ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 456 ปัญหาเรื่องโทรศัพท์
ตอนที่ 456 ปัญหาเรื่องโทรศัพท์
“ใช่ รีบกลับไปเร็วเข้า เพิ่งออกจากกระทะเลยนะ ต้องกินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย!” เสียงเสียงบอก ก่อนหันหลังวิ่งกลับไป
“นายก็กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านได้แล้ว!” ฉีฉีว่าจบ เขาก็วิ่งตามหลังน้องชายไปติด ๆ
เพื่อนตัวน้อยของเขาจากไปพร้อมความอิจฉา ครอบครัวของเขาไม่มีลูกชิ้นเนื้อทอดให้กินด้วยซ้ำ
เมื่อฉีฉีกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นจี้เสี่ยวตง พี่ชายคนโตอยู่ด้วย “พี่เสี่ยวตง พี่มากินลูกชิ้นเนื้อทอดเย็นนี้ด้วยกันเหรอครับ?”
หากจี้เสี่ยวตงมาที่บ้าน แปลว่าเขาจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน ไม่ต้องถามว่าเขาจะกลับไปกินข้าวที่บ้านตัวเองหรือไม่
“ใช่ อาสะใภ้สามเพิ่งจะทอดเสร็จใหม่ ๆ เลยนะ” จี้เสี่ยวตงตอบพร้อมส่งยิ้มให้
“งั้นก็ต้องกินตอนที่ยังร้อน ๆ !” ฉีฉีบอกขณะส่งแววตาเป็นประกาย
“จะรีบไปไหน? พี่ชายลูกไปเรียกปู่อยู่ เพิ่งจะออกไปเอง รอให้พวกเขาลงมาก่อนถึงจะกินได้” ซูตานหงปราม ก่อนบอก “ส่วนจานนี้เป็นของคุณย่าหยางกับคุณปู่หยางนะ”
“ครับ” ฉีฉีขานรับทันที และหยิบอาหารไปข้างบ้าน
คุณป้าหยางกับคุณลุงหยางรับไว้ ไม่คิดปฏิเสธน้ำใจ
มื้อเย็นเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาหารมีเต็มโต๊ะ ลูกชิ้นเนื้อทอดร้อน ๆ โชยกลิ่นหอม มันกลายเป็นของโปรดเด็ก ๆ
อย่างไรก็ตามหากกินมากเกินไปก็จะเป็นร้อนในได้ ซูตานหงจึงไม่ให้กินมากนัก แต่ละคนกินได้เพียง 3 ลูกเท่านั้น
ความจริงแล้วลูกชิ้นเนื้อทอดที่ซูตานหงทำเพียง 3 ลูกนั้นมันย่องเกินไป แต่เด็ก ๆ ในบ้านต่างงอแงกันว่ายังกินไม่หนำใจ
“บอกว่าได้ 3 ลูกก็คือ 3 ลูก ถ้าคิดว่าน้อยเกินไปก็ไปกินอย่างอื่นเพิ่ม” ซูตานหงบอกอย่างเด็ดขาด
“แม่เป็นแบบนี้ตลอดเลย กินน้อยแบบนี้แล้วเราจะโตกันได้ยังไงล่ะ!” ฉีฉีโวยวายขึ้น
“ไม่ใช่ว่าลูกไม่มีอย่างอื่นให้กินนี่ อย่ามาต่อรองนะ เสี่ยวตงกินส่วนของเธอไป ห้ามแบ่งส่วนของเธอให้พวกเขาด้วย” ซูตานหงสั่ง
“อาสะใภ้สาม ผมไม่ให้หรอกครับ” จี้เสี่ยวตงตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน
เมื่อเห็นเขาว่าตามจริง ซูตานหงก็พยักหน้า และปล่อยให้พวกเขากินข้าวกันต่อไป
หลังกินเสร็จแล้วยังต้องดื่มชาสมุนไพรตามด้วย ซึ่งมีสรรพคุณช่วยป้องกันอาการร้อนใน
มันเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ อาหารวันปีใหม่อร่อยและทำให้เป็นร้อนในได้ง่าย จำเป็นต้องดื่มชาสมุนไพรเพื่อดับร้อนภายในร่างกาย
จี้เสี่ยวตงไม่ได้กลับบ้านทันทีหลังกินข้าวเย็นที่บ้านอาสาม เขาอยู่ดูโทรทัศน์กับเหรินเหริน และน้อง ๆ จนกระทั่ง 2 ทุ่มแล้วถึงค่อยกลับไป
ตอนนี้จี้เสี่ยวตงโตเป็นหนุ่มน้อยแล้ว เขาจะขึ้นเรียนชั้นมัธยมปีที่ 5 ในปีหน้า และต้องไปเรียนที่โรงเรียนในเมือง
“ดูจากท่าทางของพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว หล่อนไม่อยากให้เสี่ยวตงเรียนต่อเหรอคะ?” ซูตานหงถามจี้เจี้ยนอวิ๋นในช่วงที่กำลังจะเข้านอน
จี้เจี้ยนอวิ๋นคิดลังเลครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าภรรยาจึงบอก “ถ้าเสี่ยวตงได้เรียนต่อ เขาคงจะได้เรียนระดับมหาวิทยาลัย”
ซูตานหงยังคงไม่เข้าใจว่าสามีหมายความว่าอะไรกันแน่? แต่เมื่อเขาทำสีหน้าบูดบึ้งเธอก็รู้ความคิดของเขาทันที
เพียงแค่เธอนึกไม่ถึงว่าตอนนี้เฝิงฟางฟางจะสุดโต่งขนาดนี้
เนื่องจากตอนนี้ครอบครัวของหล่อนไม่มีปัญญาส่งเขาเรียนต่อได้ หล่อนจึงวางแผนให้จี้เสี่ยวตงลาออกจากโรงเรียน
แม้คำพูดของเฝิงฟางฟางจะไม่ผิดเสียทั้งหมด ค่าเทอมระดับชั้นมัธยมทุกวันนี้ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีค่าครองชีพอื่น ๆ อย่างค่ากินอยู่ ทำให้สถานการณ์ของครอบครัวหล่อนยิ่งเผชิญแรงกดดัน นเข้าไปใหญ่
ความกดดันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ถ้าหากหล่อนพยายามจริง ๆ มันสามารถพ้นผ่านไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เฝิงฟางฟางทำงานที่ห้างสรรพสินค้า มีเงินเดือนมากกว่า 100 หยวน หล่อนทำงานที่นี่มาตั้งแต่ตัดขาดกับจี้อวิ๋นอวิ๋น ซึ่งผ่านมาได้สักพักใหญ่แล้ว หล่อนเองก็เป็นคนประหยัด ต้องมีเงิ นเก็บมากแล้วแน่ ๆ
ก่อนหน้านี้หล่อนรับปากว่าจะส่งลูกชายเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอาจจะพูดไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนหล่อนจะเปลี่ยนใจแล้ว
เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ครอบครัวซูตานหงออกค่าเล่าเรียนและค่าอยู่กินให้
“คุณจะส่งเสียเสี่ยวตงเรียนเหรอคะ?” ซูตานหงถามเขา
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ถ้าคุณออกค่าเล่าเรียนให้เสี่ยวตงก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ความจริงครอบครัวเราก็มีเงินอยู่ แต่ฉันแค่ไม่ชอบวิธีแบบนี้เลย” ซูตานหงบอก
“ผมรู้ว่าพี่สะใภ้ก็ทำเกินไปครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจเจตนาของเฝิงฟางฟาง แต่มันก็เกี่ยวข้องกับอนาคตของเสี่ยวตง เขาจะเอาสิ่งนี้มาเป็นเดิมพันได้อย่างไร? หลานเขาคงเจ็บปวดมาก
“อย่างนั้นคุณแค่บอกเสี่ยวตงให้ยืมเงินไปจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัย จดเอาไว้ว่าคุณให้เงินเขายืมไปเท่าไหร่ แล้วให้เขาจ่ายคืนคุณหลังจากเรียนจบและทำงานแล้วก็ได้ค่ะ” ซูตานหงเสนอ
เธอเดาว่าจี้เสี่ยวตงคงต้องการพูดเรื่องนี้เมื่อเย็น แต่เขายังอายุน้อยและละอายใจที่จะบอกเรื่องนี้
ส่วนเรื่องที่จี้เสี่ยวตงต้องการให้อาสามช่วยออกค่าเทอมให้ตนเอง คงไม่มีทางเป็นไปได้ เสี่ยวตงโตแล้วและได้รับการอมรมจากเธอมามาก เขาไม่มีทางคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน
“ภรรยาครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลย ฉันบอกไว้เลยนะคะ ต้องให้เสี่ยวตงจ่ายเงินคืน ไม่ได้ให้เขาไปเปล่า ๆ” ซูตานหงดันศีรษะเขาออกพลางบอก
“ผมรู้ครับ ภรรยาผมปากร้ายใจดี ผมล่ะอยากเห็นหัวใจแสนดีของภรรยาผมจริง ๆ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“อย่ามาล้อเลียนกันนะคะ!”
สิ้นเสียงหอบหายใจติดขัด จากนั้นเสียงหยอกล้อก็เงียบลง
ซูตานหงไม่รู้ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นบอกหลานชายอย่างจี้เสี่ยวตงว่าอย่างไร ทว่าซูตานหงเห็นแววยินดีฉายผ่านสีหน้าของหนุ่มน้อย
อันที่จริงจี้เสี่ยวตงกับอาสามนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อย ส่วนจมูกเหมือนกันมากที่สุด ทั้งคู่ล้วนสูงใหญ่ แบบที่ผู้ชายตระกูลจี้ทั้งหมดเป็น
เหรินเหรินกับน้อง ๆ มีจมูกทรงนี้เช่นกัน ลักษณะเด่นของพวกเขาสืบทอดกันมาจากคุณพ่อจี้ พวกเขาต่างมีเค้าโครงความหน้าตาดีกันหมด
ปีนี้ครอบครัวเจี้ยนเหวินพาคุณแม่จี้ไปอยู่ที่เมืองเจียงสุ่ย พวกเขาเพียงแค่โทรศัพท์มาสวัสดีปีใหม่ ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้
ซูตานหงบอกกับจี้เจี้ยนอวิ๋น “เราควรติดตั้งโทรศัพท์กันหรือเปล่าคะ?”
“ตอนนี้ค่าโทรศัพท์แพงมากเลยนะครับ เดือนละตั้งมากกว่า 900 หยวน” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกขณะส่ายหน้า
ครอบครัวเขาจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ แต่หากพูดกันตามตรง เขาใช้มันไม่บ่อยนัก หากมีมากกว่า 10 สายต่อเดือน แล้วต้องไปที่ที่ว่าการหมู่บ้าน มันคงเป็นการไม่สะดวกมากทีเดียว แต่ถ้าใช้โ โทรศัพท์น้อยครั้งต่อเดือน การประหยัดเงินได้มากขนาดนี้ย่อมดีกว่า
พี่ชายของผู้ใหญ่บ้านมีโทรศัพท์ที่บ้าน ซึ่งเป็นที่พูดถึงโดยทั่วกัน
ทว่ามันไม่ได้มีประโยชน์นัก
ช่วงที่ผ่านมานี้มันไม่ได้ใช้งานนัก เขาจึงไม่อยากจ่ายค่าโทรศัพท์หลังจากติดตั้ง
“เถ้าแก่จี้ไม่มีปัญญาจ่ายได้ยังไงคะ?” ซูตานหงสบตามองเขา
“ไม่ใช่ว่าครอบครัวเราจ่ายไม่ได้หรอกครับ แต่ตอนนี้มันยังไม่จำเป็นต่างหาก เงินมากขนาดนั้นพอให้เราเอาไปซื้ออะไรได้อีกเยอะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
เขารู้ว่าภรรยาตนต้องการติดตั้งโทรศัพท์เพื่อเขา เนื่องจากปกติแล้วเธอจะไม่ได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาเอง
หากแต่ในความคิดของจี้เจี้ยนอวิ๋น มันเป็นการสิ้นเปลือง เนื่องจากไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก
………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ในที่สุดเสี่ยวตงก็จะได้เรียนต่อแล้ว ต้องขอบคุณบ้านสามเลยที่ต่ออนาคตให้
ค่าโทรศัพท์สมัยนั้นแพงจริง 900 หยวนนี่ซื้ออะไรได้เยอะแยะเลย
ไหหม่า(海馬)