ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 448 แค่ไก่ตัวเดียว
ตอนที่ 448 แค่ไก่ตัวเดียว
ณ เมืองเจียงสุ่ย
ครั้งนี้คุณแม่จี้แปลกใจที่มีไก่ส่งมา ก่อนที่นางจะโวยวายขึ้น “ทำไมเอาไก่ตัวเล็กขนาดนี้มาล่ะ?”
“ผมแค่มีหน้าที่เอาของมาส่งให้ ถ้ามีคำถามอะไร ก็โทรกลับไปถามเองนะครับ” สวี่เหอซานบอก
ก่อนเขาจะกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“เป็นแค่คนงานยังพูดจาอวดดี ถ้าเจี้ยนอวิ๋นไม่ได้ให้งานทำ ไม่รู้ว่าจะไปอดตายอยู่ที่ไหน!” คุณแม่จี้ก่นด่าไล่หลังเขาไปทันที
“ผมสำนึกในบุญคุณของเจี้ยนอวิ๋นเสมอครับ ผมจึงตั้งใจทำงานให้เขาเป็นอย่างดี ถ้าขัดข้องใจตรงไหนก็ไปบอกจี้เจี้ยนอวิ๋นได้เลยครับ” สวี่เหอซานบอก
ว่าจบ เขาก็ไม่สนใจคุณแม่จี้อีกต่อไป
วันนี้ซูจูเหมาออกมากับเขาด้วย ซึ่งซูจูเหมาได้ยินทุกคำพูด หลังพ้นจากเขตบ้านมา เขาจึงเอ่ย “เถ้าแก่เราเป็นคนแบบนั้น ยังส่งหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้ จะไม่สนใจหล่อนเลยก็ได้ไม่ใช่เห หรอ?”
“หล่อนคงโชคดีน่ะ” สวี่เหอซานว่าอย่างเอือมระอา
เขาไม่คิดนำคำพูดของคุณแม่จี้มาถือสา ด้วยส่วนใหญ่คนในพื้นที่รู้เรื่องตระกูลจี้ดี
ทั้งสิ่งที่เขาพูดยังเป็นเรื่องจริง คุณแม่จี้ดวงดีเหลือเกิน หากนางไม่โชคดี แม่สามีอย่างนางจะมีลูกสะใภ้แสนดีอย่างภรรยาของเถ้าแก่ได้อย่างไร?
เขากับซูจูเหมานำของมากมายมาส่งที่นี่ทุกเดือน มีข้าว 50 ชั่ง รวมทั้งปลา เนื้อ และไข่ไก่ นางยังต้องการสิ่งใดอีก? ครั้งนี้ส่งไก่มาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง ถือว่ากตัญญูไม่น้อย แต่เคยไ ได้คำขอบคุณจากปากนางบ้างหรือไม่?
นอกจากนี้ ทั้งเขากับซูจูเหมาได้แต่งภรรยาเข้าบ้าน ภรรยาของพวกเขาต่างทำตามอย่างซูตานหง
พวกเธอทั้งคู่ส่งข้าว 20 ชั่งหรือไข่ไก่ครึ่งตะกร้าไปให้พ่อแม่ทุกเดือน เรียกได้ว่ากตัญญูมากทีเดียว
เนื่องจากในตระกูลจี้ไม่ได้มีลูกชายเพียง 2 คน ยังมีพี่น้องคนอื่น ๆ ด้วย
พวกเขามีพ่อแม่คนเดียวกัน จะปล่อยให้เลี้ยงดูคนเดียวได้อย่างไร?
ตอนนี้ค่าอยู่กินของคุณแม่จี้อยู่ในความรับผิดชอบของเถ้าแก่พวกเขา จี้เจี้ยนกั๋วและจี้เจี้ยนเยี่ยไม่ได้สนใจดูแลแต่อย่างใด ครอบครัวของจี้เจี้ยนเหวินนั้นยังไม่แน่ชัด แต่พวกเขาก็ย ยอมตามใจคุณแม่จี้เพื่อความสบายใจ
“เอาล่ะ ไปส่งของเสร็จแล้ว เราก็กลับกันเถอะ” ซูจูเหมาไม่ใส่ใจคุณแม่จี้เช่นกัน ทุกคนต่างรู้นิสัยของนางดี หากคิดจะถือสาคำพูดถากถางของนาง พวกเขาคงทำไปนานแล้ว ไม่ยอมมาจนถึงป่า านนี้
ทว่าเป็นเพราะพวกเขาเห็นแก่เถ้าแก่ของตน
ทั้งสิ่งที่คุณแม่จี้พูดยังเป็นเรื่องจริง หากไม่มีเถ้าแก่ของพวกเขา พวกเขาคงไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ ชีวิตความเป็นอยู่คงไม่ดีดังเช่นในตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการสนับสนุนจากเถ้าแก่ของพวกเขา มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับคุณแม่จี้กัน?
ทั้งคู่ย่อมไม่รู้ว่าเยียนเอ๋อร์อยู่ในห้องด้วย เธอได้ยินทุกคำพูดของผู้เป็นย่า
วันเสาร์นี้ จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ออกไปตั้งแผงขายของ พวกเขามีงานค่อนข้างยุ่ง
เมื่อทั้งคู่กลับมาจากทำงาน เวลาล่วงเลยดึกมากแล้ว แต่ยังคงมีกลิ่นน้ำแกงไก่ลอยหอมฟุ้งไปทั่วห้อง
“แม่คะ ซื้อไก่กลับมาเหรอคะ?” อวิ๋นลี่ลี่อดจะถามขึ้นไม่ได้
จี้เจี้ยนเหวินเดินไปดูในห้องครัวเช่นกัน พวกเขากินอยู่อย่างประหยัดนอกบ้าน นึกไม่ถึงว่าจะมีน้ำแกงไก่ที่บ้าน
“ไก่จากบ้านเกิดหนักไม่ถึง 2 ชั่งด้วยซ้ำ” คุณแม่จี้ต่อว่า “ซูตานหงต้องสั่งให้เลือกไก่แบบนี้โดยเฉพาะแน่!”
หากจะว่าไปแล้ว สิ่งที่นางพูดก็ไม่ผิดนัก
เป็นคุณแม่ซูที่สั่งให้จี้หงจวินจับไก่มา นางชี้เลือกตัวที่ควรจับมา โดยคุณแม่ซูได้สั่งไว้ “หงจวิน เธอไปจับตัวนี้ดีกว่า ใช่ ตัวที่ดูคึกที่สุดนั่นแหละ น่าจะน้ำหนัก 2 ถึง 3 ชั่ งได้ ไก่แบบนี้ราคาแพง สมควรส่งไปให้แม่สามีกิน ถ้าหล่อนกินไม่หมดก็ยังให้จี้เจี้ยนเหวินกับครอบครัวกินด้วยกันได้”
นางบอกเพียงหนึ่งประโยค เพื่อแสดงให้เห็นว่าส่งไปให้คุณแม่จี้กินเพียงคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องครอบครัวจี้เจี้ยนเหวิน พวกเขาคงกินด้วยกันอยู่แล้ว
จี้หงจวินไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดแปลก มันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ไก่ตัวนี้ก็ไม่ได้ตัวเล็ก หลังจากหักขาออกแล้ว ยังมีน้ำหนักราว 2 ชั่ง นอกจากคุณแม่จี้แล้ว ยังเหลือพอให้ทั้ งครอบครัวกินกัน!
ในสายตาของคนอย่างจี้หงจวิน มันมีปริมาณมากพอสำหรับทั้งครอบครัว หากนำไปต้มน้ำแกง จะมีเนื้อไก่ให้กินเต็มปากเต็มคำ ส่งของดีไปให้ถึงขนาดนี้ นางยังต้องการอิ่มท้องมากกว่านี้อีก หรือ?
ขณะที่คุณแม่ซูออกปากบอกอย่างใจกว้าง คุณพ่อจี้อยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงหันไปเลือกไก่ตัวอื่นโดยปล่อยไก่ตัวเดิมไป
อวิ๋นลี่ลี่ได้ยินเช่นนี้ หล่อนจึงรู้ว่าคงท่าไม่ดีแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ สีหน้าจี้เจี้ยนเหวินเริ่มบึ้งตึง เขามองสำรวจในครัวก่อนบอก “ไก่ที่พี่สะใภ้ส่งมาก็ตัวไม่เล็กนะครับ ตัวโตพอให้แม่กินได้ แม่กินไปเถอะครับ”
“แม่ไม่กินหรอก แม่อยู่บ้านทั้งวัน จะกินไก่ไปทำไมกัน แม่เคี่ยวให้ลูกกับลี่ลี่กินเป็นพิเศษเลยนะ” คุณแม่จี้ไม่รู้ตัวว่าลูกชายกำลังโกรธ นางเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พี่สะใภ้สามส่งมาให้คุณแม่กิน คุณแม่กินเถอะค่ะ จี้เจี้ยนเหวินกับฉันไม่เป็นไร ไก่ตัวนี้มากพอให้คุณแม่อิ่มท้องได้ พี่สะใภ้สามกตัญญูจริง ๆ เลยนะคะ” อวิ๋นลี่ลี่ส่งยิ้มก่อนบอ อก ด้วยต้องการจบเรื่องนี้
“หือ กตัญญูอะไรกันล่ะ?” ทว่าคุณแม่จี้ไม่เข้าใจเจตนาของหล่อน นางว่าเย้ย “แค่ส่งไก่มาที่นี่ ต้องการหลอกให้ตายใจน่ะสิ? ไก่ตัวเล็กแค่นี้จะไปพอทั้งครอบครัวเราได้ยังไงกัน? หล่อน นมันพวกเจ้าแผนการ หลายใจยิ่งกว่านางพญาผึ้ง ถ้าอยากจะแสดงความกตัญญู ทำไมไม่ส่งตัวที่หนัก 5 ถึง 6 ชั่งมาให้ล่ะ!?”
ซูตานหงคิดอะไรมีหรือที่นางจะไม่รู้ แค่ทำก้นยื่นกลิ่นผายลมก็ออกแล้ว* คิดจะเสแสร้งเป็นคนใจกว้างเหรอ คอยดูเถอะ นางจะแฉให้หมดเปลือก!
*ก้นยื่นกลิ่นผายลมออก = เห็นแล้วก็รู้เท่าทัน
“แม่ครับ พี่สะใภ้สามส่งไก่มาให้แม่โดยเฉพาะ ถ้าเราอยากกินเราจะไปซื้อเอง แม่ไม่ต้องแบ่งอาหารจากพี่สะใภ้สามให้เราหรอก เราลำบากใจกันนะครับ!” จี้เจี้ยนเหวินว่าขึ้นด้วยสีหน้าเรี ยบเฉย
“อะไรกัน มันเป็นของพี่สามลูกทั้งนั้น หล่อนไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง เอาแต่อยู่ในห้องครัวทั้งวัน!” คุณแม่จี้เอ่ย
นางงุนงงว่าเหตุใดลูกคนเล็กจึงไม่พอใจขึ้นมา
“ผมจะไม่คุยเรื่องนี้กับแม่แล้ว แม่คงไม่เข้าใจ คุณกับลูกห้ามกินไก่ตัวนี้เด็ดขาด เก็บไว้ให้แม่กินคนเดียว!” จี้เจี้ยนเหวินกำชับอวิ๋นลี่ลี่และลูกสาว
เขาหยิบเสื้อผ้าและเข้าไปอาบน้ำ หลังทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งวัน เขากลับต้องมาอารมณ์เสียเมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาไม่พอใจมากเหลือเกิน!
“ลี่ลี่ วันนี้ขายของไม่ดีเหรอ? ทำไมเจี้ยนเหวินถึงหงุดหงิดแบบนั้นล่ะ?” คุณแม่จี้ถาม
“ก็เป็นเพราะคุณแม่ไม่ใช่เหรอคะ?” อวิ๋นลี่ลี่ว่าขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
วันนี้เจี้ยนเหวินเหนื่อยมามาก เมื่อกลับมาถึงบ้าน คิดว่าจะได้กินน้ำแกงร้อน ๆ นึกไม่ถึงว่าแม่สามีของหล่อนจะทำเสียบรรยากาศ หล่อนรู้ว่าตอนนี้เจี้ยนเหวินเห็นว่าพี่สะใภ้สามทั้งก กตัญญูและเป็นคนดี นางกลับต่อว่าเธอถึงเพียงนี้ เขาได้ฟังคำพูดนางแล้วจะรู้สึกอย่างไรกัน?
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่จี้นี่แก่เกินแกงจริง ๆ ขนาดเอาไปทำปุ๋ยหมักยังกลัวว่าต้นไม้จะตายเลย
ไหหม่า(海馬)