ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 412 ประกวดความสามารถ
ตอนที่ 412 ประกวดความสามารถ
เย็นวันนั้น จี้เสี่ยวตงได้มากินข้าวเย็นที่บ้าน
ตอนนี้อากาศยังไม่หนาวมากนัก แต่เขาเริ่มกินอาหารทันทีที่มาถึงโต๊ะ ไม่อย่างนั้นอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน ไม่กี่วันมานี้เขาเริ่มกินเกี๊ยวและบะหมี่บ่อยขึ้น
วันนี้มีอาหารเต็มโต๊ะเช่นเคย ทั้งน้ำแกงรากบัวซี่โครงหมู หัวหมูตุ๋นจานใหญ่ ปลานิลนึ่งซีอิ๊ว และหมูผัดพริกหยวกเขียว
ทั้งครอบครัวล้อมวงกินข้าวด้วยกัน
ตอนนี้จี้เสี่ยวตงเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายแล้ว เด็กคนนี้ควรได้กินอาหารเพื่อเติบโตขึ้น เขาต้องได้รับการบำรุงอย่างสม่ำเสมอ เพราะตอนนี้เขาผอมอย่างกับอะไรดี
ซูตานหงใช้ทัพพีตักเนื้อหัวหมูให้เขา 2 ทัพพีเต็ม ๆ และบอก “ถ้าไม่คิดมาก ก็แวะมากินข้าวที่นี่บ่อย ๆ สิจ๊ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเธอตลอดนะ”
จี้เสี่ยวตงอมยิ้ม “ผมรู้แล้วครับ”
วันนี้เขากินมากเป็นพิเศษ แต่เขาก็อดไม่ได้ เพราะตั้งแต่แม่ของเขาร่วมธุรกิจกับอาสาวแล้วล้มเหลว และใช้เงินไปหมดทั้งบ้าน หล่อนจึงเริ่มประหยัดเงินตั้งแต่กลับมาบ้านที่เกิด
ต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในทุกทาง
ในช่วงนั้นเองอาสะใภ้รองก็มาที่บ้านของเขาเพื่ออวดบ้านใหม่ของตน ทำให้แม่ของเขาอิจฉามาก ตอนนี้หล่อนพยายามหาทางสร้างบ้านอย่างถึงที่สุด
ในวันธรรมดาแทบไม่ต้องพูดถึงเนื้อเลย แม้แต่ไข่ไก่จากไก่ที่บ้าน แม่ของเขายังไม่ยอมเอาออกมากิน เขาต้องใช้เงินซื้ออุปกรณ์การเรียน จึงต้องมาทำงานที่สวนของอาสามเพื่อหาเงิน
ที่จริงเขาละอายใจไม่น้อย ถึงอย่างไรเขาก็มากินข้าวที่บ้านอาสามอยู่บ่อย ๆ อาหารที่นี่อร่อยมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรทำงานตอบแทนบ้าง
อาสามไม่เพียงแต่จะให้อาหารเขากิน แต่ยังมีงานชั่วคราวให้ทำอีกด้วย
นี่เป็นเรื่องจริง เพราะตอนนี้ยังมีเด็กวัยรุ่นคนอื่น ๆ ไปทำงานที่สวนด้วย หลังจากเสร็จงานแล้ว เหล่าจางกับคุณพ่อจี้จะจ่ายค่าแรงให้
หากไปทำงาน 1 วัน จะได้ค่าแรงราว 2 หยวน และยังมีอาหารกลางวันให้อีก
ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ยังมีวันหยุดให้ทุกอาทิตย์ด้วย
เขาจึงอาศัยช่องทางนี้ในการหาเงินซื้ออุปกรณ์การเรียน เขาไม่กล้าซื้อขนมในวันธรรมดา เพราะเขาไม่มีเงินพอจะซื้อ
ถ้าเขาอยากกินเนื้อจนทนไม่ไหว เขาจะมาหาอาสะใภ้สามเพื่อขอของกิน
เธอไม่เคยถือสาที่เขามากินข้าวเย็นที่นี่แต่อย่างใด
หลังจากกินเนื้อหัวหมูไปชามโต รวมถึงปลาหลายคำ น้ำแกงรากบัวอีก 2 ชาม จี้เสี่ยวตงก็อิ่มหนำสำราญมากทีเดียว
เมื่อถึงเวลาเข้านอน ซูตานหงก็บอกกับจี้เจี้ยนอวิ๋น “ตอนนี้เสี่ยวตงกำลังโต ทำไมแม่เขาถึงขี้เหนียวแบบนี้กันคะ?”
ซูตานหงเพียงแค่ไม่เข้าใจ ลูกชายของหล่อนกำลังอยู่ในวัยกำลังโต หากไม่ดูแลเขาช่วงนี้ มันจะส่งผลกับชีวิตของเขา
เฝิงฟางฟางไม่รู้ตัว ตอนนี้หล่อนไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว ใจหวังเพียงสร้างบ้านให้สำเร็จเท่านั้น
บ้านสมัยนี้มีราคาแพง ก่อนหน้านี้จี้มู่ตานใช้เงินสร้างบ้านไปเกือบ 8,000 หยวน บ้านหลังอื่น ๆ ที่สร้างขึ้น ต่างมีราคาราว ๆ นี้ทั้งนั้น
แม้ตอนนี้จะราคาไม่ถึง 10,000 หยวน แต่ไม่ต้องคิดเลยว่า 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาของมันพุ่งสูงขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน!
ทั้งที่บ้านเหล่านั้น มีสภาพเพียงอยู่ได้เท่านั้น
ส่วนครอบครัวของเธอในตอนนี้ยังไม่คิดสร้างบ้านสักหลัง แม้จะสามารถเริ่มสร้างได้หลายหลังแล้ว แต่ครอบครัวของเธอไม่สนใจเรื่องนี้ เนื่องจากบ้านที่อยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว
ครอบครัวเธอมีที่ดินอยู่หลายผืน แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นนำไปใช้ปลูกถั่วและงา
“ให้เสี่ยวตงแวะมากินข้าวที่นี่บ่อย ๆ สิครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นทำได้เพียงบอกเช่นนั้น
เขาไม่ได้ใส่ใจในความคิดของพี่สะใภ้มากนัก การให้หลานชายมากินข้าวด้วยกันบ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนอะไร
เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน เคยผ่านช่วงวัยนี้มา ตอนเขาอายุเท่านี้ ร่างกายเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ยิ่งกินเนื้อมากยิ่งมีประโยชน์ อย่างน้อยก็ทำให้อยู่ท้องได้นาน ไม่หิวง่าย และร่างกายแข็งแรง
ซูตานหงพยักหน้าตอบรับ แต่จี้เสี่ยวตงเป็นคนขี้เกรงใจ หากไม่ได้อยากกินเนื้อจนทนไม่ไหวจริง ๆ เขาจะไม่มารบกวนเธอ
เขามักอยู่กินข้าวที่สวนกับคุณพ่อจี้ เมื่อกลับมาหลังเลิกเรียน เขามักไปที่สวนเพื่อหางานทำ จากนั้นคุณพ่อจี้จะให้เขาอยู่กินข้าวด้วยกัน
อาหารที่สวนอร่อยมากเช่นกัน แม้ไม่แย่เท่าที่บ้าน แต่ก็ยังต่างกับอาหารฝีมือซูตานหงอยู่ ไม่ต้องกล่าวถึงเสน่ห์ปลายจวักของซูตานหงเลย ลองอาหารได้ผ่านมือเธอแล้ว ก็ย่อมมีรสชาติพิเศษออกไป
จี้เสี่ยวตงเคยจินตนาการหลายครั้งตลอดช่วงที่เติบใหญ่จนโตเต็มวัยขนาดนี้ หากเขาเป็นลูกชายของอาสามและอาสะใภ้สามจริง ๆ มันจะดีเพียงไหนกันนะ?
เขาอิจฉาเหรินเหรินกับน้อง ๆ มาก มีแม่อย่างอาสะใภ้สามแล้วคงมีความสุขมากทีเดียว
แต่อาสะใภ้สามก็ดีกับเขามาก เมื่อทำอาหารอย่างน้ำแกงไก่ เธอมักจะเรียกเขา รวมถึงเสี่ยวเจินและเสี่ยวอวี้ให้มากินด้วยกัน
อันที่จริงแม้ครอบครัวของเขาจะยากลำบาก แต่ก็ยังมีเพื่อนร่วมชั้นที่ลำเค็ญกว่าเขามาก
อย่างน้อยเขายังมีอาสะใภ้สามเรียกไปกินน้ำแกงไก่หอม ๆ เพื่อบำรุงร่างกาย เพื่อนบางคนไม่มีอะไรเลย พวกเขาผอมกว่าเขาเสียอีก
จี้เสี่ยวตงจึงดูแลเหรินเหรินกับน้อง ๆ เป็นอย่างดี แม้เหรินเหริน ฉีฉี กับเสียงเสียงจะไม่จำเป็นต้องให้เขาดูแลแล้ว แต่จี้เสี่ยวตงก็ยังมีใจอดเป็นห่วงไม่ได้
ใช่แล้ว เขาสนิทสนมกับเหรินเหรินและน้อง ๆ บางครั้งเขาไปเยี่ยมเหรินเหรินกับฉีฉีที่เรียนชั้นมัธยมต้น และปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของตน
จี้เจี้ยนอวิ๋นคอยอบรมหลานชายคนนี้เช่นกัน เพราะพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไม่คิดใส่ใจลูกชาย เขาย่อมทนเห็นจี้เสี่ยวตงเดินทางผิดไม่ได้เป็นธรรมดา ทั้งยังคอยหางานให้เขาทำอยู่เรื่อย ๆ บางครั้งยังสั่งสอนและแก้ไขความคิดผิด ๆ ให้เขา
ทุกครั้งหลังจากได้คุยกับอาสาม จี้เสี่ยวตงรู้สึกเหมือนได้เติบโตขึ้น และมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น
ส่วนเรื่องความรู้สึกแปลกแยกที่จี้เสี่ยวตงทนไม่ได้ หรือความอิจฉาริษยาต่อพวกน้องชายอย่างเหรินเหรินฉีฉีนั้น มันจะไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
คติสามทัศน์* ของจี้เสี่ยวตงเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาได้รับการชี้นำที่เหมาะสมจากชายชาติทหารอย่างจี้เจี้ยนอวิ๋น
*คติสามทัศน์ คือ โลกทัศน์สามอย่าง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อค่านิยม
วันเสาร์นี้เหรินเหรินไปที่เมืองเจียงสุ่ยกับเหล่าจาง เนื่องจากมีงานประกวดความสามารถที่จัดโดยโรงเรียนในเมือง ซึ่งเหรินเหรินไปเข้าร่วมแข่งขันการคัดพู่กัน
หลังจากหมั่นฝึกฝนมานานหลายปี ตอนนี้เหรินเหรินเขียนอักษรได้หนักแน่นแล้ว ในความเห็นของเหล่าจาง เขายังแรงน้อยไปหน่อย ยังต้องฝึกความแข็งแรงของแขนเพิ่ม
หากแต่ในสายตาของคนภายนอกอย่างจี้เจี้ยนอวิ๋นและคุณพ่อจี้ เขาคัดได้สวยงามมากแล้ว
โดยเฉพาะคุณพ่อจี้ ซึ่งมีท่าทางภูมิใจเหลือเกิน
ในการประกวดความสามารถครั้งนี้มีตัวแทนโรงเรียน 2 ถึง 3 คน คนหนึ่งเป่าขลุ่ย อีกคนเล่นเปียโน ทั้งคู่เป็นผู้หญิง มีเหรินเหรินเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว
ในบรรดาพวกเขาทั้ง 3 คน เด็กหญิงที่เล่นเปียโนได้ลำดับที่หนึ่งเหมือนกับเหรินเหริน ส่วนเด็กหญิงที่เป่าขลุ่ยได้ลำดับที่สาม และยังมีเด็กจากโรงเรียนอื่นที่ได้รางวัลอีกหลายคน
เรียกได้ว่าครั้งนี้โรงเรียนประถมประจำเมืองเป็นที่พูดถึง เนื่องจากทั้ง 3 คนได้รางวัลกลับมา
ต้องบอกว่านักเรียนที่ส่งไปแข่งเมื่อปีก่อนนั้นตกรอบทั้งหมด!
ดังนั้นครูใหญ่จึงให้รางวัลพวกเขาคนละ 20 หยวน และมอบสมุดบันทึกแบบหนา 2 เล่มกับปากกาให้อีกด้วย
…………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เห็นเด็ก ๆ ฉายแววความสามารถกันแล้วรู้สึกปลื้มใจเหมือนเห็นหลานตัวเองจริง ๆ ค่ะ บ้านสามเลี้ยงหลานมาดีจริง ๆ
ไหหม่า(海馬)