ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 5 ซื้อผ้าทำชุดให้สามี
ตอนที่ 5 ซื้อผ้าทำชุดให้สามี
ซูตานหงสังเกตน้ำพุที่ผุดออกมาและยังลองจิบน้ำชิมดู ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากน้ำที่ใสสะอาดและรสชาติอร่อย
เธอไม่ได้ใส่ใจกับมันต่อ หญิงสาวหยิบเงินออกมาจัดการปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้าเมือง
ในชาติก่อนของซูตานหง เธอไม่เคยได้ออกจากจวนด้วยตัวเองเลย ชีวิตที่ดำรงอยู่เพียง 16 ปีของเธอนั้นได้ออกนอกประตูจวนแค่สามครั้งเท่านั้น
ในวันครบรอบวันเกิดตอนอายุ 8 ขวบ มารดาของเธอได้พาเธอไปที่วัดเพื่อขอพรให้เธอเติบโตขึ้นมามีร่างกายที่แข็งแรง
ในวันครบรอบวันเกิดตอนอายุ 12 ปี มารดาพาเธอไปที่วัดเพื่อขอพรให้เธอสามารถหาสามีที่ดีได้
การไปวัดในครั้งล่าสุดคือตอนที่เธอมีอายุ 15 ปีแล้ว ไม่ได้ไปเพราะเป็นวันเกิดของเธอ แต่เป็นเพราะมารดาใจอ่อนเมื่อเธอขอร้องให้พาออกไปจุดธูปไหว้พระอีกครั้ง
เธอออกจากบ้านทั้งหมดสามครั้งและทุกครั้งต้องไปมาอย่างรีบเร่งและยังมีผู้ติดตามไปด้วยอีกเป็นจำนวนมาก
ในชาตินี้เธอกลับสามารถเดินทางเข้าเมืองได้เองตามลำพัง ซูตานหงเดินไปตามทางที่จำได้
ความรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกปลดปล่อยจากเครื่องพันธนาการและสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ตนต้องการตีตื้นขึ้นมาในใจไม่หยุด
ไม่มีอะไรจะประเสริฐไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เธอรู้จากความทรงจำว่านโยบายการเข้าออกอย่างเสรีเช่นนี้เพิ่งจะได้รับการอนุญาตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
ประเทศนี้เคยผ่านสภาวะไม่มั่นคงมาก่อน ผู้คนจะทำอะไรต้องคอยระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง มิฉะนั้นอาจถูกจับกุมหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยง่าย
แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว การค้าเสรีเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ว่าจะเป็นกี่ประเทศ ในตัวเมืองก็ดูคึกคักมาก
กว่าจะมาถึงในเมืองเธอก็ต้องใช้เวลาไปมากกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เธอต้องนับถือร่างกายของตัวเองในชาตินี้จริงๆ
ในชาติก่อนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเธอที่จะเดินเป็นระยะทางที่ไกลได้ถึงขนาดนี้
ซูตานหงมาที่ห้างสรรพสินค้าตามที่นึกได้จากความทรงจำ นี่เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง มันมีสองชั้นและมีพื้นที่กว้างขวางมาก
แม้ว่าจะมีความทรงจำจากร่างเดิม แต่ซูตานหงมาที่นี่เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นของประเทศจีน ซึ่งแตกต่างกับของเธอโดยสิ้นเชิง
สำหรับที่นี่ มันไม่ได้สำคัญอะไรนักถ้าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะเดินไปบนถนนเพียงลำพัง ตอนนี้อากาศหนาวเย็นแล้ว ทุกคนจึงใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ในฤดูร้อนมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าจะออกจากบ้านเพื่อซื้อหรือขายสินค้าเอง!
ที่นี่ไม่ได้พอใจกับร่างกาย เส้นผม และผิวหนังที่บิดามารดาให้มา อย่างเช่นชายหนุ่มและเด็กชายที่เธอได้เห็นมาตลอดทางนั้นไม่มีใครไว้ผมยาวเลย และผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้ไว้ผมยาวเช่นกัน
มันแตกต่าง แตกต่างมากจริงๆ
กล่าวได้ว่าตอนอยู่ที่บ้านซูตานหงสามารถแยกแยะความแตกต่างได้เพียงเพราะมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมเท่านั้น แต่เมื่อเข้ามาในห้างสรรพสินค้าที่คึกคักแห่งนี้ในตอนนี้และมองไปยังสินค้าต่างๆ ที่ถูกจัดวางไว้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจพร้อมกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา เธอก็เข้าใจได้อย่างแท้จริงถึงความแตกต่างระหว่างสถานที่ทั้งสองช่วงเวลานี้
“มีอะไรหรือเปล่าคะน้องสาว? ทำไมถึงมายืนงงๆ อยู่คนเดียว? ต้องการให้ช่วยอะไรไหมคะ?” พี่สาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม
ซูตานหงถึงได้กลับมามีสติและมองไปที่พี่สาวคนนั้นด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้มาห้าง ฉันไม่คิดว่ามันจะใหญ่โตถึงขนาดนี้เลยมัวแต่ตกตะลึงอยู่น่ะค่ะ”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร ย้อนกลับไปตอนนั้นหล่อนก็คิดอย่างเดียวกันในตอนที่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ที่มองอย่างไรก็มองได้ไม่ทั่วทั้งหมด
“เธอต้องการจะซื้ออะไรเหรอจ๊ะ? พี่เป็นพนักงานของที่นี่ พี่ช่วยนำทางให้เธอได้นะ” เหอเจี่ยถามขึ้น
“ฉันอยากจะซื้อผ้าค่ะ” ซูตานหงบอกออกไป
ใช่แล้ว เธออยากจะซื้อผ้าเพื่อที่จะตัดเสื้อผ้าให้จี้เจี้ยนอวิ๋นสัก 2 ตัว จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่มีชุดใช้สำหรับเปลี่ยนเลย เขามีชุดเพียงแค่สองชุดนั้นที่มันถูกซักเสียจนสีซีดแล้ว
“ซื้อผ้าหรือจ๊ะ? ถ้าอย่างนั้นเธอมาหาถูกคนแล้วล่ะ พี่ขายผ้าอยู่พอดี มากับพี่สิจ๊ะ” เหอเจี่ยยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่ร้านขายผ้าก่อนกล่าวอย่างร่าเริง
เมื่อเดินมาด้วยกัน ซูตานหงก็ถามชื่อของหล่อนและได้รู้ว่าเหอเจี่ยทำงานอยู่ที่ห้างแห่งนี้มาหลายปีแล้ว
“ตานหง เธอจะซื้อผ้าไปให้ใครเหรอจ๊ะ?” เหอเจี่ยถาม
“ให้กับ…ให้กับสามีของฉันค่ะ” แก้มของซูตานหงแดงระเรื่อขึ้นมา
เหอเจี่ยหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ซูตานหงได้ยินก็รู้สึกเขินจึงอธิบายต่อ “เขาเป็นทหารค่ะ ครั้งก่อนที่เขากลับมา เสื้อผ้าสองชุดที่มีอยู่ก็ถูกซักจนสีซีดไปหมด ฉันเลยอยากจะตัดชุดใหม่ให้เขาอีก 2 ตัวน่ะค่ะ”
เหอเจี่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อย่าเข้าใจผิดนะจ๊ะ พี่ไม่ได้หัวเราะเยาะเธอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ชายที่จะเป็นทหาร เป็นเรื่องดีแล้วที่คนเป็นภรรยาจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขา”
จากนั้นเหอเจี่ยจึงหยิบผ้าที่สามารถนำมาทำเป็นเสื้อคลุมได้สองตัวให้อย่างคล่องแคล่วและเอ่ยว่า “ตอนนี้อากาศหนาวแล้วที่บ้านมีเสื้อไหมพรมหรือยังจ๊ะ? เธออยากจะซื้อไหมพรมไปถักเสื้อให้สามีไหม?”
“เสื้อไหมพรมหรือคะ?” ซูตานหงมองเสื้อไหมพรมที่เหอเจี่ยถักค้างไปได้ครึ่งตัวและถามขึ้น “แบบนี้หรือคะ?”
“ใช่จ้ะ ใส่แล้วอุ่นดีนะ” เหอเจี่ยหยิบมาให้เธอดู
“แต่ฉันทำไม่เป็นเลย เหอเจี่ยช่วยถักให้ฉันดูได้ไหมคะ?” ซูตานหงบอก “เรียนเสร็จแล้วฉันจะซื้อไหมพรมจากพี่ค่ะ”
“ได้สิจ๊ะ มาตรงนี้มาเดี๋ยวจะสอนให้” เหอเจี่ยกำลังว่างไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นหล่อนคงไม่สังเกตเห็นซูตานหงที่ยืนงงอยู่คนเดียวแล้วเข้าไปถามหรอก
ซูตานหงอาจจะทำสิ่งอื่นได้ไม่ดีนัก แต่เธอคิดว่าเธอถักไหมพรมแบบนี้ได้ไม่เลวเลย
เพียงใช้เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งวัน เหอเจี่ยก็สามารถสอนวิธีการถักเสื้อไหมพรมให้เธอได้แล้ว เธอจึงได้ซื้อไหมพรมกลับไปจำนวนมากพอที่จะถักเป็นเสื้อไหมพรมที่อบอุ่นให้กับจี้เจี้ยนอวิ๋น
“ถ้ามีตรงไหนที่ไม่เข้าใจถามผู้ใหญ่ในบ้านดูนะจ๊ะ พวกท่านรู้วิธีถักแน่นอน ถ้าพวกท่านทำไม่ได้ก็มาหาพี่ที่ห้างนะจ๊ะ” เหอเจี่ยบอกตอนออกมาส่งเธอ
“ขอบคุณนะคะพี่” ซูตานหงตอบรับ
“เป็นเด็กสาวที่ดีจริงๆ ไม่รู้ว่าใครกันหนอที่โชคดีอย่างนี้” เหอเจี่ยส่งเธอกลับออกไปแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เด็กสาวผู้นี้อ่อนน้อมถ่อมตนและเรียนรู้ได้ไวจริงๆ เธอเป็นคนที่ฉลาดมาก พูดจาก็นุ่มนวล กุญแจสำคัญคือบั้นท้ายของเธอ แค่มองก็บอกได้เลยว่าเธอเป็นคนมีลูกง่าย
ซูตานหงไม่รู้ตัวเลยว่าเหอเจี่ยพูดถึงเธออย่าง ‘สูงส่ง’ ขนาดนั้น เมื่อเธอถือผ้าและไหมพรมกลับมาถึงบ้านก็เห็นคุณแม่จี้รอเธออยู่ตรงด้านนอกประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอไปไหนมา?” คุณแม่จี้ถามขึ้นทันทีที่มองเห็นเธอ
นางเดินไปๆ มาๆ หลายรอบแล้วแต่สะใภ้สามเพิ่งจะกลับมาถึง
“ฉันเข้าไปซื้อของในเมืองมาค่ะ” ซูตานหงเองก็ชะงักไปเมื่อเห็นคุณแม่จี้
“ซื้อของอีกแล้วหรือ?” คุณแม่จี้แทบจะลุกขึ้นมาด่าทอแล้ว นี่คิดว่าลูกชายของนางที่อยู่ข้างนอกหาเงินมาได้ง่ายนักหรือ? เธอทำให้เขายอมตามใจเธอ อย่างไหนกันที่บอกว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น?
“คือฉันคิดว่าเสื้อผ้าของเจี้ยนอวิ๋นถูกซักจนซีดไปหมดแล้วและเขาก็มีชุดเปลี่ยนเพียงแค่สองตัวเท่านั้น ฉันเลยไปซื้อผ้ากลับมาจะทำชุดใหม่ให้เขาสักสองตัวน่ะค่ะ แล้วพี่สาวคนขายผ้าก็บอกว่าตอนนี้อากาศหนาวจะถักเสื้อไหมพรมให้เขาก็ได้ ฉันเลยเรียนถักเสื้ออยู่ที่ร้านของหล่อนถึงได้กลับมาช้าน่ะค่ะ เลยทำให้คุณแม่ต้องรอนาน” ซูตานหงพูดพร้อมกับเปิดประตูและพูดเสริมว่า “ข้างนอกลมแรง คุณแม่เข้ามาก่อนค่ะ”
คุณแม่จี้เดินตามเข้าไป นางถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเธอหยิบผ้าสำหรับผู้ชายและไหมพรมออกมา
“ดื่มน้ำอุ่นนะคะคุณแม่” ซูตานหงรินน้ำอุ่นส่งให้
คุณแม่จี้รับน้ำมาและมองไปที่สะใภ้สาม ในใจนางรู้สึกสับสน นางไม่คิดว่าสะใภ้สามจะเข้าเมืองไปซื้อผ้าและต้องการจะทำชุดให้แก่เจี้ยนอวิ๋น นางนึกว่าเธอกลับไปที่บ้านแม่ของเธออีกแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันแค่จะมาบอกเธอว่าคืนนี้เธอไม่ต้องทำอะไรหรอก ฉันทำขนมเปี๊ยะเอาไว้เดี๋ยวจะเอามาให้เธอ” คุณแม่จี้กล่าว
“ตกลงค่ะ” ซูตานหงพยักหน้าตอบรับ
เมื่อคุณแม่จี้กำลังจะกลับ ซูตานหงก็ส่งจานเกี๊ยวให้นาง “เจี้ยนอวิ๋นทำเกี๊ยวไว้เยอะเลยค่ะ แม่เอาเกี๊ยวนี่กลับไปกินกับพ่อสิคะ แล้วฉันจะตามไปเอาขนมเปี๊ยะอีกทีค่ะ”
คุณแม่จี้ไม่อยากจะรับจานเกี๊ยวมา แต่สุดท้ายนางก็รับมันไว้เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ของนางมอบให้ด้วยความจริงใจ
“อ้อ คุณแม่ช่วยดูให้หน่อยสิคะว่าใครมีลูกหมาบ้าง ช่วยเอามาให้ฉันตัวหนึ่งได้ไหมคะ ฉันจะเลี้ยงมันค่ะ” ซูตานหงบอก
____________________