้นจะเป็นมหานครใหญ่ในจีน แค่ซื้อห้องชุดไว้มากกว่า 10 หรือ 20 ชุด เราจะใช้ชีวิตที่เหลือโดยไม่ยากลำบากเลย!” จี้อวิ๋นอวิ๋นร่ายยาว
แต่แล้วก็ถูกหลี่จื้อปฏิเสธ “นี่เป็นอาชีพของผม ผมรักอาชีพของผม ต่อให้มีรายได้พอใช้เดือนชนเดือน มันก็พอแล้ว ส่วนเรื่องการพัฒนาอะไรของคุณ คุณก็พัฒนาไปคนเดียวเถอะ เราต่างกันเกินไป เชิญคุณตามสบายเลย!”
หลี่จื้อว่าจบแล้วก็เดินจากไป ชวนให้จี้อวิ๋นอวิ๋นหัวเสียไม่น้อย
แน่นอนว่าการแต่งงานแบบคลุมถุงชนตามธรรมเนียมดั้งเดิมนั้นทำให้ผู้คนไม่มีความสุข และการคบหากับใครอย่างอิสระก็เป็นเรื่องปกติในยุคนี้
เป็นธรรมดาที่จี้อวิ๋นอวิ๋นจะโกรธ หล่อนคิดว่าเหอเชี่ยนเป็นคนยั่วยวนหลี่จื้อ จึงคิดจะทำให้เหอเชี่ยนเผยธาตุแท้ออกมา
หล่อนจ้างพวกอันธพาล และสั่งให้ไปข่มขู่เหอเชี่ยน ด้วยหวังทำให้เหอเชี่ยนไม่มีหน้ามาที่นี่อีก
ดูผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้สิ กล้าดีอย่างไรมาแย่งหลี่จื้อไปจากหล่อน!
หากแต่ในท้ายที่สุดกลับพบว่าเหอเชี่ยนเป็นคนใหญ่คนโต หล่อนเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการเหอ
ผู้อำนวยการเหอคือใครน่ะหรือ?
เขาเป็นคนที่ไล่โจวจื่อกับจี้อวิ๋นอวิ๋นออก เป็นคนเก่าแก่ในพื้นที่ซึ่งผู้คนนับหน้าถือตา และยังเป็นผู้มีอิทธิพลเจ้าถิ่น ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานในวงการใต้ดิน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาถึงได้ล้างมือในอ่างทองคำ*มาเปิดโรงงานและเริ่มทำธุรกิจ
*วางมือจากวงการสีเทาหรือสีดำมาเริ่มต้นชีวิตแบบคนทั่วไป
หากแต่อำนาจของเขายังทรงอิทธิพลอยู่
หากคิดแตะต้องลูกสาวของเขา คิดว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุขอีกหรือ?
ด้วยเหตุนี้จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงไม่อาจอยู่ในอำเภอได้อีกต่อไป เหอเชี่ยนยังไม่ถูกแตะต้องแม้ปลายผม แต่ร้านค้าของหล่อนกลับถูกทุบทำลายจนไม่เหลือซาก ต่อให้แจ้งตำรวจไปก็ไร้ประโยชน์
หล่อนทำได้เพียงหนีไป
แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา เหอเชี่ยนไม่ได้ถูกคุกคามรุนแรงนัก จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงไม่ถูกไล่ต้อนมากนัก
อย่างไรก็ตาม เหอเชี่ยนก็เป็นหญิงสาวใจกล้าและโลกทัศน์กว้างไกลเช่นกัน หลังจากได้พบกับจี้อวิ๋นอวิ๋นในตรอกแคบ*แบบครั้งนี้ หล่อนก็สารภาพรักกับหลี่จื้อตรง ๆ และประกาศความสัมพันธ์กับเขา
*พบกันในตรอกแคบ เป็นสำนวน แปลว่าการเผชิญหน้ากับคู่แข่งหรือศัตรูคู่อาฆาต
เทียบกับเรื่องวุ่นวายในอำเภอแล้ว ที่หมู่บ้านก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของพวกเขาอยู่บ้าง ในขณะที่ตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นงานยุ่งไม่น้อย
เนื่องจากปีนี้แปลงแตงโมและสตรอเบอร์รี่ที่สวนแห่งที่ 4 ซึ่งเป็นสวนที่พ่อบุญธรรมของเขาอยู่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าจางยังบอกให้เขาสร้างเล้าไก่อีกที่ ต่อให้เขาไม่ได้นำไก่มาเลี้ยงเพิ่ม ก็นำมาเลี้ยงสักสิบกว่าตัวได้ เพราะพวกมันช่วยกินแมลงได้เป็นอย่างดี
จี้เจี้ยนอวิ๋นทำทุกอย่าง อะไรรักษาได้ก็รักษาเอาไว้ก่อน ในเมื่อมีไก่อยู่เพียงไม่กี่สิบตัว ถ้าเขาไม่อยู่ พ่อบุญธรรมของเขาก็ยังไม่ลำบากในการดูแลพวกมันนัก
เขาสร้างเล้าไก่ และทำอย่างอื่นไปพร้อมกัน เรียกได้ว่างานรัดตัวไปหมด ไม่มีเวลาว่างแม้แต่น้อย
วันนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบสบู่ไปอาบน้ำให้สุนัขหลายตัวที่สวน
จี้เจี้ยนอวิ๋นมักทำสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง แม้ในหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องทำ แต่ในหน้าร้อนเขาต้องมาอาบน้ำให้พวกมันทุก 3 วัน เมื่อครั้งที่เป็นทหาร เขาเคยอาบน้ำสุนัขตำรวจมาก่อน จึงช่ำชองเป็นพิเศษ
ด้วยความที่อาบน้ำให้เป็นประจำ สุนัขเหล่านี้จึงคุ้นเคยกับเขาเป็นพิเศษ
ตอนนี้คุณแม่จี้ไปอยู่กับลูกสาวแล้ว เหล่าจางจึงรับหน้าที่ทำอาหาร ช่วงนี้เขาจึงไม่ได้ลงไปทานข้าวด้านล่าง แต่กินที่สวนแทน
ส่วนเรื่องการหนีจากไปของคุณแม่จี้ คุณพ่อจี้ทำเพียงนิ่งเงียบมาตลอด ด้านจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่ได้พูดสิ่งใดเช่นกัน เขารู้ว่าพ่อไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะเขา คงเป็นเพราะแม่ของเขา
ตอนนี้มีเหล่าจางอยู่ เมื่อเขารู้สึกไม่สบายใจ เหล่าจางจะคว้าหมากรุกไปเล่นด้วยในยามว่าง ด้วยช่วงนี้คุณพ่อจี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ
หลังจากนั้นคุณพ่อจี้ก็เริ่มเปิดใจช้า ๆ และมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง นิสัยของลูกสาวถอดแบบจากภรรยาเขามาเลยไม่ใช่หรือ?
แต่ยังโชคดีที่นิสัยที่ถ่ายทอดไปยังลูกสาวนี้ของนางได้หายไปหลังจากแต่งงานกับเขา ไม่เช่นนั้นคงได้ทำลายครอบครัวของคนอื่น หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูกชายคนอื่น คงเรียกได้ว่าเสียเวลาชีวิตเต็มที
ต่อให้ตายไปก็คงไม่อาจมีหน้าไปพบบรรพบุรุษ
ปีนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นจ้างคนงานเด็กมาเพิ่มอีก 4 คน
พวกเขาอายุราว 13 ถึง 14 ปีได้
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กผู้หญิง อีก 3 คนเป็นผู้ชาย ทั้งหมดเป็นเด็กในหมู่บ้าน พวกเขาหยุดเรียนและลาออกจากโรงเรียนมา
เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะเข้าไปทำงานในโรงงาน หากแต่เงินเดือนที่โรงงานไม่สูงเท่าที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเสนอให้
ครอบครัวพวกเขามาถามจี้เจี้ยนอวิ๋น เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงถามกลับ “พวกเขายังเด็ก ทำไมถึงไม่ให้เรียนต่อล่ะครับ?”
“เราส่งเขาเรียนไม่ไหวหรอก” ชาวบ้านบอก
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ค่าเล่าเรียนพุ่งทะยานไปถึง 100 หยวน
จะมีสักกี่คนที่มีเงินมากเท่านั้น?
ก่อนหน้านี้หนังสือเรียนยังมีราคาไม่กี่หยวนอยู่เลย!
และการส่งเรียนต่อ อาจยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอีก!
ใครจะมีปัญญาจ่ายไหวกันล่ะ?
ดังนั้นจึงมีเด็กมากมายในหมู่บ้านที่ต้องลาออกจากโรงเรียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้