ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 455 การเติบโตของลูกหลานตระกูลจี้
ตอนที่ 455 การเติบโตของลูกหลานตระกูลจี้
หมู่บ้านเล็กเพียงเท่านี้ ใครจะปิดบังเรื่องพวกนี้ได้บ้าง?
นอกจากนี้ ซูเจวียนยังชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทา ที่นี่มีแหล่งข่าวมากมาย ดังนั้นหล่อนจึงรับรู้ได้อย่างง่ายดาย
เดิมทีหล่อนต้องการเสนอตัวบ้าง ซูตานหงจะได้เห็นหล่อนในสายตา บางทีหล่อนอาจได้ของขวัญปีใหม่ก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
ตอนแรกหล่อนต้องการแนะนำให้หลานสาวไปทำงานที่นั่น หล่อนเคยพาหงอิงหลานสาวของตนไปที่นั่นมาก่อน แต่ซูตานหงกลับไม่นึกสนใจ
คนในครอบครัวของหล่อนจะเทียบกับคนตระกูลจี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
เกรงว่าน้อยคนในหมู่บ้านที่จะเทียบได้ หล่อนจึงยอมแพ้เรื่องนี้เช่นกัน
ซูเจวียนอยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องเนื้อหมูของภรรยาตระกูลเสี่ยว แต่ในวันรุ่งขึ้นเจ้าหล่อนกลับปิดปากเงียบ ทำให้หล่อนหาข้ออ้างไม่ได้
“น่าเสียดาย เนื้อหมูบ้านหล่อนขายหมดเร็วทุกปีเลย ยังไม่ทันปีใหม่ก็ขายหมดแล้ว” ซูเจวียนบอกอย่างนึกเสียดาย
หล่อนเองก็อยากลองชิมเนื้อหมูของตระกูลจี้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะราคาแพงไปหน่อย นอกจากนี้เพียงไม่กี่วันมันก็ถูกซื้อไปเตรียมฉลองปีใหม่หมดแล้ว
“เนื้อหมูเจ้าอื่นก็เหมือนกันนั่นแหละ ต่อให้มีมันหมูมากกว่า ก็คงไม่ต่างกันหรอก ครอบครัวของเขาก็กินเนื้อหมูจากเจ้าอื่นเหมือนกัน” จี้เจี้ยนเหอว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก
ในแต่ละปี ตระกูลจี้จะชำแหละหมูเพียงครั้งเดียว ในช่วงอื่นพวกเขาซื้อหมูมาจากข้างนอกทั้งนั้น แล้วจะไม่เหมือนกันตรงไหน?
เป็นจริงอย่างที่เขาพูด ซูเจวียนจึงไม่ได้ท้วงอะไร แต่ถึงอย่างไรหากได้เนื้อมาเป็นของขวัญปีใหม่บ้างก็คงจะดี
ของขวัญปีใหม่ปีนี้ยังเหมือนกับปีก่อน พวกมันถูกแจกจ่ายในวันที่ 28 ดังนั้นจึงมีของดีบรรจุอยู่มากมาย
ทั้งซี่โครงหมู หมูสามชั้น 2 ชั่ง ไข่ไก่ครึ่งตะกร้า และของอื่น ๆ ของเหล่านี้ อันที่จริงแล้วมันดีกว่าของขวัญปีใหม่ทั่วไปอีก
ซี่โครงหมู หมูสามชั้น กับไข่ไก่สามารถนำไปต้มพะโล้ได้ ซึ่งมันส่งกลิ่นหอมฉุยอบอวล หรือจะนำหมูสามชั้นไปตุ๋นกับถั่ว มันฝรั่ง และผักกาดดองก็ได้ เป็นอาหารหาทานยากที่อร่อยล้ำ
ปีนี้มีฟองเต้าหู้แจกให้ด้วย มันมีรสชาติอร่อยมากเช่นกัน
ได้ของขวัญตะกร้าใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่คนอย่างซูเจวียนก็ยังอดดีใจไม่ได้
ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลทรายขาว พวกมันมีปริมาณมากจนใช้ไปได้อีกนาน
คนในหมู่บ้านไปรับของขวัญด้วยตัวเอง ขณะที่คนจากหมู่บ้านอื่น เช่นซูจูเหมา จี้เจี้ยนอวิ๋นจะเป็นคนเอาไปให้ด้วยตัวเอง
ด้วยโอกาสนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงนำของขวัญปีใหม่ไปให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเช่นกัน เพื่อขอให้พวกเขาโชคดีตลอดปี จนแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ช่วงที่ผ่านมามีชาวบ้านหลายคนร่ำรวย ขึ้น แต่ไม่เท่าจี้เจี้ยนอวิ๋น และไม่มีใครเทียบเขาได้สักคน
เหรินเหรินกับคนอื่น ๆ จึงออกไปสวัสดีปีใหม่ผู้หลักผู้ใหญ่ข้างนอก พวกเขาต้อนรับเป็นอย่างดี
ผู้คนต่างซาบซึ้งใจ จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย พวกเขาจึงย่อมยินดีและเอ็นดูพี่น้องอย่างเหรินเหรินกับฉีฉี
อย่างที่รู้กัน ผู้อาวุโสในหมู่บ้านรู้สึกมีคุณค่าก็เพราะว่าจี้เจี้ยนอวิ๋น
บางครั้งที่จี้เจี้ยนอวิ๋นมีงานที่สวนล้นมือ เขายังมาทาบทามให้ไปช่วยงานที่พอทำได้ ทั้งพวกเขายังได้ค่าแรง โดยมักจะได้รับภายใน 3 วันหรือทุกครึ่งเดือน พวกเขามักไปรับเงินกับเ เหล่าจางที่สวนแห่งแรก
ตอนนี้เหล่าจางกลายเป็นที่นับถือในหมู่บ้าน ปีนี้ชาวบ้านหลายคนมาขอให้เขาเขียนป้ายอวยพรให้ และเหล่าจางก็เรียกเหรินเหรินมาเขียนให้ทันที
ตอนแรกพวกชาวบ้านเป็นกังวลกันเล็กน้อย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเหรินเหรินชนะเลิศการเขียนพู่กัน จึงปล่อยให้เขาลองเขียน
พวกเขาทึ่งกันมาก และคุยกันว่าเหล่าจางอบรมเด็ก ๆ ได้เก่งกาจมากทีเดียว
ลายเส้นฝีมือของเหรินเหรินล้วนอยู่ในกรอบ ตั้งฉากสวยงาม จึงเป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน และเขาได้กลายเป็นแบบอย่างของเด็กในหมู่บ้าน
เด็กคนหนึ่งมาโวยวายกับฉีฉี “ทำไมพี่ชายนายถึงได้เก่งขนาดนั้นล่ะ พ่อฉันเพิ่งเอาป้ายอวยพรกลับมา บอกว่าให้ดูลายมือของจี้เหริงไว้ แล้วก็เหลือบมองลายมือไก่เขี่ยของฉัน”
ซูตานหงเรียกเขาว่าเหรินเหรินแค่ที่บ้าน ทว่าตั้งแต่เหรินเหรินอยู่ชั้นประถม 3 เหรินเหรินก็ไม่ได้ถูกเรียกด้วยชื่อเล่นยามอยู่ข้างนอก แต่จะเรียกเขาว่าจี้เหริง
“ลายมือไก่เขี่ยของนายมันก็เละจริง ๆ นั่นแหละ แต่พ่อนายก็พูดเกินไป เขาเอานายมาเทียบกับพี่ชายฉัน พี่ชายฉันเหมือนปู่บุญธรรม ไม่ต้องพูดถึงนายเลย ฉันว่าไม่มีใครแถวนี้เทียบ พี่ฉันได้หรอก เมื่อวานฉันเพิ่งเห็นเขาอ่านหนังสือชั้น ม.2 อยู่เลย!” ฉีฉีบอก
อย่างที่รู้กัน พี่ชายของเขาเพิ่งเตรียมตัวเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีหน้า แต่เขากลับอ่านหนังสือของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แล้ว!
“ม.2?” เด็กคนนั้นเบิกตากว้าง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เกินกว่าอายุของพวกเขาไปมาก แต่เขาก็รู้ว่าจี้เหริงจะขึ้นเรียนชั้นมัธยมในปีหน้า ปีนี้เขายังเรียนชั้นประถมปีที่ 6 อยู่
“แน่นอนสิ” เขาพยักหน้า
“อ่านรู้เรื่องด้วยเหรอ?” อีกฝ่ายอดถามขึ้นไม่ได้
“คนอื่นอาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอพี่ชายฉันอ่าน พี่ก็เข้าใจได้ทันทีเลย ต่อให้พี่จะไม่รู้เรื่อง แต่เดี๋ยวปู่บุญธรรมก็จะสอนเองนั่นแหละ” ฉีฉีบอก
สำหรับพี่ชายคนโต ต่อให้ฉีฉีไม่ได้เห็นเรื่องน่าตกใจที่ผ่านมา เขาก็ยังเป็นคนน่าทึ่งอยู่ดี
พี่ชายเขาสามารถอยู่เรียนหนังสือกับปู่บุญธรรมในห้องได้ทั้งวัน เขาฝึกเขียนพู่กันตอนเช้า ไม่ใช่เพียงแค่ตอนเช้า ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เขาจะคว้าพู่กัน หมึก และกระดาษมาเขียนบางคำอ อยู่เสมอ
เขาสามารถตื่นแต่เช้าตรู่ได้ทุกวัน แม้แต่ในวันที่อากาศหนาว เขาก็ยังทำเช่นเคย
พลังงานของเขาช่างน่าตกตะลึง เขาคิดว่าพี่ชายของตนเป็นคนที่เก่งมาก อย่างน้อยตัวเขาเองก็อยากจะนอนขี้เกียจบนเตียงมากกว่า ส่วนใหญ่มักจะไม่ตื่นจนกว่าจะถึงเวลา
“มีพี่ชายเก่งแบบนี้ นายไม่กดดันบ้างเหรอ?” อีกฝ่ายมองเขาอย่างเห็นใจ
“กดดันอะไรเล่า ถึงพี่ฉันจะได้ที่ 1 มาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก ฉันก็ไม่ได้แย่นี่นา ครั้งก่อนก็เอาชนะเพื่อนร่วมห้องผู้หญิงได้ด้วย ถึงครั้งอื่นนายจะเห็นว่าฉันแพ้เธอ แต่ฉันก็ได้ท ที่ 1 เหมือนกันนะ!” ฉีฉีท้วง
มันเป็นเรื่องจริง แม้ฉีฉีจะซนไปบ้าง แต่ผลการเรียนของเขาดีมาก หลายคนยังมายืมการบ้านเขาไปลอก
ฉีฉีไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเห็นว่าตัวเองก็เก่งเช่นกัน เขาตัดสินใจว่าเมื่อโตขึ้น เขาจะเรียนศิลปะการป้องกันตัวจากพ่อ พ่อของเขาช่ำชองเรื่องนี้มาก มันไม่ใ ใช่เรื่องลำบากแต่อย่างใด!
แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นฝีมือของพ่อกับตา เพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่มาก จึงไม่ได้คิดมาก
หากแต่เขาได้ยินพวกลุงเล่าให้ฟัง ไม่ใช่เพียงแค่คุณลุง แต่ยังมีอาจูเหมา อาเฮ่อซาน และอาเจี้ยนเหอ ทุกคนต่างบอกว่าพ่อของเขาขึ้นชื่อเรื่องการต่อสู้ เขาเคยเป็นนักสู้มาก่อน น!
“พี่รอง ผมมาตามไปกินข้าวเย็น ตามหาพี่ตั้งนาน เร็วเข้า ที่บ้านมีลูกชิ้นเนื้อทอดด้วยนะ!” เสียงเสียงตะโกนบอกเมื่อเห็นเขาอยู่ไม่ห่างออกไป
“ลูกชิ้นเนื้อทอดเหรอ?” ทันใดนั้น เขาพลันลืมทุกสิ่งอย่าง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหรินเหรินโตมาดีมากค่ะ อนาคตต้องเป็นอาจารย์หนุ่มมากความรู้แน่นอน ส่วนเจ้าฉีฉีก็เก่งเหมือนกัน แต่ติดเล่นมากกว่าพี่
พอได้ยินว่าที่บ้านทำลูกชิ้นทอดนี่รีบกลับเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)