ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 48 ค่าปรับกรณีมีลูกเกินจำนวน
บทที่ 48 ค่าปรับกรณีมีลูกเกินจำนวน
“คุณมองอะไรน่ะคะ? ฉันทำเค้กไข่เพราะจะเอาไปให้พี่หง คราวที่แล้วหล่อนให้ลูกอมนมมาสองห่อ แล้วงานปักผ้าของฉันก็ใกล้จะเสร็จแล้ว เลยคิดจะเข้าเมืองไปส่งงานในวันพรุ่งนี้น่ะค่ะ” ซูตานหงจ้องมองเขาและอธิบายด้วยใบหน้าเห่อร้อนเล็กน้อย
“ภรรยาครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเรียก และรอให้เธอเดินเข้ามาหา
“มีอะไรคะ?” ซูตานหงเดินมาหาและนั่งลงข้างเขา
“คุณบอกว่าบาดแผลบนร่างผมเกือบจะหายสนิทดีแล้ว เราจะเข้าห้องหอกันเมื่อไหร่ดีล่ะครับ? ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำเบา ๆ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยรัวเร็ว
ใบหน้าของซูตานหงกลายเป็นสีแดงยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยกลับ “ฉันกำลังท้องอยู่นะคะ ไว้รอลูกคลอดแล้วค่อยคุยกันเถอะค่ะ!”
การทำเรื่องนั้นในช่วงตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องดีเลย แถมตัวเขาเองก็ยังไม่หายดีด้วย เขาอาจได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติมได้ และการทำเช่นนั้นยังเป็นแหล่งเชื้อโรคด้วยเช่นกันหากทำไม่ถูกวิธี
ดังนั้นต่อให้ซูตานหงจะคิดถึงสามีของเธอไม่น้อย แต่เธอก็ต้องปฏิเสธไปอย่างหนักแน่น
การตั้งครรภ์ของเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของเขา ซึ่งถ้าหายดีแล้วก็ค่อยมาคุยกันเถอะ
กล่าวถึงอีกสองครอบครัวที่เหลือ…
หลังจี้เจี้ยนกั๋วกลับมาถึงบ้าน เฝิงฟางฟางก็ถามเขาเร็วรี่ “ได้ความว่ายังไงบ้างคะ น้องสามตกลงหรือเปล่า?”
“เขาไม่เห็นด้วยน่ะสิ ไม่ต้องดันทุรังคุยเรื่องสวนผลไม้อีกแล้วล่ะ” จี้เจี้ยนกั๋วส่ายหน้า
เฝิงฟางฟางถอนหายใจ หล่อนคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ตกลงกันแล้วเสียอีก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะสำเร็จเช่นกัน “ในเมื่อทางนั้นไม่ยอมตกลง งั้นก็ช่างเถอะค่ะ ไม่ใช่ว่าคุณทำงานหนักเพราะมันเหรอ? พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานเพื่อเงินเดือน 13 หยวนอยู่นะคะ!”
สามีภรรยาของครอบครัวสี่ได้เงินเดือนน้อยกว่า 40 หยวนก็จริง แต่ได้ยินมาว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้จะเริ่มมีการปรับขึ้นเงินเดือนอีก แต่ไม่ทราบว่าเพิ่มขึ้นเท่าใด ถึงอย่างนั้นเงิน 13 หยวนต่อเดือนในชนบทก็ถือว่ามากแล้วสำหรับพวกเขา!
“คิดว่าผมยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอ? ผมต้องยึดงานนี้ไว้ให้ดี ๆ เลยล่ะ เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าพรุ่งนี้จะมีกล้าผลไม้มาส่งอีก จะต้องทำงานนี้ไปสักระยะใหญ่เลย” จี้เจี้ยนกั๋วเอ่ย
เฝิงฟางฟางได้ยินก็รู้สึกยินดีปรีดา “งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ถึงอย่างไรบ้านสามก็ไม่ได้จ่ายให้เราน้อยนิดเกินไป แค่ไปทำงานให้พวกเขาก็พอแล้วค่ะ”
จากนั้นหล่อนก็เห็นถุงขนมในมือของเขาและถามขึ้น “นี่อะไรคะ?”
“สะใภ้สามให้มาน่ะ หล่อนขอให้ผมเอากลับมาให้โหวหวาจือกิน ผมกินไปแล้วสองอันระหว่างทางที่เดินกลับมา เค้กนี่ใส่ไข่เยอะมากเลยนะ กลิ่นหอมดีด้วย” จี้เจี้ยนกั๋วยื่นถุงขนมให้หล่อนขณะเอ่ยตอบ
“ตานหงช่างสรรหาทำของพวกนี้อยู่เสมอแหละค่ะ ต้องบอกเลยว่ามันหอมมาก” เฝิงฟางฟางหยิบเค้กไข่ไปกินชิ้นหนึ่ง
โหวหวาจือที่เพิ่งกลับจากการออกไปเล่นซุกซนข้างนอกก็ได้มองเห็นมัน และเอ่ยถามในทันที “นี่อาสะใภ้สามทำใช่ไหมครับ?”
“หล่อนทำมาให้ลูกโดยเฉพาะเลยล่ะ เอาล่ะ กินแค่ชิ้นเดียวนะ อีก 3 ชิ้นเก็บไว้กินเช้าวันพรุ่งนี้” เฝิงฟางฟางเอ่ย
ส่วนสถานการณ์ในบ้านรองนั้น…
เมื่อได้ยินว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยปฏิเสธที่จะให้พี่ ๆ ร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วย จี้มู่ตานก็มีสีหน้าดำคล้ำ “น้องสามใจร้ายขนาดนี้เลยเหรอคะ? ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวไม่มีพี่น้องสักหน่อย ถ้ามีพี่น้องมาช่วยแล้วเขาจะไม่มีความสุขงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ถ้าเจี้ยนอวิ๋นทำคนเดียวเขาก็ทำได้ ไม่ใช่ว่าเราอยากเป็นหุ้นส่วนกับเขาเองเหรอ? อย่าพูดเหมือนกับว่าเขาเป็นฝ่ายมาขอร้องเราสิ” จี้เจี้ยนเยี่ยเอ่ย จากนั้นก็ยื่นถุงเค้กไข่ให้กับภรรยา “นี่เค้กไข่จากบ้านสามไว้ให้เสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้กินนะ”
“หล่อนกะใช้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่มาซื้อใจพวกเราน่ะสิไม่ว่า แต่ผลประโยชน์ใหญ่กลับไม่ให้ พรุ่งนี้ตอนคุณไปทำงานก็ไม่ต้องขยันทำงานแล้วกันนะคะ!” จี้มู่ตานหยิบถุงเค้กไข่ไปก่อนเอ่ยด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“มันเป็นงานของน้องชายผม ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรเขาก็จ่ายค่าแรงให้อยู่แล้ว คุณไม่รู้จักนิสัยของเจี้ยนอวิ๋นหรอก ลองผมทำงานชุ่ยหน่อย เขาก็ไม่เห็นว่าผมเป็นพี่เป็นน้องกับเขาแล้ว” จี้เจี้ยนเยี่ยพูด
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาสินะคะ” จี้มู่ตานแค่นเสียง
“วันนี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ขึ้นไปบนภูเขาเหมือนกัน แต่ไม่ได้มาบ่อยหรอก ส่วนผมได้ทำงานแค่งานที่ทำด้วยกันกับคุณพ่อและพี่ใหญ่เท่านั้น จะเอาตัวเองไปเทียบกับจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งได้ยังไง?” จี้เจี้ยนเยี่ยมองภรรยาด้วยสายตาว่างเปล่า “เอาล่ะ คุณเองก็อย่าผิดหวังไปเลย เราไม่ได้เป็นแบบนี้บ้านเดียวสักหน่อย บ้านพี่ใหญ่เองก็ผิดหวังมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
จี้มู่ตานบุ้ยปากและไม่เอ่ยอะไร
วันต่อมาหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ซูตานหงก็เดินทางเข้าเมือง
โดยมีจี้เจี้ยนอวิ๋นเดินไปกับเธอด้วย
ในตอนแรกซูตานหงเอ่ยปฏิเสธไป เพราะวันนี้เหล่าฉินจะมาส่งกล้าผลไม้พอดี แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นตกลงเวลาส่งของกับเหล่าฉินแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ และสรุปได้ว่าจะมาส่งในตอนบ่าย ทำให้ตอนเช้ายังมีเวลาว่างอยู่
“จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินออกมาด้วยกันหรือเปล่าคะ?” ซูตานหงมองเขาแล้วก็ยิ้ม
“เป็นครั้งแรกที่เราออกมาด้วยกันจริง ๆ ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบอย่างรู้สึกผิด
เขาแต่งงานมามากกว่า 3 ปีแล้ว อีกไม่กี่เดือนลูกของเขาก็จะออกมาลืมตาดูโลก แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาพาภรรยาออกมาข้างนอก
“ในอนาคตคุณไม่ต้องกลับไปที่กองทัพแล้ว คุณก็มากับฉันได้บ่อย ๆ แล้วสินะคะ” ซูตานหงยิ้ม
“ภรรยา อย่าห่วงไปเลย ผมจะทำให้พวกคุณทั้งแม่และลูกชายมีชีวิตที่ดีแน่นอน!” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยจริงจัง
“ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเด็กในท้องคนนี้จะต้องเป็นลูกชาย ถ้าเกิดว่าเป็นลูกสาวล่ะคะ?” ซูตานหงเลิกคิ้วขณะมองเขา
“ลูกสาวก็ดี ผมชอบหมดล่ะ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบเอ่ยขึ้น
ซูตานหงยิ้มและเอ่ยต่อ “ยิ่งกว่านั้น ใช่ว่าคุณจะได้เลี้ยงแค่ฉันกับลูกคนโตนะคะ อีกหน่อยก็จะมีคนรอง คนสาม คนสี่ คนห้ามาอีก”
ความฝันอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับชะงักไปอย่างอดไม่ได้ “จะมีลูกเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ตอนนี้ประเทศของเราห้ามไม่ให้มีเยอะขนาดนั้นแล้วน่ะสิ…”
“ถ้ามีลูกเยอะขนาดนั้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่พูดเฉย ๆ หากตอนนี้คุณยังอยู่ในกองทัพต่อไปจนถึงอนาคต ฉันคงมีลูกให้คุณไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว แต่ตอนนี้คุณลาออกแล้วและไม่ได้ทำงานในหน่วยงานรัฐ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะถูกฟ้องหรอกค่ะ มีลูกเยอะก็ไม่เป็นไร ในอนาคตเราแค่ทำงานให้ได้เงินเยอะ ๆ แล้วเสียค่าปรับเอาค่ะ” ซูตานหงเอ่ย
ทุกอย่างที่นี่ล้วนดีหมด เสียอย่างเดียวเห็นทีจะเป็นเรื่องนี้ นอกจากผู้คนจะควบคุมฟ้าดินได้แล้วยังจะคุมกำเนิดเด็กไม่ให้มาเกิดอีกเหรอ?
ไม่มีทางหรอก พวกเขาแค่ทำตามกฎแล้วค่อยเสียค่าปรับเอาก็ได้ อย่างไรเสียเธอก็ไม่กลัวเรื่องนี้อยู่แล้ว
ดวงตาของจี้เจี้ยนอวิ๋นกระตุก เขาไม่คิดเลยว่าภรรยาของเขาจะมีความทะเยอทะยานสูงเช่นนี้?
“คุณอยากได้ลูกแค่คนเดียวเองเหรอคะ?” ซูตานหงมองเขา
“ไม่ครับ คนเดียวจะดูเหงาเกินไป” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
มีลูกคนเดียวมันดูโดดเดี่ยวเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ ดูอย่างโหวหวาจือสิ เขาได้อยู่บ้านตลอดเวลาเสียที่ไหนกัน ในขณะที่สองสาวพี่น้องเสี่ยวเจินเสี่ยวอวี้ต่างได้อยู่ด้วยกันและออกนอกบ้านน้อยกว่าเขา
“ถ้าคุณรู้แล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ คุณก็แค่ต้องมีเงินให้มาก ๆ ในอนาคต เพราะค่าปรับน่าจะมหาศาลอยู่” ซูตานหงพยักหน้า
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มอย่างจนใจ ก่อนพาภรรยาเข้าไปในเมือง
พวกเขามาถึงร้านขายผ้าปักของหงเจี่ย เพราะวันนี้เป็นวันส่งมอบชิ้นงานให้กับหล่อนในทุกเดือน ดังนั้นเจินเหมียวหงจะต้องอยู่ที่นี่
เมื่อได้เห็นจี้เจี้ยนอวิ๋น เจินเหมียวหงก็อึ้งไปและถามด้วยรอยยิ้ม “ตานหง นี่สามีของเธอเหรอจ๊ะ?”
“ค่ะ” ซูตานหงยิ้ม จากนั้นก็แนะนำหล่อนให้จี้เจี้ยนอวิ๋นได้รู้จัก “เจี้ยนอวิ๋นคะ นี่พี่หงที่ฉันสนิทด้วยค่ะ”
“พี่หงสวัสดีครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าเช่นกัน
หงเจี่ยต้อนรับพวกเขาเข้าร้านด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้ลายที่ซูตานหงปักเป็นลายนกยูงรำแพนที่มีสีสันสดใสฉูดฉาดเป็นอันมาก หงเจี่ยจึงเสนอราคาให้ 800 หยวน
แม้ดูจากภายนอกแล้วจี้เจี้ยนอวิ๋นจะมีท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจของเขากลับเต้นแรง ยามได้เห็นว่าภรรยาของตนมีความสามารถในการหาเงินมากขนาดไหนด้วยตาของตัวเอง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงไม่กลัวที่จะจ่ายค่าปรับและอยากจะมีลูกกับเขาเป็นทีมฟุตบอล!
………………………………………