ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 46 เรียนรู้การกระจายอำนาจ
บทที่ 46 เรียนรู้การกระจายอำนาจ
“ครับ ผมไม่ได้กลับไปแล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าและมองไปที่กำแพงที่พวกเขาสร้างขึ้น ก่อนพูดว่า “กำแพงนี้ต้องเสียค่าอิฐค่าหินไปเยอะมากเลยสินะครับ”
“มันเสียเงินมากก็จริง แต่ก็ยังใช้อิฐหักมาก่อได้ ซึ่งก็ใช้ได้เหมือน ๆ กัน” คุณพ่อจี้เหลือบมองเขาและเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร
สวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการลาออกของจี้เจี้ยนอวิ๋น และพวกเขาก็รู้ว่าสถานการณ์ในสวนผลไม้ตอนนี้เป็นอย่างไร พวกมันกำลังเจริญเติบโตด้วยดี ถ้าหากจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาช่วย มันก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วสวนผลไม้ใหญ่ขนาดนี้คงจะอยู่ไม่รอดหากต้องอาศัยเพียงซูตานหง คุณพ่อจี้ และคุณแม่จี้เป็นคนดูแล
เมื่อเห็นพวกเขาสร้างกำแพงกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็อยากจะลองทำบ้าง แต่คุณพ่อจี้ได้ห้ามเอาไว้ “อย่าเพิ่ง รอให้แกหายดีก่อน ถ้าตอนนั้นแกจะทำล่ะก็ ฉันจะไม่ห้ามแกเลย”
จี้เจี้ยนอวิ๋นลาออกเพราะบาดเจ็บจากการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี
ดังนั้นจึงมีแต่คนห้ามไม่ให้จี้เจี้ยนอวิ๋นทำงานจนกว่าอาการบาดเจ็บจะทุเลาลงจนเป็นปกติ
แผลที่หน้าอกของจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ใช่ปัญหาอะไรนักเพราะมันเกือบจะหายดีแล้ว ส่วนขานั้นยังต้องใช้เวลาสักระยะ เขาจึงไม่ฝืนอะไร
หลังจากคุยกับพวกเขาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เดินลงมาจากภูเขา
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็พูดถึงสวนผลไม้ว่า “เรายังมีที่ดินให้ปลูกอีกมาก ภรรยา คุณคิดว่าต่อไปจะปลูกอะไรดีครับ?”
“เอาตามที่คุณอยากปลูกแล้วกันค่ะ แต่ฉันชอบกินเชอร์รี่ ฉันอยากจะปลูกเอาไว้หลากหลายพันธุ์มากกว่านี้” ซูตานหงออกความคิด
“ได้ครับ ผมจะดูอีกที แต่ในสวนของเรายังไม่มีต้นท้อเลยนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ถ้าอย่างนั้นก็ปลูกต้นท้อเพิ่ม แล้วก็ปลูกต้นหม่อนด้วยนะคะ ฉันชอบกินลูกหม่อนเหมือนกันค่ะ” ซูตานหงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“ตอนนี้มันเลยเวลาปลูกไปแล้ว เราค่อยปลูกเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าดีไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณปลูกช่วงนี้ได้เลย ลองถามเหล่าฉินดูนะคะว่ามีต้นกล้าผลไม้พวกนี้หรือเปล่า ถ้ามีก็ให้เขาขนมาให้” ซูตานหงบอก
ด้วยความที่มีน้ำพุวิเศษอยู่ในมือ เธอก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าต้นกล้าผลไม้จะไม่รอด
“ตานหง คุณค่อย ๆ ทำได้ไหม ขาของผมยังไม่หายดี ถ้าปลูกตอนนี้จะต้องจ้างคนขึ้นภูเขาไปรดน้ำนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
ซูตานหงมองเขา และเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก “ฉันไม่ได้คิดจะให้คุณเป็นคนขนน้ำขึ้นไปรดน้ำต้นกล้าสักหน่อย ในวัน ๆ หนึ่งคุณต้องขนน้ำไปเท่าไหร่? ถ้าคุณทำงานคนเดียวทั้งวันก็อย่าหวังว่าจะได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยค่ะ!”
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำไมเธอต้องให้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนทำงานนี้ด้วยล่ะ? ในเมื่อเรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจ้างคนมารดน้ำแลกกับการให้ค่าแรงเล็กน้อย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำงานด้วยตัวเอง
“ตานหง” ทำไมจี้เจี้ยนอวิ๋นจะไม่รู้ว่าภรรยาของเขาหมายถึงอะไร? เธอไม่
เต็มใจที่จะให้เขาทำงานแบบนี้น่ะสิ
ซูตานหงมองมาที่เขาและพูดว่า “คุณรอจนกว่าขาของคุณจะหายแล้วถึงค่อยทำงานรดน้ำเถอะค่ะ ในอนาคตคุณจะต้องตัดแต่งกิ่งไม้ใบไม้ด้วย เพราะฉันปีนต้นไม้ขึ้นไปทำงานนี้ไม่ได้ แล้วคุณยังต้องออกไปข้างนอกเพื่อเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากคนอื่นด้วย สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับสวนผลไม้ของเราว่ามันจะเจริญเติบโตดีหรือไม่ ฉันคิดว่าคุณควรเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เอาไว้ “
เธอรู้สึกว่าตนไม่สามารถทำลายความมั่นใจในตัวเองของชายคนนี้ได้ จึงทำเพียงให้คำแนะนำกับเขาอย่างมีชั้นเชิง
จี้เจี้ยนอวิ๋นตกใจไปกับคำพูดของเธอ เขาลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท
จริงด้วย เทียบกับงานอย่างการรดน้ำต้นไม้แล้ว เจ้าของสวนอย่างเขาควรได้เรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์จริง ๆ มากกว่า
“จ้างคนแค่นี้จะเสียค่าจ้างต่อปีมากขนาดไหนเชียวคะ? เราไม่ได้จ้างตลอดทุกปีเสียหน่อย พอต้นไม้ผลมีชีวิตรอดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยแล้วล่ะค่ะ เราไม่ต้องใช้เงินเยอะหรอก เอาเวลาที่มีไปเรียนรู้การจัดการสวนผลไม้ดีกว่าค่ะ เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญที่สุด เจี้ยนอวิ๋น คุณว่าอย่างไรคะ?” ซูตานหงถามความคิดเห็นของเขา
“ภรรยา ทำไมคุณฉลาดจัง?” จี้เจี้ยนอวิ๋นพลันตระหนักได้ราวกับเห็นท้องฟ้าอันสดใสหลังเมฆหมอกสลายหายไป ดวงตาของเขาสุกกระจ่างขึ้นขณะมองผู้เป็นภรรยา
“ฉันฉลาดตรงไหนกันคะ ฉันก็แค่พูดถึงสิ่งต่าง ๆ ตามที่คิดได้เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นสวนผลไม้ของเราจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่สวนผลไม้เท่านั้น แต่รวมถึงฟาร์มไก่ด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนต้องใช้กำลังคน ดังนั้นเราจะต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกำลังคนเหล่านี้ เราไม่จำเป็นต้องทำงานเอง แต่พวกเขาจะทำงานให้เราเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนคน เมื่อถึงเวลานี้ฉันจะเป็นคนอธิบายกับพวกเขาเองค่ะ ไม่อย่างนั้นชาวบ้านจะหาว่าลำเอียงได้” ซูตานหงบอก
ในชีวิตชาติที่แล้วมารดาของเธอได้สอนวิธีมอบหมายอำนาจให้เธอ ตราบ
ใดที่เธอควบคุมผู้หญิงที่รับผิดชอบงานส่วนใหญ่ได้ เธอก็จัดการปัญหาทั้งหมดได้ในคราวเดียวโดยไม่จำเป็นต้องสนใจบรรดาสาวใช้ตัวเล็ก ๆ มากจนเกินไป
ตอนนี้พวกเขาต้องจัดการสวนผลไม้ ซึ่งสวนนี้มีขนาดใหญ่มาก การจ้างใครสักคนมาช่วยดูแลจึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นของครอบครัวเธอยังทำไม่ได้ในคราวแรกหรอก ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เธอสามารถแนะแนวให้กับเขาได้อยู่
“คุณฝากงานพวกนี้ไว้กับผมเถอะ ผมจะเป็นคนดูแลเอง” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยหนักแน่น
“ถ้าคุณเต็มใจจะแบกรับงานนี้ฉันก็ยินดีมากค่ะ มันเป็นงานที่ต้องท้าทายผู้คน แล้วฉันก็ไม่อยากจะทำมันด้วย” ซูตานหงเหลือบมองเขา
ผู้ชายไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่อย่างสุขสบายมากเกินไป เธอต้องมอบอำนาจและความรับผิดชอบให้กับเขา เพื่อที่เขาจะได้มีความมั่นใจและคิดถึงครอบครัวของเขามากขึ้น
จี้เจี้ยนอวิ๋นพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หลังได้พูดคุยใกล้ชิดกับภรรยาของเขาสักพักหนึ่งแล้วเขาก็เข้ามาในตัวหมู่บ้านเพื่อขอใช้โทรศัพท์กับคณะกรรมการหมู่บ้าน
เหล่าฉินที่รับโทรศัพท์และได้ยินว่าเขาลาออกจากกองทัพแล้วก็รู้สึกเสียดายแทนเจี้ยนอวิ๋น จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันครู่หนึ่งก่อนจะเข้าประเด็นหลัก
“เหล่าฉิน ผมขอซื้อกล้าไม้ผลจากคุณหน่อยสิ เอาแบบเดียวกับที่ส่งมาคราวที่แล้วนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
“ไม่มีปัญหา คุณอยากได้แบบไหนมั่งล่ะ? ถ้าร้านผมไม่มี ผมจะได้หาทางไปเอาจากที่อื่นมาให้ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ต้นกล้าที่คุณจะได้รับมีแต่ระดับชั้นยอดทั้งนั้น” เหล่าฉินรับปาก
จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกชนิดต้นกล้าผลไม้ที่เขาต้องการ และยังบอกอีกว่าคราวนี้เขาต้องการค่อนข้างมาก ขนาดต้องขนมาเต็มสองคันรถบรรทุกเลยทีเดียว
“ครั้งที่แล้วพวกมันมีชีวิตรอดเท่าไหร่?” เหล่าฉินถาม
“รอดหมดทุกต้นเลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกด้วยรอยยิ้ม
เหล่าฉินอึ้งไปครู่หนึ่งและหัวเราะออกมาทันที “ได้ ดูเหมือนว่าคุณจะปลูกต้นไม้ขึ้นนะเนี่ย ตกลง วันพรุ่งนี้ผมจะส่งให้คุณไปก่อนเป็นคันแรก แต่ต้นกล้าเชอร์รี่กับหม่อนจะมาช้าหน่อยเพราะผมต้องไปหาแหล่งอื่น ถ้าได้จะส่งไปให้คุณนะ”
“ตกลงครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
หลังจากวางสายแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็จ่ายเงินค่าโทรศัพท์ไป 1 หยวนและรู้สึกเจ็บปวดใจนิดหน่อย เขาคิดไว้แล้วว่าอยากจะติดตั้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้านของตัวเอง แต่ก็ติดตรงที่ที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ตกกลางคืนพวกเขาต้องจุดตะเกียงน้ำมันตลอด ซึ่งไม่สะดวกเอาเสียเลย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นซูตานหงกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เธอทำเนื้อวัวตุ๋นหัวไชเท้าหนึ่งหม้อ ก่อนจะแบ่งใส่จานใบเล็กแล้วก็บอกกับเขา “เจี้ยนอวิ๋น คุณเอาเนื้อจานนี้ไปให้คุณแม่ทีค่ะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม ก่อนยกเนื้อตุ๋นจานนั้นไปให้แม่ของเขา
“แกไม่ต้องขอแบ่งเนื้อตุ๋นจากที่ตานหงทำมาให้ฉันหรอก แกกับหล่อนกินกันเองเถอะ” คุณแม่จี้บอก
“นี่เป็นของที่ตานหงเอามาให้เพื่อแสดงความกตัญญูกับแม่และพ่อนะครับ แล้วพ่อเองก็ทำงานหนักทุกวันด้วย ดังนั้นต้องกินให้เยอะ ๆ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
คุณแม่จี้ยิ้ม จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไร
เมื่อคุณพ่อจี้กลับมาถึงบ้านในตอนเย็น มันก็เกือบจะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ครั้นเห็นจานเนื้อตุ๋นวางอยู่บนโต๊ะ เขาก็เอ่ยขึ้น “บ้านสามเป็นคนเอามาให้เหรอ?”
“จะเป็นใครไปได้นอกจากตานหงล่ะคะ? หล่อนให้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนเอามาส่งน่ะค่ะ” คุณแม่จี้ยิ้ม
คุณพ่อจี้พยักหน้าก่อนกินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้ากับข้าวทั้งหมดสามชาม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังเป็นกลิ่นเนื้อตุ๋นที่สะใภ้สามทำจริง ๆ ด้วย!”
…………………………………