ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 446 คู่ควร
ตอนที่ 446 คู่ควร
“นับวันแกยิ่งใจกว้างขึ้นทุกวันนะ” คุณแม่ซูบอก
นางไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ เพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น
ซูตานหงรู้เจตนาของแม่ตนดี เธอจึงเอ่ย “ฉันเห็นเสี่ยวตงเติบโตมาตั้งแต่เด็กค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงแน่นอน”
“ฉันคิดว่าแกเลี้ยงอาหารเขาเพราะว่าแม่สามี เลยแค่คิดว่าแกหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นแหละ” คุณแม่ซูเอ่ย
ซูตานหงกระดากใจ “เรื่องมันผ่านมานานแล้ว แม่น่าจะเลิกพูดถึงได้แล้วนะคะ”
คุณแม่ซูยิ้มแย้ม นางไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ และขึ้นไปจับไก่จากที่สวน ระหว่างทางนางบอกให้จี้เสี่ยวตงลงมากินก๋วยเตี๋ยวเมื่อถึงเวลา
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินที่สวนได้” จี้เสี่ยวตงตอบด้วยความเกรงใจ
“อะไรกันเล่า อาสะใภ้เธอบอกให้ฉันมาบอกเชียวนะ ทำส่วนของเธอไว้แล้วเสียด้วยสิ” คุณแม่ซูว่าขึ้น
“อย่างนั้นก็ได้ครับ” จี้เสี่ยวตงตอบตกลง
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน เหล่าจางจึงไม่ได้ลงมากินข้าวด้วยกัน ช่วงนี้เหล่าจางจึงมักอยู่กินข้าวกับคุณพ่อจี้กับคนอื่น ๆ ที่สวน
จี้เสี่ยวตงจึงลงมา
น้ำแกงไก่ที่ได้กินส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไม่ได้มีเพียงแค่ไก่ พุทราจีน และเก๋ากี้ ซูตานหงยังทำไข่ลวกให้แต่ละคนใส่ลงในน้ำแกงไก่ด้วย
หยวนหยวนกินไปมากทีเดียว ด้วยทั้งมีกลิ่นหอมและรสชาติอร่อย
หลังจบมื้ออาหาร เธอส่งเด็ก ๆ กลับไป ไม่เช่นนั้นบ้านคงวุ่นวายน่าดู ทั้งยังถึงเวลาที่จะออกไปเดินย่อยด้วย
หยวนหยวนถูกพาออกมาเดินเล่นเช่นกัน
“เป็นอย่างนี้ก็ดีไม่น้อยเลยนะ” คุณแม่ซูเอ่ยด้วยใจจริง
หากครอบครัวมีอันจะกิน คงไม่มีใครคิดมากกับเรื่องการเลี้ยงอาหารลูกพี่ลูกน้อง หรือหลาน ๆ ของจี้เจี้ยนอวิ๋น
คนสมัยก่อนอาจถือสาเรื่องนี้ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน ผู้คนในสมัยนั้นขนาดกินมันหวานหมดแล้วพวกเขายังทำใจทิ้งเปลือกไม่ลง!
อันที่จริงตลอดช่วง 3 ปีที่เกิดภัยพิบัติ หากได้เปลือกมันหวานมากิน ก็ถือว่าเป็นความสุขแล้ว
ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันดีขึ้น ดีขึ้นมากทีเดียว ดูอย่างชาวบ้านตอนนี้สิ แม้แต่คนที่ยากจนที่สุด อย่างน้อยพวกเขายังมีอาหารพอยาไส้ หากพวกเขาอยู่ในสมัยนั้น คงเรียกได้ว่าเ เป็นเศรษฐี!
ซูตานหงทำเพียงส่งความรู้สึกต่อผู้เป็นแม่ผ่านรอยยิ้มเท่านั้น
ความจริงแล้วเธออดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือหลาน ๆ ของเจี้ยนอวิ๋นเท่าที่จะพอทำได้ มันเป็นเพียงเรื่องที่เธอยื่นมือเข้าช่วยเท่านั้น
อย่างเช่นจี้เสี่ยวตง ตอนนี้เฝิงฟางฟางสุดโต่งมากเกินไป ทุกวันเขาได้กินเพียงโจ๊กกับกระหล่ำดองและหัวไชเท้าแห้ง ปกติแล้วแทบไม่เห็นของอย่างอื่นบนโต๊ะอาหารเลย
แม้จี้เจี้ยนกั๋วที่อดทนกับความลำบากมามากก็ยังอดโวยวายออกมาไม่ได้ เมื่อวานเขาขึ้นไปกินข้าวที่สวน และถูกคุณพ่อจี้ต่อว่า
เมื่อซูตานหงได้ยินเข้า พวกเขาทำเพียงยิ้มเจื่อนและไม่ได้เล่าสิ่งใด
คุณพ่อจี้ต้องออกปากตำหนิอย่างแน่นอน พอเห็นว่าจี้เสี่ยวตงขึ้นมากินด้วยกัน เขาก็ติดสอยห้อยตามมากินด้วย ได้อย่างไรกัน? มันไม่ต่างกับการเอาเปรียบจี้เจี้ยนอวิ๋น พี่น้องควรพึ่งพา ตนเองกันได้!
คุณพ่อจี้ไม่คิดรักษาน้ำใจ
คงเป็นการดีหากเขาไม่ได้มาแบ่งกินด้วย เขากลับกล้าขึ้นมากินด้วยกัน? ไม่มีทาง!
จี้เจี้ยนกั๋วไม่ยอม ซูตานหงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก เธอไม่ได้เป็นคนใจกว้าง เพียงแต่ในฐานะอาสะใภ้ของจี้เสี่ยวตง เธอยังคงต้องคอยดูแล
หากเขาเป็นเด็กหัวแข็ง เธอคงไม่ทำเช่นนี้ไม่ลง แต่จี้เสี่ยวตงเป็นเด็กรู้ความ ซูตานหงจึงยิ่งเอาใจใส่เขา หากมีของอร่อย เธอมักเรียกเขามากินด้วยกันเสมอ
ด้วยขนาดตัวของจี้เสี่ยวตง มันจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กอายุเท่าเขา ในเมื่อการเติบโตเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซูตานหงจึงจำเป็นต้องดูแลเขา
ซูตานหงรู้ดีว่าสำหรับผู้ชายแล้ว มันคงจะเป็นความเจ็บปวดไปตลอดชีวิตหากตัวไม่สูง
ยังมีหลานสาวอย่างหยวนหยวนอีก
เดิมทีซูตานหงไม่เต็มใจจะเลี้ยงดูนัก เนื่องจากเป็นลูกสาวของจี้อวิ๋นอวิ๋น แม้จะไม่ใช่ความผิดของหยวนหยวน แต่เธอยังไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับจี้อวิ๋นอวิ๋น เพราะคุณแม่จี้ขอร้องเธอในคร รั้งนั้น เธอจึงยอมรับมาเลี้ยงดูที่นี่
ในขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณแม่จี้ยังค่อนข้างดี ยังนับถือกันเป็นแม่สามีลูกสะใภ้ เธอจึงยอมรับเลี้ยงไว้
หยวนหยวนเป็นเด็กขี้อายในช่วงแรก เธอไม่ได้ดื้อซนมากนัก เมื่อเวลาผ่านไป ซูตานหงค่อย ๆ ผูกพันกับเธอ ด้วยอดจะทุ่มเทใจกับเธอไม่ได้
บางครั้งซูตานหงยังคิดว่าตนเองชอบหาเรื่องใส่ตัว เธอมักนำเรื่องของคนอื่นมาเป็นของตนตลอดไม่ใช่หรือ? หากว่ากันตามตรง นอกจากลูกชายของนาง เธอแทบไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับนาง
ทว่าเธอจะนึกถึงแต่ตนเองไม่ได้ โดยเฉพาะสามีเธออย่างเจี้ยนอวิ๋น
เมื่อเห็นเธอทำดีกับจี้เสี่ยวตงและหยวนหยวน แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร ซูตานหงยังสัมผัสได้ถึงแววตาของชายคนนี้ เขารักและชื่นชมเธอ
ใช่แล้ว ในสายตาของเจี้ยนอวิ๋น เธอไม่มีที่ติแม้แต่น้อย
ครั้นเธอมีเรื่องบาดหมางกับแม่ของเขา เขาจึงไม่ลังเลที่จะเคียงข้างเธอ และส่งแม่ของตนไปอยู่ที่อื่น ขณะที่ไม่ห้ามไม่ให้เธอทำดั่งใจตน
สิ่งใดที่เธอต้องการ เขามักตามใจเต็มที่อยู่เสมอ
เขาได้ยินเธอพูดถึงต้นสือหูเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็ไม่รอช้า รีบออกไปหามาให้เธอ แม้เธอจะไม่ได้เป็นร้อนใน แต่เธอยังต้องการให้เขากิน หากไม่ใช่เพื่อเขาแล้ว ซูตานหงคงไม่ทำเช ช่นนี้แน่ และชายคนนี้คงไม่มีทางออกเดินทาง
เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องตนเองเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนหน้านี้จึงทำเพียงอดทนเอาไว้
เขาทนได้ระยะหนึ่ง แต่เป็นซูตานหงที่ทนไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงออกไปหาซื้อต้นสือหู
ระหว่างสามีภรรยา เรื่องมีเพียงเท่านี้ เธอทำเพื่อเขา และเขายินดีทำเพื่อเธอเช่นกัน
ซูตานหงคิดว่าเท่านี้คงเพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่เลี้ยงอาหารหลาน ๆ ให้กินจนอิ่มท้อง หากเธอสามารถดูแลเรื่องนี้ได้ สำหรับสามีแสนดีอย่างเจี้ยนอวิ๋น มันก็เป็นคราวที่เธอจะไ ได้ตอบแทนเขาบ้าง
เธอต้องทำตัวให้คู่ควรกับเขาไม่ใช่หรือ?
ลูก ๆ กลับมาในเวลาราว 6 โมงครึ่ง
เนื่องจากจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน เหรินเหรินจึงกลับมานอนที่บ้าน เธอให้ไปอาบน้ำทีละคน ก่อนปล่อยไปดูโทรทัศน์ ระหว่างนั้นได้ทำการบ้านไปด้วย
เวลา 3 ทุ่มครึ่ง ซูตานหงจึงพาพวกเขาเข้านอน
หยวนหยวนถูกพามานอนในห้องด้วยกัน ส่วน 3 พี่น้องนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง
แม้หยวนหยวนจะขี้อาย แต่เธอมีท่าทีดีใจมาก เมื่อรู้ว่าพี่ชายต้องการมานอนด้วยกัน น่าเสียดายที่อาสะใภ้สามไม่อนุญาต
หยวนหยวนผล็อยหลับไปภายในเวลาไม่นาน ซูตานหงจึงถามคุณแม่ซูถึงหลานทั้ง 2 คนที่บ้านพี่ชายคนโตของเธอ
“มีเขียนจดหมายกลับมาบ้าง แต่ไม่ได้ส่งเงินมาให้ เห็นว่าพี่สะใภ้ของแกไม่พอใจมากน่ะ” คุณแม่ซูบอก
“มีเงินเลี้ยงตัวเองข้างนอกก็ดีแล้วค่ะ ที่บ้านไม่ได้ขัดสนอะไร ไม่จำเป็นต้องส่งเงินกลับมาให้หรอกค่ะ” ซูตานหงเอ่ย
ชีวิตข้างนอกไม่สุขสบาย หากอยู่ห่างไกลบ้าน เงินทองเป็นสิ่งที่สำคัญ เธอรู้เรื่องนี้ดีที่สุด
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีภรรยาอย่างตานหงถือว่าโชคดีแปดชาติแล้ว ดูแลลูก ๆ หลาน ๆ ให้เติบโตด้วยดีได้ขนาดนี้คือเก่งสุด ๆ เลยนะ
ไหหม่า(海馬)