ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 52 เดือนที่แปดแห่งการตั้งครรภ์
ตอนที่ 52 เดือนที่แปดแห่งการตั้งครรภ์
ซูตานหงกำลังพูดถึงอุดมคติของตัวเอง แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับรู้สึกผิด ตรงที่เขาไม่มีความสามารถมากพอจะทำให้ภรรยาของเขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ ทำให้ภรรยาได้แต่รู้สึกอยากได้ของอย่างที่บ้านคนอื่นมีเท่านั้น
“ตานหง คุณไม่ต้องกังวลนะ อีกไม่นานผมจะซื้อของพวกนี้ให้คุณ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก
ซูตานหงอึ้งไป เธอวางแผนที่จะซื้อเอง แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าเขาจะเป็นคนซื้อให้กับเธอ ถึงอย่างนั้นซูตานหงก็ไม่ได้พูดคัดค้านและพยักหน้ายอมรับในคำพูดของเขา “ตกลงค่ะ ฉันจะรอจนกว่าคุณจะมีเงินและซื้อพวกมันให้กับฉัน”
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
หลังจากที่ทั้งคู่คุยกันเสร็จแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เริ่มปฏิบัติในหน้าที่ที่ผู้เป็นพ่อต้องกระทำ เขาศึกษาสิ่งที่ต้องทำก่อนคลอดลูกกับท้องของภรรยาด้วยการคุยกับเจ้าตัวเล็กในท้อง และเริ่มวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของลูก
วันต่อมาจี้เจี้ยนอวิ๋นยังคงขึ้นไปทำงานบนภูเขา
การจะสร้างกำแพงที่ยาวขนาดนี้ไม่สามารถทำให้เสร็จภายในข้ามคืน และด้วยเหตุที่พวกเขามีงานต้องทำเป็นจำนวนมาก ดังนั้นมันจึงใช้เวลาถึง 3 เดือนกว่าจะสร้างกำแพงเสร็จเป็นระยะ
เงินถูกใช้ไปมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้ หลังเริ่มสร้างกำแพงไปได้ระยะหนึ่ง เงิน 600 หยวนที่ซูตานหงให้กับคุณพ่อจี้ในตอนแรกก็ไม่พอใช้ และต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 100 หยวนก่อนที่จะสร้างเสร็จ และยังไม่รวมค่าจ้างของจี้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอีก
แต่พอสร้างกำแพงเสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ที่ได้เห็นก็มีสายตาผ่อนคลายลง
บนกำแพงนอกจากจะมีประตูทางเข้าใหญ่แล้วยังมีประตูบานเล็กอีก 3 บานอยู่รอบ ๆ ซึ่งในระหว่างการสร้างนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นได้เข้าไปในตัวเมืองเจียงสุ่ยด้วยตัวเองเพื่อสั่งทำประตูเหล็กจากที่นั่นโดยเฉพาะก่อนจะวานให้ใครบางคนขนส่งมาที่นี่ ซึ่งนั่นก็ใช้เงินไปอีก 50 หยวน
ดังนั้นเมื่อรวมค่าใช้จ่ายในครั้งนี้แล้ว สรุปคือต้องใช้เงิน 800 ถึง 900 หยวน
นี่เป็นรายจ่ายที่คำนวณทุกอย่างแล้ว และเมื่อชาวบ้านคนอื่น ๆ ได้ยินค่าใช้จ่ายนี้เข้าก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
เงิน 800 ถึง 900 หยวนไม่ใช่จำนวนที่คนธรรมดาจะสามารถใช้จ่ายได้จริง ๆ สวนผลไม้แห่งนี้เพิ่งจะตั้งตัวได้ไม่เท่าไรก็ต้องทุ่มเงินลงไปมหาศาลขนาดนี้แล้ว นี่ยังไม่รวมถึงราคาต้นกล้าที่ต้องซื้อด้วยซ้ำ
“ตอนนี้เสี่ยวไป๋และสุนัขตัวอื่น ๆ พร้อมทำงานแล้ว คุณพาพวกมันไปไว้ที่สวนผลไม้ได้แล้วนะคะ สร้างบ้านให้พวกมันด้วย แล้วก็ต่อไปให้พวกมันอยู่ประจำบนภูเขาเลยค่ะ” ซูตานหงกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นรับคำภรรยาของเขาแล้วเดินขึ้นไปบนภูเขากับคุณพ่อจี้ภายในวันนั้น จากนั้นก็สร้างบ้านสุนัขให้ทั้งหมดสามหลัง ซึ่งบ้านสุนัขทั้งสามหลังนั้นมีพื้นที่กว้างขวางอย่างมาก
แม้แต่คุณพ่อจี้ยังพูดว่าบ้านสุนัขพวกนี้เป็นบ้านที่หรูหราเหลือเกิน
“ตั้งแต่นี้ไปพวกแกต้องรับหน้าที่ดูแลสวนผลไม้แห่งนี้ หากเด็ก ๆ เข้ามาพวกแกก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวก็พอ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ตาถั่วเดินเข้ามาแกก็สามารถกัดพวกเขาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ!” ซูตานหงสั่งเสี่ยวไป๋และสุนัขสีเหลืองอีกสองตัว
แม้สุนัขทั้งสามตัวจะไม่ฉลาดเท่าต้าเฮย แต่พวกมันก็เต็มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ทั้งหมดต่างส่งเสียงครางต่ำเป็นเชิงรับรู้
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เป็นเพราะพวกมันต่างถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่ดีและได้ดื่มน้ำพุวิเศษนี่เอง สุนัขทั้งสามตัวจึงมีขนเป็นมันเงางามและมีร่างกายแข็งแกร่ง แถมยังมีดวงตาดุร้ายจนทุกคนต้องถอยกรูดและพากันเอ่ยชื่นชม
ขนาดผู้ใหญ่อย่างจี้เจี้ยนกั๋วกับเด็กหนุ่มอย่างจี้หงจวินก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน
แต่พวกมันยังสู้จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้ เนื่องจากเขาได้รับการฝึกทหารอยูุ่ในกองทัพมาหลายปี แม้เขาจะเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน แต่ถ้าให้ชายหนุ่ม 5 หรือ 6 คนมาต่อสู้กับเขา ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
เรื่องนี้ทำให้ซูตานหงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ นี่แหละผู้ชายของเธอ คนที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยยามไม่มีใครหน้าไหนเสนอหน้าให้เธอเห็นขณะออกไปข้างนอก
เมื่อให้เสี่ยวไป๋กับพรรคพวกตัวอื่น ๆ ขึ้นไปอยู่บนภูเขาแล้ว ในบ้านก็จะเหลือเพียงต้าเฮยตัวเดียว แต่ต่อให้มีต้าเฮยแค่ตัวเดียว มันก็เทียบเท่ากับมีสุนัข 2 ตัวแล้ว
บรรดาสุนัขบนภูเขาต่างได้กินอาหารสองมื้อต่อวัน คือมื้อเช้ากับมื้อเย็น โดยจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเป็นคนถือถังใส่อาหารขึ้นไปบนภูเขา ส่วนคุณพ่อจี้ก็ชอบเดินเล่นรอบ ๆ ภูเขาเช่นกัน และเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงว่างงาน เขาก็ชวนสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินลงมือสร้างเล้าไก่
ในแต่ละวันมีงานต้องทำเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินแล้วมันหมายความว่าพวกเขาจะได้เงินเดือนละ 13 หยวน
ซูตานหงเห็นชอบในตัวพวกเขาแล้ว และพวกเขาเองก็เต็มใจจะทำงานระยะยาวเหมือนกัน
ถ้าครอบครัวของพวกเขาต้องการคนทำงานที่ไร่นาของตนเองเพิ่มเมื่อใด ถึงคราวนั้นพวกเขาก็ขอลาหยุดงานได้ ซูตานหงเองก็ใจกว้างกับเรื่องนี้
สวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินพอใจกับรายรับต่อเดือนที่มั่นคงนี้เช่นกัน เพราะตั้งแต่ปีนี้มาชีวิตของพวกเขาก็ดีขึ้นอย่างมากเพราะรายรับก้อนนี้ในทุกเดือน
บวกกับความไว้เนื้อเชื่อใจที่ซูตานหงกับจี้เจี้ยนอวิ๋นมีให้แล้ว พวกเขาก็ไม่เคยทำตัวขี้เกียจ เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพวกเขา และทั้งสองเองก็ทำงานได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องมีคนอื่นมาช่วย
ซูตานหงไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับการต้องจ่ายเงินเดือนให้คนสองคนรวมทั้งหมด 26 หยวนต่อเดือนเลย
แต่คุณแม่จี้กลับรู้สึกสลดใจ ซึ่งซูตานหงรับรู้แล้วก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ เพียงแค่ทนนางบ่นให้ได้ยินเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว ซูตานหงก็ตั้งครรภ์ได้ครบ 8 เดือนแล้ว อีก 2 เดือนข้างหน้าถึงจะครบกำหนดคลอด ซึ่งตอนนี้ท้องของเธอใหญ่มากจนจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่กล้าจากเธอไปนาน ต่อให้บางครั้งจะมีธุระต้องออกไปนาน เขาก็จะไปตามคุณแม่จี้ให้มาอยู่ด้วยในขณะที่เขาออกไปทำงานข้างนอก หรือไม่ก็จะไปเรียกคุณป้าหยางที่อยู่ข้างบ้านและขอให้นางมาทำงานฝีมือที่บ้านของเขา
คุณป้าหยางยิ้มออกมาขณะมาเย็บพื้นรองเท้าอยู่เป็นเพื่อนในวันนี้ “ป้าไม่เคยเห็นสามีที่ไหนรักภรรยาตัวเองได้มากขนาดนี้เท่ากับเจี้ยนอวิ๋นเลย ตานหง อนาคตของเธอต้องมีความสุขแน่ ๆ”
ซูตานหงยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋นเขาก็เป็นคนแบบนี้ล่ะค่ะที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทั้งวันเหมือนกับไม่เคยมีลูกมาก่อน ฉันบอกเขาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องทำหมดทุกเรื่อง แต่เขาก็ไม่ฟัง”
คุณป้าหยางกำลังตีพื้นรองเท้า ซึ่งพื้นรองเท้านี้นางนำไปขายในเมืองได้ นางทำขึ้นมาด้วยฝีมืออันประณีตและขายหมดในทุกครั้งที่นำไปขาย ต่อให้จะขายได้เงินไม่มากนัก แต่มันก็สามารถอุดหนุนจุนเจือครอบครัวของนางได้
ส่วนซูตานหงนั้นก็นั่งปักผ้าอยู่ข้าง ๆ กัน ทั้งคู่ต่างง่วนอยู่กับงานฝีมือของตัวเองและพูดคุยกันไปด้วย
แล้วคุณป้าหยางก็ได้เห็นงานปักผ้าของซูตานหงว่าเธอกำลังปักลายดอกโบตั๋นอย่างที่เห็นในภาพวาดพู่กันจีน ต่อให้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นทักษะการปักผ้าของภรรยาของเจี้ยนอวิ๋น แต่นางก็ยังอดตะลึงงันไม่ได้
มันถูกปักขึ้นจากด้ายปักหลากสีสัน แถมยังไม่มีการร่างโครงภาพก่อนปักแต่ปักตามอย่างที่เธอจินตนาการโดยตรง นี่คือทักษะปักผ้าที่นักปักผ้าชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีอย่างแท้จริง
คุณป้าหยางเคยมาเรียนปักผ้าเหมือนกัน แต่นางก็ทำไม่ได้ เมื่อดูทักษะการปักผ้าของภรรยาเจี้ยนอวิ๋นในตอนนี้แล้ว นางก็รู้สึกจริง ๆ ว่าชามข้าวใบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถปักตามอย่างได้
ดูที่ดอกโบตั๋นขนาดใหญ่นั่นสิ มันดูงดงามเหมือนกับของจริงมาก แถมฝีปักยังละเอียดมากด้วย
คุณป้าหยางดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันไปตีพื้นรองเท้าของนางต่อ จากนั้นนางก็ทอดมองออกไป ไม่ใช่ว่าทั้งหมู่บ้านนี้มีแค่ภรรยาเจี้ยนอวิ๋นที่ปักผ้าเป็นเพียงคนเดียวหรอกหรือ? เมื่อมองดูคนอื่น ๆ แล้วก็ไม่มีใครที่มีความสามารถขนาดนี้เลย
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ว่านางแก่เกินไป แต่เป็นเพราะการจะกินข้าวชามนี้ได้ต้องอาศัยพรสวรรค์ด้วย
“คุณป้าคะ ฉันได้ยินว่าอีกไม่นานหมู่บ้านเราก็จะมีไฟฟ้าใช้แล้วใช่ไหมคะ?” ซูตานหงถาม
“ใช่จ้ะ มันจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ล่ะ แต่ทำไมเธอถึงอยากจะใช้ไฟฟ้ากันล่ะ? ถ้าจะซื้อไฟฟ้ามาใช้ก็ต้องเสียค่าไฟน่ะสิ” คุณป้าหยางพูด
“คุณป้าล้อเล่นใช่ไหมคะเนี่ย?” ซูตานหงเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“ไม่ได้ล้อเล่นจ้ะ ป้าใช้แค่ตะเกียงน้ำมันก็พอแล้ว” คุณป้าหยางพูด
“ฉันว่าติดตั้งไฟฟ้าไว้ดีกว่านะคะ เพราะตอนนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการติดตั้งเลย ถึงตอนนั้นถ้าคุณป้าอยากจะติดตั้งทีหลังมันจะเสียเงินแล้ว ตราบใดที่ใช้ไฟอย่างประหยัดหน่อยก็จะเสียค่าไฟไม่กี่เหมาต่อเดือน แต่ถ้าคุณป้าคิดจะติดตั้งไฟฟ้าในอนาคต คราวนี้จะต้องจ่ายด้วยเงินทั้งหมดที่เก็บมานะคะ” ซูตานหงเอ่ย
………………………………………………