ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 40 จี้เจี้ยนอวิ๋นได้รับอุบัติเหตุ
บทที่ 40 จี้เจี้ยนอวิ๋นได้รับอุบัติเหตุ
“คุณย่า ดูรองเท้าที่อาสะใภ้สามซื้อให้ผมสิครับ ดูดีไหมครับ?” เมื่อเห็นคุณแม่จี้เดินมา โหวหวาจือก็รีบวิ่งไปอวดรองเท้าผ้าใบทันที
“ดูดีจริง ๆ ด้วย นี่อาสะใภ้สามซื้อให้หนูเหรอจ๊ะ?” คุณแม่จี้ถามเมื่อมองรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่ง เพราะบ้านใหญ่ไม่เต็มใจที่จะซื้ออย่างเห็นได้ชัด
“ใช่ครับ อาสะใภ้สามซื้อให้ผม!” โหวหวาจือยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
คุณแม่จี้ได้ยินแล้วก็ยิ้ม ก่อนเอ่ยกับซูตานหง “เธอเต็มใจซื้อรองเท้าคู่นี้ให้โหวหวาจือ ถ้าเป็นบ้านใหญ่คงไม่ซื้อแน่”
ในอดีตซูตานหงยังมีเงินไม่แน่นอน คุณแม่จี้จึงต้องคอยพูดอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว
ยิ่งนางเห็นสะใภ้คนนี้โอบอ้อมอารีมากเท่าใด นางก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น เธอดูสูงค่าราวกับเป็นฮูหยินของเจ้าที่ดินสมัยก่อนเลยทีเดียว
ตอนนี้สังคมกำลังพัฒนาดีขึ้น ไม่ต้องตรากตรำใช้แรงงานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ซึ่งคุณแม่จี้ชอบที่สะใภ้ของนางใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนี้
และหลักฐานสำคัญที่สุดของทุกสิ่งก็คือการที่ต้นกล้าไม้ผลในสวนหลังภูเขาล้วนเจริญเติบโตงอกงามดีทุกต้น!
ในหมู่บ้านและเมืองย่านนี้มีสวนผลไม้ของนางเพียงที่เดียวเท่านั้น สวนหน้าบ้านของบ้านอื่นอาจจะมีต้นไม้อยู่ 1 หรือ 2 ต้น แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับสวนผลไม้ด้านหลังภูเขา ที่นั่นจัดว่าเป็นสวนขนาดใหญ่ทีเดียว!
“ฉันคุยกับคุณพ่อแล้วว่าอยากจะขึงรั้วตาข่ายลวดรอบสวนของเราน่ะ” คุณแม่จี้มาวันนี้เพื่อมาพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะ
เป็นเรื่องดีที่สวนของนางเป็นสวนผลไม้เพียงหนึ่งเดียวในย่านนี้ แต่ความหายากยิ่งก็มาพร้อมกับการเป็นที่ดึงดูดสายตาเช่นกัน
“ล้อมด้วยรั้วตาข่ายลวดถือว่ายังไม่ปลอดภัยนักนะคะ คุณแม่ต้องบอกให้คุณพ่อสร้างกำแพงกันไว้เลยค่ะ” ซูตานหงเอ่ย
เรื่องนี้เธอคิดไว้นานแล้ว ถ้าสร้างกำแพงกั้นแล้ว ในอนาคตก็จะเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะทำอะไรก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนเลย
“สร้างกำแพงเลยเหรอ?” คุณแม่จี้ตะลึงไป และเอ่ยรัวเร็ว “นั่นไม่จำเป็นหรอกมั้ง ถ้าสร้างกำแพงขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็ จะต้องเสียค่าอิฐและหินไปเท่าไหร่กัน? นั่นเป็นเงินมหาศาลเลยนะ! ไม่จำเป็นหรอก ขึงตาข่ายลวดก็พอ”
“สร้างกำแพงดีกว่าค่ะ มันใช้เงินไม่เยอะหรอก ไม่ใช่ว่าคุณพ่อรู้จักคุณลุงที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเหรอคะ? ไปถามว่าเขาผลิตอิฐดินได้มากเท่าไหร่เพื่อจะได้ซื้อในราคาที่ถูกลงดีกว่าค่ะ มันต้องเป็นไปด้วยดีแน่” ซูตานหงบอก
การขึงรั้วตาข่ายลวดก็นับว่าดีอยู่หรอก แต่ต้องรู้ด้วยว่าแค่ใช้คีมตัดก็เปิดรั้วตาข่ายลวดเข้าไปได้แล้ว ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เธอคิดเอาไว้แล้ว ขั้นแรกสร้างกำแพงล้อมภูเขาก่อน ต่อมาก็ล้อมตาข่ายลวดไว้ชั้นในเพื่อใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ในอนาคต ซึ่งนี่นับว่าดีมาก พื้นที่หลังภูเขาช่างกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าสามารถเลี้ยงไก่ในสวนผลไม้ได้ เล้าไก่ขนาดใหญ่เช่นนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่มีกำแพงได้อย่างไร?
คุณแม่จี้อึ้งไปเมื่อเธอบอกว่าในอนาคตจะทำฟาร์มไก่ขนาดใหญ่ที่นั่น นางเอ่ยขึ้นมา “เธอยังคิดแผนนี้อยู่อีกเหรอ?”
“ไม่ได้เหรอคะ? สวนเราต้องอุดมสมบูรณ์มากแน่ ถ้ามีฟาร์มไก่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีปุ๋ยใช้เลย” ซูตานหงกล่าว “ยิ่งกว่านั้นยังจะมีรายได้มหาศาลจากไก่และไข่อีกนะคะ”
“แล้วจะเอาของพวกนี้ไปขายที่ไหนล่ะ?” คุณแม่จี้ถามอย่างอดไม่ได้
“นั่นไม่ง่ายเหรอคะ? แค่ตั้งร้านขึ้นร้านหนึ่งแล้วก็จ้างคนไปเฝ้าสักคนสองคนก็ได้” ซูตานหงกล่าว
คุณแม่จี้อึ้งไป “งั้นเธอก็ต้องจ้างคนของตัวเอง เธอไม่ต้องลำบากมอบเรื่องแบบนี้ให้คนนอกจัดการหรอก”
“ถ้างั้นคุณแม่เห็นด้วยแล้วใช่ไหมคะ? งั้นลองไปคุยกับคุณพ่อนะคะว่าการจะสร้างกำแพงขึ้นมามันต้องใช้เงินเท่าไหร่” ซูตานหงตอบ
แม้ในหนึ่งเดือนเธอจะปักผ้าได้เพียงหนึ่งงาน แต่ก็ได้เงินมามากพอแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดเงินเลย
เมื่อตอนที่เธอเพิ่งเข้าเมืองไปส่งผลงานปักคราวที่แล้ว หงเจี่ยก็มาบอกเธอด้วยความดีใจว่ามูลค่าของจิ๋นซิ่วหาวถิงเพิ่มสูงขึ้นแล้ว!
จิ๋นซิ่วหาวถิงคือบริเวณที่เธอกับหงเจี่ยเคยไปซื้อห้องชุดเอาไว้ มันเคยมีราคาอยู่ที่ 22 หยวนต่อตารางเมตร แต่ตอนนี้ราคาของมันขยับไปอยู่ที่เกือบ 30 หยวนต่อตารางเมตรแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บ้าน 108 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่นที่ซูตานหงซื้อ ก่อนหน้านี้ซื้อได้ในราคาเพียง 2,000 หยวน แต่ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 3,000 หยวนแล้ว
หงเจี่ยถามเธอว่าต้องการจะซื้อมาขายไปหรือไม่ หล่อนมีแผนที่จะทำอยู่ แต่ซูตานหงบอกว่าเธอยังไม่ถึงขั้นร้อนเงินนัก เพราะถ้าในอนาคตมันราคาขึ้นสูงมากกว่านี้ละ? ขายตอนนี้ไม่เสียดายแย่เหรอ?
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ซูตานหงไม่มีแผนจะขายมันสักนิดเดียว
โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเมืองเจียงสุ่ยอยู่ใกล้กับชุมชนนี้ ในอนาคตถ้าลูกของเธอได้เข้าโรงเรียนก็จะได้มีบ้านอาศัยอยู่ ซึ่งเธออยากจะอยู่กับลูกของเธอด้วย
เมื่อได้ยินดังนี้หงเจี่ยก็บอกให้เธอค่อย ๆ จับตาดูความเป็นไปช้า ๆ ไม่ต้องรีบขายในช่วงนี้
แต่ซูตานหงรู้เรื่องพวกนี้ไม่มากนัก อย่างไรเสียเธอก็ไม่คิดจะขายห้องชุดนี้อยู่แล้ว
หลังเก็บเงินมาระยะหนึ่ง ต่อให้เธอจะไม่ใช่คนใช้จ่ายประหยัดสุดขีดในวันธรรมดา แต่เธอก็ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าผักผลไม้และข้าวเลย ของเหล่านี้คุณแม่จี้จะเป็นคนนำมาให้ รวมทั้งข้าวใหม่ที่นางปลูกเอง สิ่งของที่มักจะต้องซื้อมาก็มีเกลือกับซีอิ๊ว ซึ่งพวกมันก็ไม่แพงนัก
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอยังมีเงินเก็บอีก 1,000 หยวนในมือ
เงิน 1,000 หยวนนับว่าเพียงพอแล้ว แถมมีงานปักผ้าอีกหนึ่งชิ้นในมือ ซึ่งปักใกล้จะเสร็จแล้ว
คุณแม่จี้กลับไปบอกคุณพ่อจี้เกี่ยวกับเรื่องจะทำฟาร์มไก่ในอนาคต คุณพ่อจี้ได้ฟังก็ขมวดคิ้วและสูบบุหรี่มวนใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “เกรงว่าจะต้องใช้เงินไม่ใช่น้อย”
“ตานหงบอกว่าหล่อนไม่สนหรอกหากต้องใช้เงินเยอะ หล่อนแค่อยากจะสบายใจ ในอนาคตสวนผลไม้แห่งนี้ก็จะคืนเงินทั้งหมดให้กับเรา” คุณแม่จี้บอก
คุณพ่อจี้พยักหน้า “งั้นผมจะไปถามให้”
หลังจากออกไป 2 ชั่วโมง คุณพ่อจี้ก็กลับมา “ผมคุยกับเขาแล้ว เขาบอกว่าจะให้ราคา 1 เฟินต่อก้อนเพราะเราสั่งในปริมาณมาก”
“ 1 เฟิน? นั่นก็ไม่แพงเท่าไหร่นะ เพราะตอนนี้อิฐก้อนหนึ่งมัน 3 เฟินเลยล่ะ” คุณแม่จี้ได้ยินก็เอ่ยอย่างดีใจ
เท่ากับว่าอิฐก้อนหนึ่งได้ลดราคาไป 2 เฟิน ซึ่งนับว่าลดลงไปมากทีเดียว
สั่งอิฐ 10 ก้อนก็จะได้ราคาถูกลง 2 เหมา สั่ง 100 ก้อนได้ลดไป 2 หยวน สั่ง 1,000 ก้อนได้ลด 20 หยวน สั่ง 10,000 ก้อนก็ได้ลด 200 หยวน!
“คิดอะไรอยู่ ผมต้องการอิฐบล็อก ดังนั้นมันจึงถูกขนาดนี้ แต่ถ้าซื้ออิฐพวกนี้ไว้ เกรงว่าเราก็ยังต้องเสียเงินไม่น้อยอยู่ดี”
“นั่นเป็นเงินจำนวนมากเลยใช่ไหม?” คุณแม่จี้ถาม
“ถ้าจะสร้างก็สร้างไม่สูงนัก แค่ 2 เมตรพอ เท่านี้ก็คิดเป็นเงินจำนวนมากแล้ว คุณไปพาสะใภ้สามมานะ ผมจะบอกเรื่องนี้กับหล่อน” คุณพ่อจี้บอก
เมื่อซูตานหงมาถึง เธอก็นำเงิน 600 หยวนมาฝากเป็นค่าสร้างกำแพงให้คุณพ่อจี้ ซึ่งคุณพ่อจี้ก็รับเงินก้อนนี้ไว้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำสอง
คุณพ่อจี้ถือเงิน 600 หยวนไว้ด้วยความรู้สึกถึงความรับผิดชอบ และเอ่ยยืนยันกับเธอเสียงขรึม “ตานหง ไม่ต้องกังวลไป พ่อจะรักษาสวนผลไม้ให้เธอเป็นอย่างดี!”
“ฉันไว้ใจคุณพ่อค่ะ คุณพ่อจ่ายไปก่อนนะคะ ถ้าไม่พอค่อยมาขอจากฉันเพิ่ม” ซูตานหงบอก ครอบครัวของเธอยังมีเงินอีก 400 หยวน แต่เธอไม่ได้นำออกมาใช้ แน่นอนว่าเธอต้องมีเงินเหลือเก็บเพื่อครอบครัวบ้าง
เมื่อซูตานหงพูดจบแล้วเธอก็กลับบ้าน
คืนนั้นที่เธอเข้านอน ซูตานหงที่ไม่เคยฝันมาก่อนก็ได้ฝัน ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ เธอก็สะดุ้งตื่นในตอนกลางดึก ก่อนจะหลับไปอีกทีในตอนรุ่งสาง
ในขณะเดียวกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลอย่างเร่งด่วน และเขาก็รักษาตัวในห้องพักฟื้น มีดถูกนำออกไปแล้ว และการผ่าตัดก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
“ผมเกรงว่าในอนาคตขาซ้ายของผู้ป่วยคงใช้งานหนักไม่ได้อีกแล้วล่ะครับ” หลังถอดหน้ากากออก คุณหมอก็เอ่ยกับเหล่าสหายที่มาเฝ้าอาการผู้ป่วย
………………………………………