ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 447 วิสัยทัศน์แบบผู้หญิง
ตอนที่ 447 วิสัยทัศน์แบบผู้หญิง
ยิ่งไปกว่านั้นลูกของทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่น ค่าอาหารการกินไม่ใช่น้อย สมควรที่จะต้องเก็บเงินติดตัวเอาไว้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถหาทางออกไปทำธุรกิจที่ทางใต้ได้
ทางใต้เจริญมากกว่าไม่ใช่หรือ? หากเก็บเงินเอาไว้และเห็นว่าตนมีหนทางไป มันก็ควรค่าที่จะลองดูสักตั้ง
หากส่งเงินทั้งหมดกลับมา ต่อให้ต้องการทำเช่นนั้น คงจะไม่เหลือเงินให้ใช้
“แกไม่รู้หรอกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของแกมีนิสัยยังไง หล่อนดุพวกเขาที่ไปกินดื่มข้างนอกบ้าน ทั้งที่หล่อนเองก็เอาอาหารขยะให้พวกเขากิน” คุณแม่ซูบอก “แต่ว่าลูกชายทั้งสองคนของหล่อนก็ฉลาดน่าดูเลยนะ พวกเขาไม่โวยวายอะไรด้วยซ้ำ โรงงานที่เข้าไปทำงานตอนนี้ก็ให้เงินดีด้วย”
“การเข้าไปทำงานโรงงานไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนหรอกค่ะ ถ้าทำได้ ต้องออกไปสำรวจดูว่ามีอะไรที่พอจะใช้หาเลี้ยงชีพได้บ้าง” ซูตานหงเอ่ย
“มันดูจะดิ้นรนมากไปหน่อยนะ” คุณแม่ซูเห็นต่าง “ทำงานโรงงานดีจะตาย รายได้มั่นคง เก็บหอมรอมริบไปก่อน แล้วค่อยเอาเงินมาแต่งเมีย ฉันว่าตอนที่พวกเขาแต่งงาน ถึงตอนนั้นเงินสินสอดฝั่งเราอย่างน้อยคงได้หลายพันหยวนแล้วล่ะ!”
“เราไม่ได้พูดถึงเงินสินสอดค่ะ แต่ว่าคนเราจะทำงานในโรงงานตลอดไปไม่ได้ ถ้าต้องการมีเงินเลี้ยงชีพตลอดชีวิต ต้องออกมาทำธุรกิจเองค่ะ” ซูตานหงบอก
“วุ่นวายเปล่า ๆ น่า” คุณแม่ซูยังคงยืนกรานเช่นเดิม
ในมุมมองของพวกเขา มีชีวิตมั่นคงถือว่าดีมากแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่ได้นึกใส่ใจมากนัก
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นลูกคนโตของนาง ซูตานหงจึงไม่ได้ออกความเห็นนัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“แม่คะ คิดว่าตอนนี้เราสุขสบายกันดีไหมคะ?” ซูตานหงถามขึ้น
“อยู่แบบนี้ไม่ดียังไง? แกยังอยากจะสุขสบายมากกว่านี้อีกเหรอ?” คุณแม่ซูถามกลับ
ซูตานหงยิ้ม “ฉันไม่ได้อยากสบายไปมากกว่านี้ค่ะ ฉันเองก็คิดว่าตอนนี้ก็ดีแล้วเหมือนกัน”
“ถ้าแกรู้อย่างนี้ก็แค่อยู่กับจี้เจี้ยนอวิ๋นไป อย่าเอาเรื่องวุ่นวายมาใส่ใจ ถ้าคิดมากเข้า จะมีชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกัน?” คุณแม่ซูกล่าว
นางอยู่มาจนอายุปูนนี้ ไม่มีเรื่องให้ต้องสนใจอีกแล้ว ตลอดชีวิตนี้มีเพียงความแตกต่างระหว่างชีวิตที่สุขสบายและลำบากยากเข็ญ เรื่องอื่นนั้นไม่สำคัญ หากสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ถ้าต้องเผชิญกับความยุ่งยาก ก็เรียกได้เพียงว่าเป็นความล้มเหลว
สองแม่ลูกพูดคุยกันอยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเข้านอน
จากการที่ซูตานหงพูดคุยกับแม่ตน เธอก็เห็นวิสัยทัศน์แบบผู้หญิงจากแม่ของเธอ
แม่ของเธอเป็นคนฉลาด แม้บางครั้งจะคิดเล็กคิดน้อยไปเสียหน่อย แต่เธอไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้ โดยทั่วไปแล้วถือว่านางเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว
เป็นอย่างที่แม่เธอบอกไว้ “ทำไมต้องอยากสมบูรณ์แบบด้วย? ยิ่งแกสมบูรณ์แบบ แกก็ยิ่งถูกคนอื่นคาดหวังมากขึ้น แกจะทำผิดพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะเอาไปนินทาลับหลังแก”
ซูตานหงยิ้ม ทว่าที่นางบอกเช่นนี้เป็นเรื่องจริง
คนที่ทำดีมาตลอดชีวิต เมื่อทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ทุกคนกลับคาดโทษว่านึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนเช่นนี้ ติเตียนว่าที่ผ่านมาเขาเสแสร้งหลอกลวงมาโดยตลอด!
หากแต่คนชั่วที่ทำเรื่องต่ำทรามมาตลอดชีวิต ครั้นวันดีคืนดีเกิดสำนึกได้ขึ้นมา ทุกคนกลับสรรเสริญว่าแท้จริงเขาเป็นคนดี ไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น!
ดูเอาเถิด มาตรฐานการตัดสินคนในสากลโลกก็เป็นเช่นนี้
ซูตานหงคิดว่าแม่ของตนทั้งฉลาดและเฉลียวเป็นอย่างมาก
เมื่อถึงช่วงกลางเดือน ก็ได้เวลาที่จะต้องส่งของไปให้คุณแม่จี้
เธอส่งของไปครั้งหนึ่งเมื่อต้นเดือน และกลางเดือนอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ยังส่งของไปเหมือนเดิม มีไข่ไก่ ปลาเค็ม และหมูสามชั้นอีก 1 ชั่ง
“แกต้องส่งของไปมากมายขนาดนี้เดือนละ 2 ครั้งเลยเหรอ?” คุณแม่ซูมองสำรวจ
“ตอนต้นเดือน ฉันต้องเพิ่มเส้นก๋วยเตี๋ยวลงไปอีก 50 ชั่งค่ะ” ซูตานหงตอบ
“ฉันล่ะไม่ลังเลที่จะเล่นงานนังแก่นั่นเลย!” คุณแม่ซูว่าเสียงแข็ง ก่อนพลันฉีกยิ้มเมื่อหันไปเจอคุณพ่อจี้ และบอกกับเขา “ฉันไม่รู้เลยว่าส่งของไปให้เท่านี้จะน้อยเกินไปสำหรับแม่สามีหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“ของพวกนี้เยอะเกินไป” คุณพ่อจี้ส่ายหน้าขณะเอ่ย
ครอบครัวลูกชายสามทำถึงขนาดนี้ ไข่ที่ส่งไปนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นไข่แฝดทั้งนั้น พวกมันมีค่ามาก
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเนื้อและปลา มันเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
อย่างที่รู้กัน นางมีลูกชายอยู่ 4 คน ลูกคนรองส่งไปเพียงกะหล่ำดองและหัวไชเท้าแห้ง ซึ่งเขารู้แก่ใจดี
“งั้นก็พอแล้ว ตานหง เชือดไก่อีกตัวแล้วกัน แม่สามีแกคงต้องกินของบำรุงด้วย” คุณแม่ซูบอก
“ไม่ต้องเอาไก่ไปหรอก ส่งไปเท่านี้ก็พอแล้วล่ะ” คุณพ่อจี้ออกปากห้าม
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องถามตานหงน่ะค่ะ เธอบอกว่าไม่ได้ส่งไปให้นานแล้ว เธอไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ ต้องชดเชยให้แม่สามีบ้างไม่ใช่เหรอคะ?” คุณแม่ซูบอกพร้อมส่งยิ้ม
ก่อนจะสั่งให้จี้หงจวินไปจับไก่มาเชือด และนำจัดส่งไปให้ตัวหนึ่ง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ซูตานหงยังคงงุนงง สบโอกาสอยู่ลำพังแม่ลูก เธอจึงถามขึ้น “แม่คะ แม่ยังคิดว่าฉันส่งของเยอะเกินไปอยู่เลยนี่คะ ทำไมถึงได้ให้ไปเชือดไก่ล่ะคะ?”
“ยัยเด็กโง่ อยู่ต่อหน้าพ่อสามี แกก็ต้องแสดงน้ำใจบ้างสิ แม่กำลังรักษาหน้าให้ครอบครัวเราอยู่ หลังจากนี้ไป ทั้งภาพลักษณ์ของฉัน และภาพลักษณ์ของตระกูลซูของเราจะตราตรึงในใจพ่อสามีแก เห็นว่าลูกสาวที่แม่อย่างฉันเลี้ยงมาไม่ใช่คนเลวร้าย ต่อไปถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น พ่อสามีแกจะไม่คิดว่าเป็นความผิดของแกสักนิดอย่างแน่นอน มันเป็นการเอาคืนยัยแก่งี่เง่านั่นได้ดีที่สุด!” คุณแม่ซูว่าเย้ยหยัน
รอกินอาหารจากลูกสาวนาง คิดว่าจะอร่อยนักหรือ!
ซูตานหงถึงกับชะงัก แต่เธอต้องยอมรับว่าแม่ของตนช่างมองการณ์ไกล!
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นความจริง ไม่มีทางที่จะเลี้ยงดูคุณแม่จี้ได้ตลอด ความคิดของแม่เธอในตอนนี้เหมาะสมดีแล้ว
แน่นอนว่าคุณพ่อจี้กับเหล่าจางซึ่งอยู่ที่สวนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน
“ครอบครัวตานหงเป็นคนดีมากเลยนะ” เหล่าจางบอก
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของหล่อน ตานหงคงไม่ได้แต่งงานกับเจี้ยนอวิ๋น” คุณพ่อจี้เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
เขารู้ว่าแม่ของหลี่จื้อเคยตั้งใจมาสู่ขอตานหง แต่ในขณะนั้นคุณแม่ซูต้องการเงินมารักษาอาการป่วยของคุณพ่อซู ตระกูลหลี่เพิ่งจะแต่งสะใภ้ใหญ่เข้าบ้าน จึงมีเงินค่าสินสอดไม่พอตามที่คุณแม่ซูต้องการ
เขาจึงได้ทีสู่ขอเธอให้เจี้ยนอวิ๋น
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต อย่างไรเสียพวกเขาก็ดีต่อกันมาโดยตลอด ทั้งหมดถูกจัดแจงโดยแม่สื่อแม่ชัก จึงไม่มีเรื่องให้ต้องบาดหมางกัน
ครั้งนี้คุณพ่อจี้ประทับใจในตระกูลซูมากทีเดียว ตระกูลซูเป็นคนดี ไม่ต้องเอ่ยถึงซูจิ้นตั๋งซึ่งตอนนี้เป็นที่รู้จักในเมือง ส่วนซูจิ้นจวินในตอนนี้ก็มีการงานมั่นคง โดยที่ลูกชายทั้งสองพากันออกไปทำงานทางใต้ มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
ในทางกลับกัน เป็นครอบครัวของเขาเองที่ยังทุกข์ยาก เพราะเรื่องของลูกสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือ ตอนนี้แม้กระทั่งภรรยายังยอมระหกระเหินไปอยู่ที่อื่น ราวกับนางถูกเล่นของใส่ ซ้ำยังคิดหาเรื่องกันอยู่ตลอดเวลา!
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทำดีร้อยครั้งไม่เป็นที่จดจำเท่าทำพลาดครั้งเดียวจริง ๆ ค่ะ พอทำพลาดครั้งเดียวนี่โดนรุมเหยียบย่ำเลย
คุณแม่ซูฉลาดมองการณ์ไกลดีมาก เอฟซีแม่ค่ะ
ไหหม่า(海馬)