ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 51 ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และทีวีสี!
ตอนที่ 51 ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และทีวีสี!
“เรื่องนั้นต้องแน่นอนอยู่แล้วครับ แต่ผมออกไปอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุ 19 ปีแล้วก็ไม่ได้อยู่บ้านมาตั้งนาน ผมจะไปเอาประสบการณ์มาจากไหนล่ะครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้าตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าผมมีประสบการณ์ปลูกจริง ๆ แล้วผมจะปิดบังทำไมเหรอครับ? ประเทศนี้ออกจะกว้างใหญ่ มีกี่ครอบครัวบ้างที่ปลูกผลไม้ขาย? จากทั่วทั้งหมู่บ้าน ผมก็ต้องดูแลสวนของตัวเองก่อนสิครับ”
“เป็นไปได้ไหมว่าถ้าให้พูดแย่หน่อยก็คือคุณมีเซียนจิ้งจอกคอยช่วยเหลืออยู่?” ชายชราคนเดิมพูดขึ้น
“พรูดดด” จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินก็ถึงกับพ่นน้ำชา และยิ้มอย่างจนใจ “คุณลุง ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ คุณอย่าพูดเล่นสิครับ เซียนจิ้งจอกอะไรกัน หล่อนเป็นภรรยาผู้มีบุญของผมต่างหาก!”
เพียงพูดว่าภรรยาผู้มีบุญ มันก็ทำให้คนอื่น ๆ ในตระกูลนี้ต่างพากันนิ่งไป
ตอนนี้ภายในหมู่บ้านมีความคิดเห็นแตกออกเป็นสองอย่าง อย่างแรกเบนมาทางข้อสันนิษฐานว่าภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นนั้นเป็นเซียนจิ้งจอก ซึ่งหล่อนใช้มนต์คาถาเสกให้ต้นกล้าผลไม้สามารถเจริญงอกงามได้
อีกประการหนึ่งก็คือภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นเป็นผู้มีบุญญาธิการ ด้วยบุญที่เธอมี จึงทำให้ครอบครัวของเธอเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดีไปหมด จะปลูกต้นไม้ก็ล้วนเจริญงอกงาม
พูดถึงเซียนจิ้งจอกแล้ว อันที่จริงคุณลุงจี้ก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าใดนัก เซียนจิ้งจอกมาจากไหนกัน? หากก่อนหน้านี้มันมีอยู่จริงก็คงจะถูกจับออกมาพิสูจน์แล้ว
ส่วนเรื่องที่เธอเป็นผู้มีบุญนั้นเห็นจะจริงดังเขาว่า
เขาไม่เคยมีความประทับใจในตัวภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นมาก่อน แต่เมื่อได้เห็นผลที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องโชคดีขนาดไหน เธอดูเพียบพร้อมในทุกด้าน แม้แต่คุณหนูในตระกูลใหญ่บางคนยังสง่างามได้ไม่เท่ากับเธอเลย
คุณลุงจี้นั้นมากด้วยอายุและประสบการณ์ เขาเคยทำงานให้กับเจ้าของที่ดินบางคนตั้งแต่ยังเล็ก จึงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้มาก และรู้สึกประทับใจในตัวเธออย่างสุดซึ้ง
หากพูดว่าภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นเป็นผู้มีบุญญาธิการ เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่ทีเดียว
“คุณลุงลองชิมเนื้อนี่สิครับ ภรรยาผมเป็นคนทำมาเอง ในชีวิตนี้ผมไม่เคยกินเนื้อที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพลางเลื่อนจานเนื้อที่เขาเตรียมมาด้วย
แม้คุณลุงจี้จะไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ใด ๆ แต่เขาก็ยอมไว้หน้าและลองชิมเนื้อจานนั้น จากนั้นเขาก็ต้องชะงักไป
เนื้อนี่มีรสชาติเหมือนกับเนื้อในไส้ซาลาเปาที่เขาเคยกินที่บ้านของเจ้าของที่ดินเมื่อ 60 ปีกว่ามาแล้ว มันโอชารสเสียจนเขาแทบกลืนลิ้นตัวเองลงไปเลย
สุดท้ายแล้วแม้จะไม่ได้รับรู้กลเม็ดเคล็ดลับในการปลูกต้นกล้าผลไม้ แต่พวกเขาก็สนทนากันได้อย่างมีความสุข
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นญาติของเขา ดังนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเสนอว่าในอนาคตเขาจะออกไปเรียนรู้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะพาจี้เจี้ยนชวนกับจี้เจี้ยนเหอไปกับเขาด้วย
จี้เจี้ยนชวนกับจี้เจี้ยนเหอก็คือลูกชายของคุณลุงจี้และเป็นญาติของจี้เจี้ยนอวิ๋น ซึ่งพวกเขามีสายสัมพันธ์เครือญาติที่จัดว่าสนิทกันทีเดียว
เมื่อได้ยินคำสัญญาของจี้เจี้ยนอวิ๋น คุณลุงจี้ก็มีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า
ครั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาพร้อมกับจานเปล่า เขาก็บอกเรื่องนี้กับภรรยา
“ดีแล้วค่ะ ตราบใดที่เขาไม่ได้รั้งคุณไว้” ซูตานหงบอก
เธอเองก็รู้ว่าหนึ่งในลูกชายของคุณลุงจี้ไม่สันทัดงานมากนัก ก่อนหน้านี้ป้าสะใภ้ของเขาก็มาหาเธอเพื่อมอบตำแหน่งงานให้เขา แต่ซูตานหงก็ปฏิเสธไปโดยบอกว่ามีคนงานพอแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอก็คงรับเขาทำงานด้วย
ทุกอย่างมีเรื่องของญาติพี่น้องมาเกี่ยวข้องเสมอ ในเมื่ออยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแล้ว ก็ยังต้องไว้หน้ากันอยู่บ้าง
ซูตานหงจึงไม่โต้แย้งใด ๆ
“ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม ถ้าตัวเขาเองเรียนรู้ไม่ได้ คุณลุงก็ไม่มีทางจะโทษผมได้ล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
“จริงสิ ถ้าคุณอยากจะออกไปเรียนรู้ คุณต้องทำใบขับขี่ไว้ด้วยนะคะ ในอนาคตคุณต้องเป็นคนขับรถส่งผลไม้อะไรทำนองนั้นด้วย” ซูตานหงเอ่ยเมื่อนึกขึ้นมาได้
“ผมสอบใบขับขี่ผ่านตอนอยู่ในกองทัพแล้วล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยเมื่อได้ยินดังนั้น
“ผ่านแล้วเหรอคะ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย” ซูตานหงมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนั้นผมไม่ได้ดูแลคุณดี ๆ น่ะ พอผมมีเวลาว่างก็เลยเรียนกับอาจารย์และสอบใบขับขี่ผ่าน แต่ที่ทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ถ้างั้นก็ง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า
“หากคุณจะซื้อรถยนต์สักคัน มันจะต้องใช้เงินมหาศาลเลยนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอ้ำอึ้ง
ภรรยาของเขายังวางแผนที่จะซื้อบ้านอยู่ ซึ่งเงินทั้งหมดที่ได้มานี้ก็ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอ
ซูตานหงจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรได้อย่างไร? เธอจึงมองค้อนและเอ่ยอย่างแง่งอน “อย่าเอาแต่มองอย่างสวยหรูนักเลยค่ะ คุณทำงานหาเงินมาก็เพื่อซื้อรถให้ตัวเอง เงินที่ฉันได้มาฉันจะเก็บไว้จนกว่าจะถึงปลายปีแล้วค่อยซื้อบ้านนะคะ”
เธอรู้สึกว่าไม่อาจเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทุกสิ่งได้ เธอต้องให้เจี้ยนอวิ๋นแสดงศักยภาพเพื่อครอบครัวบ้าง เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวก็จริง แต่เธอไม่อาจปล่อยให้เขาสูญเสียศักดิ์ศรีได้หรอก
เห็นได้ชัดว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นมีดวงตาลุกวาวในทันทีที่ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ เขารีบพูดให้เธอวางใจในทันที “อย่าห่วงไปเลยนะครับตานหง ผมจะต้องซื้อรถยนต์กลับมาให้ได้อย่างแน่นอน ผมคิดเรื่องนี้ไว้แล้วว่าถ้าปีหน้าสวนผลไม้ของเราเก็บผลผลิตได้ ตอนนั้นผมจะขอยืมรถมาจากเหล่าฉินเพราะสนิทกับเขามาก แล้วผมก็จะขยันทำงานเพื่อไม่ให้ที่เขาทำมาเป็นเรื่องสูญเปล่า ถ้าเราหาเงินได้มากพอแล้ว เราก็จะซื้อรถในทันทีที่ซื้อได้เลย!”
“เรื่องนี้คุณตัดสินใจเองเถอะค่ะ ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” โชคดีที่ซูตานหงเอ่ยขัดอยู่ในใจ ขณะที่เห็นเจี้ยนอวิ๋นของเธอมีท่าทางดูตื่นเต้น
จี้เจี้ยนอวิ๋นมีความสุขเหลือเกิน
ซูตานหงให้เขาออกจากห้องไปก่อน จากนั้นเธอก็ลงมือปักผ้าของตัวเองต่อ
เธอสามารถปักผ้าต่อไปได้อีก 3 หรือ 4 เดือน ในเดือนสุดท้ายเธอคงจะไม่เร่งรีบนัก จากนั้นก็จะคอยดูว่ายังมีอะไรต้องเตรียมเผื่อสำหรับเจ้าตัวเล็กอีกบ้าง
เป็นเพราะสวนผลไม้ของจี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังเจริญเติบโตดี ถึงแม้ชาวบ้านคนอื่น ๆ จะไม่ได้กลเม็ดเคล็ดลับอะไรจากเขา พวกเขาบางคนก็เริ่มทำสวนผลไม้ตามเขาแล้ว
แต่พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน จี้เจึ้ยนอวิ๋นจึงไม่สนใจในเรื่องนี้
ทุกวันเขาจะขึ้นเขาไปช่วยก่อสร้างกำแพงต่อ ซึ่งเขาเองก็ก่อกำแพงได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมีเขาอยู่ด้วยแล้ว จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยพี่ชายทั้งสองคนก็ขยันทำงานอย่างหนักและไม่กล้าทำงานแบบส่ง ๆ เลย
ฝ่ายซูตานหงที่ปักดอกไม้เสร็จแล้วก็ลงมือทำอาหารให้จี้เจี้ยนอวิ๋น เป็นเพราะจี้เจี้ยนอวิ๋นไปช่วยทำงานด้วย เธอจึงทำอาหารให้มีปริมาณเพียงพอกับคนหลายคน
โดยเฉพาะหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงที่ซูตานหงทำให้คุณแม่จี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันน่ารับประทานขนาดไหน ทั้งน้ำหนักที่มากพอดี และรสชาติอันโอชะ จนคุณแม่จี้ต้องมาบอกซูตานหงเป็นการส่วนตัวว่าอย่าทำมากเกินไปนัก
ซูตานหงก็รับฟังอย่างไม่จริงจังนัก “คุณแม่คะ ทั้งหมดนี่เป็นของของฉันเอง แล้วฉันก็ตั้งใจทำให้กิน ดังนั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
คนที่ได้กินข้าวบนภูเขานั้นมีทั้งคุณพ่อจี้ จี้เจี้ยนกั๋ว จี้เจี้ยนเยี่ย และจี้เจี้ยนอวิ๋น ยกเว้นสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินที่ไม่ได้กินเพราะพวกเขาถูกจ้างมา แต่ซูตานหงรู้สึกว่าทั้งสองคนพอใจกับงานของตัวเองไม่น้อย และเธอก็มีแผนที่จะจ้างคนในระยะยาว จึงเป็นเรื่องดีที่พวกเขาจะได้กินอะไรที่ดีกว่าเดิม
นอกจากนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงทนไม่ได้ที่จะให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกินแต่หมั่นโถวกับผักดอง
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาถึงบ้านในวันนี้และอาบน้ำเสร็จแล้ว มันก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี ซูตานหงจึงเอ่ยถามขึ้น “เมื่อไหร่หมู่บ้านของเราจะมีไฟฟ้าใช้เหรอคะ?”
“ผมเดาว่าน่าจะภายในปีนี้แหละ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย “ผมได้ยินมาจากพี่ใหญ่ว่าหมู่บ้านก่อนหน้านี้ได้รับการติดตั้งระบบไฟแล้ว และเมื่อหมู่บ้านก๋าเจียติดตั้งระบบเสร็จก็จะถึงคราวของหมู่บ้านเรา ซึ่งทั้งหมู่บ้านเราน่าจะมีไฟใช้ก่อนถึงสิ้นปีนี้ล่ะ”
ตอนอยู่ในกองทัพเขาก็ได้ใช้ไฟฟ้าเหมือนกัน และการมีไฟฟ้าใช้นั้นสะดวกสบายกว่าการไม่มีไฟฟ้าเป็นไหน ๆ
“คราวที่แล้วที่ฉันไปบ้านของพี่หง ฉันเห็นว่าในบ้านหล่อนมีตู้เย็น เครื่องซักผ้า แล้วก็…ทีวีสีด้วยน่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
หากทารกเกิดมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าในวันหนึ่งจะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยขนาดไหน และด้วยอากาศหนาวเหน็บแบบนี้แล้ว แค่โยนเข้าเครื่องซักผ้าก็สิ้นเรื่องไหมนะ?
………………………………