ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 342 กัดพี่
ตอนที่ 342 กัดพี่
แม่ของเสี่ยวเจียงโหวเตือนเขาหลายครั้ง แต่เสี่ยวเจียงโหวไม่สนใจหล่อน ไม่ว่าหล่อนจะพร่ำบอกอย่างไรก็ตาม เขาบอกกับแม่ “คุณน้ายังไม่ว่าอะไรผมเลย แถมบอกให้ผมกินเยอะ ๆ บอกว่าผมผอมเกินไปด้วยครับ!”
“เขาบอกว่าลูกผอม ลูกก็เลยกินเยอะอย่างนั้นเหรอ?” แม่ของเสี่ยวเจียงโหวปราม
“ต่อให้ผมกินไป ตอนที่ผมโตขึ้น ผมก็จะช่วยเสียงเสียงดูแลคุณน้า ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” เสี่ยวเจียงโหวเอ่ย
“แล้วแม่กับพ่อล่ะ?” แม่ของเสี่ยวเจียงโหวจ้องเขม็ง
“ผมก็ต้องกตัญญูอยู่แล้วสิ” เสี่ยวเจียงโหวบอก
แม่ของเสี่ยวเจียงโหวพึงพอใจ แต่หล่อนยังบอกให้สามีทำงานที่ไร่ตัวเองให้เสร็จ แล้วไปช่วยงานจี้เจี้ยนอวิ๋น ด้วยไม่อาจกินของใครโดยไม่ตอบแทนได้
พ่อของเสี่ยวเจียงโหวไม่ได้คัดค้าน เขาไม่ได้งานยุ่งมากอยู่แล้ว จึงแวะเวียนไปช่วยงาน
จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้เรื่องนี้ในภายหลัง เขาจึงหาเวลามาไถ่ถาม ในช่วงงานล้นมือช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นฤดูใบไม้ร่วง ว่าเขาต้องการมาเป็นคนงานชั่วคราวหรือไม่
“คุณขาดคนงานชั่วคราวอยู่เหรอครับ?” พ่อของเสี่ยวเจียงโหวดวงตาเป็นประกาย
“คงจะมีงานต้องทำจนกว่าจะถึงสิ้นปีเลยล่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“คุณจะให้ผมไปช่วยทำอะไรเหรอ?” พ่อของเสี่ยวเจียงโหวถาม
“ขึ้นไปช่วยให้อาหารหมูที่สวนน่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
ปีนี้เขาส่งซูจูเหมาขับรถไปรับซื้อของป่ากับจี้ต้าหย่งและจี้หงจวิน ทำให้ขาดคนงานที่สวน โดยเฉพาะคนดูแลหมู ตอนนี้หมูกินจุเป็นพิเศษ ที่สวนจึงต้องให้อาหารทุกวัน
“ได้สิ!” พ่อของเสี่ยงเจียวโหวตอบตกลงทันที
ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันมากขึ้นเพราะการทะเลาะกันของเด็ก ๆ
ซูจูเหมา จี้ต้าหย่ง และจี้หงจวินกลับมาในวันนั้น พร้อมนำสินค้าของแห้งกลับมาเต็มคันรถ เรียกได้ว่ามากกว่าปีก่อนมาก
“ปีก่อนพวกเขาไม่ได้เตรียมตัว นี้พวกเขาเตรียมการมา ถึงกับขึ้นไปหิ้วตะกร้าขึ้นไปเก็บบนเขา ถึงได้มีจำนวนมากขึ้นแบบนี้ครับ” จี้หงจวินบอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับรู้ ภรรยาของเขาชอบกินของป่าเหล่านี้ เขาเองก็ชอบเช่นกัน จึงเก็บเอาไว้กินเองบางส่วน ส่วนที่เหลือเกินมา เขาเตรียมส่งขึ้นรถไปขายพรุ่งนี้เช้า
ซูตานหงพาต้าเฮยเดินขึ้นไปที่สวนแห่งที่ 5 และ 6 เธอเห็นแล้วก็เอ่ยขึ้น “ปีนี้มีผลผลิตมากกว่าปีก่อนมากเลยนะคะ”
“ลูกค้าที่ปักกิ่งยิ่งมีของมากก็ยิ่งซื้อครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ทางรถไฟใหม่ยังไม่สร้างอีกเหรอคะ ทำไมไม่เห็นได้ข่าวคราวเลย?” ซูตานหงถาม
“น่าจะใช้เวลาอีกหลายปีครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกขณะจัดการบัญชี
สำหรับการลงบัญชีสินค้าของป่า เขามักจัดการให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียว ก่อนที่จะส่งไปในวันถัดมา
“ตอนนี้รถบรรทุกที่บ้านไม่พอแล้วนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นว่าเสริม
ซูตานหงมองค้อนใส่เขา “ที่บ้านไม่มีที่จะจอดแล้วค่ะ”
มี 2 คันแล้ว ยังไม่พออีกหรือ? คันหนึ่งใช้สำหรับส่งของไปร้านค้าต่าง ๆ อีกคันใช้ขับไปรับซื้อของป่าบนเขา ถือว่าพอดีแล้ว
“ภรรยา คุณบอกเองนี่ว่าเราน่าจะซื้ออีกคัน แล้วถ้าเกิดต้องไปรับซื้อของป่าไกล ๆ ล่ะครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
“ครั้งก่อนที่พี่หงกลับมา ได้ยินว่ามีเห็ดปลูกจำนวนมากที่จังหวัดอื่น แทนที่จะซื้อรถบรรทุกไปรับซื้อของป่าแล้วกลับมาเก็บที่สวน สู้คุณโทรถามพี่หงว่าเห็ดปลูกที่ไหน แล้วไปลองดู ถ้าเราสามารถเรียนรู้นวัตกรรมและปลูกเองได้ คุณก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีของป่าอีกแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” ซูตานหงบอก
“แล้วเราจะขนมาที่นี่ได้ยังกันครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นลังเลใจ
“แน่นอนว่าคุณก็ต้องหาทางไปเรียนรู้สิคะ” ซูตานหงเอ่ย
“ช่างเรื่องเรียนไว้ก่อนเถอะครับ ถ้าพอมีเวลา ผมค่อยไปที่นั่นและดูว่ามีชาวไร่คนไหนที่อยากจะเปลี่ยนงานไหม ถ้ามีค่อยลงมือลองกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดขณะก้มหน้าและจัดการบัญชีต่อ
ซูตานหงเลิกคิ้ว หากแต่เธอนึกไม่ถึงว่าสามีของเธอจะหัวไวเรียนรู้เร็วเช่นนี้ ตอนนี้เขาสามารถหาคนได้แล้ว
เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว
เขาทำได้อย่างที่พูดจริง ๆ แต่ติดที่ตอนนี้ไม่มีเวลา ใกล้สิ้นปีแบบนี้ ทุกร้านค้าของเขากำลังเข้าสู่ช่วงที่ยุ่งที่สุด
ของป่าถูกเก็บเกี่ยวเรียบร้อย แม้จะหยุดไปตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนหลังเก็บเสร็จก็ตาม เนื่องจากเริ่มมีหิมะตกในบางพื้นที่ ทำให้ยากต่อการเก็บเกี่ยว
ในเวลาเดียวกับที่ได้รับของป่ามา จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เก็บเกี่ยวธัญพืชได้เช่นกัน ทุกวันเขาจะขับรถบรรทุกกลับมาพร้อมด้วยสินค้าเต็มคันรถ
ถือว่าต้นทุนไม่สูงนัก เนื่องจากทุกครั้งก่อนเขาออกเดินทาง มักจะนำจานเหล็ก กระทะเหล็ก ผ้าขนหนู สบู่ และแปรงสีฟันติดไปขายด้วย รวมถึงของใช้จำเป็น เช่น ซีอิ๊ว เกลือ ถึงเริ่มออกไปรับซื้อสินค้า จึงทำให้ต้นทุนต่ำลง และยังเป็นที่นิยมในหมู่หมู่บ้านห่างไกลด้วย
ราคาของต่าง ๆ ที่เขาขายนั้นสมเหตุสมผลและไม่แพง เป็นราคาที่พอ ๆ กับการไปเลือกซื้อเอง ถือว่าเป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย
แน่นอนว่าเพราะความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นกว่าก่อน จี้เจี้ยนอวิ๋นรับซื้อของจากพวกเขาจำนวนมาก และพวกเขาไม่ได้ขายให้ใครที่มาก่อนเช่นกัน
หลังค้าขายกันมา 2 ปี ทั้งปีก่อนและปีนี้ เป็นธรรมดาที่ชาวบ้านจะเตรียมสินค้าเอาไว้อย่างดี
ร้านค้าที่ปักกิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ของป่าได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ทำให้ยอดขายธัญพืชในร้านมากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อหักต้นทุนแล้ว กิจการทางนั้นยังทำกำไรได้มหาศาล
จี้เจี้ยนอวิ๋นเผยท่าทางพึงพอใจออกมา
สิ้นเดือนพฤศจิกายน เหล่าจางพาเหรินเหรินกลับไปปักกิ่ง ด้วยเพราะต้องไปตรวจบัญชีให้จี้เจี้ยนอวิ๋น และยังแวะไปพูดคุยกับเพื่อนเก่าแก่ว่ายังสบายดี
เขาไม่ได้กลับปักกิ่งมานาน จึงได้ใช้เวลาพูดคุยเดินเล่นกันที่ลานบ้านอยู่ครู่ใหญ่
จี้เจี้ยนอวิ๋นไปส่งเขาและเหรินเหรินขึ้นรถไฟด้วยตนเอง พร้อมกำชับเหรินเหรินให้ดูแลปู่ให้ดี ตอนนี้เหรินเหรินรู้ความมากแล้ว เขารับคำพ่อเป็นอย่างดี
“พ่อบุญธรรมครับ เสร็จธุระแล้วก็กลับมานะครับ ไม่ต้องเอาอะไรมาฝากให้ลำบาก ที่บ้านไม่ได้ขาดเหลืออะไรครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ฉันรู้แล้ว” เหล่าจางโบกมือ
เขาบอกอีกฝ่ายไม่ให้ซื้ออะไรมาฝาก แต่กลับนำของติดตัวพวกเขาไปปักกิ่งตั้งมาก มีทั้งสินค้าพิเศษ และน้ำผึ้ง 2 ขวดให้เพื่อนเก่าแก่ นับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเพื่อนของพ่อบุญธรรมเขากำชับมาอย่างดี
เหล่าจางพาเหรินเหรินไปปักกิ่ง ฉีฉีเองอยากตามไปด้วยเช่นกัน แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงไม่อนุญาต
ที่ให้เหรินเหรินไป เพราะเขามีนิสัยสุขุมรอบคอบ สามารถช่วยได้มาก หากพาฉีฉีไป คงมีแต่จะก่อเรื่องเสียเปล่า
เมื่อเหล่าจางจากไป ย่อมไม่มีคนคอยทำอาหารที่สวน ซูตานหงจึงอาสาขึ้นไปทำเอง
เมื่อทำเสร็จจึงสั่งให้ฉีฉีนำไปให้คุณพ่อจี้ พ่อตาของซูอันปัง และลุงจี้
ฉีฉีออกอาการไม่พอใจ และต้องการให้น้องชายไปทำแทน แต่เสียงเสียงไม่ยอม “แม่บอกให้พี่ไปนี่ ไม่ใช่ผมสักหน่อย!”
“นายก็ไปเถอะน่า จะพูดมากทำไมกัน?” ฉีฉีบอกเขา
“ไม่ไป!” เสียงเสียงจ้องเขม็ง เพราะพี่ไม่มีเวลาไปเล่น เลยใช้ให้เขาไปส่งอาหารแทนน่ะสิ
ฉีฉีตั้งท่าจะตีเขา เพื่อบีบบังคับให้น้องชายทำตาม
เสียงเสียงพลันบอก “ถ้าพี่กล้าตีผม ผมจะกัดพี่ในตอนกลางคืนที่พี่เข้านอนแล้วให้ดู!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กลายเป็นว่าสนิทกันเพราะลูกทะเลาะกันซะงั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่นะคะ
เสียงเสียงนี่เป็นคู่ปรับฟ้าประทานของฉีฉีจริง ๆ ด้วยค่ะ แสบพอกันเลย เผลอ ๆ แสบกว่าพี่รองด้วย
ไหหม่า(海馬)