ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 64 เหน็ดเหนื่อย
ตอนที่ 64 เหน็ดเหนื่อย
คุณแม่จี้เอ่ยออกมาอย่างไม่อาจซ่อนความสุขภายใต้น้ำเสียงไว้ได้
จี้เจี้ยนอวิ๋นที่อยู่ด้านนอกห้องได้ยินเสียงทารกร้องไห้ตามธรรมชาติแล้วก็ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติเขาก็พลันเอ่ยอย่างร้อนรน “ภรรยา ภรรยา คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าทั้งแม่และเด็กปลอดภัยดี แกเบาเสียงลงหน่อย” คุณแม่จี้พูดอย่างติดรำคาญ
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็เปิดประตูให้เขาเข้ามา ในฐานะที่เป็นทหาร จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ได้กลิ่นคาวเลือดเป็นอย่างแรก ก่อนจะรีบถลันมาดูซูตานหงที่นอนอยู่บนเตียง
ดวงตาของซูตานหงยังเอ่อคลอหยาดน้ำ ในตอนแรกเธอรู้สึกว่าการให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน แต่ตอนนี้เธอคลอดออกมาแล้วและพบว่าตนเองมีพลังกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม จนรู้สึกว่าพร้อมที่จะมีลูกอีกคนหนึ่ง!
“ภรรยา” จี้เจี้ยนอวิ๋นนั่งลงกับขอบเตียงพลางมองเธออย่างรู้สึกผิด
“ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ ดูลูกของเราสิคะ” ซูตานหงพูด
คุณป้ากู้อุ้มทารกมาให้และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋น ดูเด็กชายตัวจ้ำม่ำที่ภรรยาเธอคลอดออกมาสิ ไอ้หยา ป้าทำคลอดเด็กมาตั้งหลายปี ไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่หน้าตาหล่อเหลามาตั้งแต่เกิดแบบนี้เลย!”
นางไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เพราะมันเป็นความจริง ดูทารกน้อยคนนี้สิ เขาไม่เหมือนกับเด็กแรกเกิดเลยสักนิด ถึงผิวกายของเขาจะเป็นสีแดง แต่ผิวหนังของเขาก็ไม่เหี่ยวย่นเลย ตามปกติแล้วเด็กแรกเกิดจะมีผิวหนังสีแดงและเหี่ยวย่นราวกับลูกลิงตัวน้อย แต่เด็กชายคนนี้กลับมีผิวสีแดงระเรื่อ
ยิ่งตอนนี้มีผิวแดงเท่าใด เมื่อโตขึ้นแล้วสีผิวก็จะเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นเท่านั้น
คุณแม่จี้ยิ้มออกมาเช่นกัน และรับทารกน้อยไปอุ้ม “หลานชายคนดีของย่า โตมาเป็นคนขยันอดทนนะ อนาคตจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้!”
จากนั้นนางก็มอบทารกน้อยให้กับลูกชายก่อนเอ่ยขึ้น “เจี้ยนอวิ๋น มาสิ มาอุ้มลูกชายของแกหน่อย”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็เป็นพี่ชายที่มีน้อง ๆ เกิดตามมาเหมือนกัน ตอนที่จี้เจี้ยนเหวินเกิด เขายังไม่โตมากนักจึงไม่ทันได้อุ้มน้องชาย แต่พอจี้อวิ๋นอวิ๋นเกิด เขาก็โตขึ้นและไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว เขาจึงรู้วิธีอุ้มทารกอยู่
อย่างไรก็ตามเขายังมีอาการประหม่าเล็กน้อยขณะได้อุ้มลูกชายของตัวเอง
เด็กคนนี้ดูราวกับก้อนแป้งน้อย ที่เขากลัวว่ามือของตัวเองจะจับเด็กชายแรงเกินไป
“แกอย่าประหม่าสิ” คุณแม่จี้ยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นรับทารกมาอุ้มไว้ราวกับว่านี่เป็นภารกิจชิ้นสำคัญที่หัวหน้าของเขามอบหมายให้
เมื่อรับเจ้าก้อนแป้งน้อยมาไว้ในอ้อมแขนแล้ว ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าหัวใจอันกระด้างของเขานั้นเหลวยวบขนาดไหน
หลังอุ้มลูกชายและส่งเสียงหัวเราะในลำคอครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบอุ้มมาให้ภรรยาของตนดู “ภรรยา ดูลูกชายของเราสิ เขาดูเหมือนคุณเลยนะครับ!”
ซูตานหงยิ้ม ตอนนี้ลมหายใจของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว และความอ่อนล้าก็ตีขึ้นราวกับกระแสน้ำ
“ลูกแกมีตาเหมือนตานหงเลยนะ แต่จมูกน่ะเหมือนแก แล้วปากก็เหมือนแกด้วย” คุณแม่จี้ยิ้ม
คุณป้ากู้เห็นท่าทางอ่อนล้าของซูตานหงแล้วก็เอ่ยขึ้น “ให้ตานหงหลับพักผ่อนก่อนเถอะจ้ะ”
คุณแม่จี้เห็นดังนี้ก็พยักหน้ารัวเร็วและออกมาพร้อมกับคุณป้ากู้ หลังจากที่จัดแจงให้ซูตานหงนอนพักผ่อนเสร็จแล้ว นางก็ยื่นซองแดงออกมาให้กับคุณป้ากู้
“ทำไมต้องเกรงใจกันขนาดนี้ด้วยล่ะจ๊ะ?” คุณป้ากู้เอ่ย
“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ เป็นสินน้ำใจเล็กน้อย แล้วเจี้ยนอวิ๋นเองก็เป็นคนขอให้ฉันเอามาให้ด้วย พี่ก็รับไว้เถอะจ้ะ” คุณแม่จี้ยังคงยืนกราน
นางเห็นแล้วว่าในซองแดงมีเงินอยู่เท่าใด แม้เงิน 5 หยวนจะดูไม่มากนัก แต่มันก็เป็นเงินที่มากเอาการอยู่
คุณป้ากู้ไม่ได้เอ่ยอะไร นางเพียงหยิบซองแดงด้วยรอยยิ้มแล้วก็กลับไป
คุณแม่จี้ส่งคนกลับไปแล้วก็หันกลับมาเอ่ยกับจี้เจี้ยนอวิ๋นด้วยอาการสงบ “เจี้ยนอวิ๋น ตอนนี้ตานหงเหนื่อยอยู่ แกปล่อยให้หล่อนพักผ่อนก่อนเถอะ แม่จะกลับไปทำอาหารให้พ่อแกก่อน แล้วถึงค่อยทำส่วนของตานหงทีหลัง แกอย่าลืมมารับไปด้วยนะ”
“ครับแม่” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
คุณแม่จี้เดินกลับไป จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงวางเจ้าตัวน้อยไว้ข้างกายภรรยา ก่อนจะออกมาล้างหน้าล้างตา
เขาต้องดูแลตัวเองในขณะที่ภรรยาของเขากำลังนอนหลับพร้อมกับลูกชาย
ชายหนุ่มแปรงฟันล้างหน้าเสร็จแล้วก็เข้าครัวไปทำเกี๊ยวให้ตัวเองกิน ยังมีเกี๊ยวอยู่ในตู้เย็นที่บ้านเสมอ ซึ่งนับว่าสะดวกสบายอย่างมาก
แค่นำออกมาอุ่นก็ได้กินแล้ว
หลังอุ่นเกี๊ยวเสร็จ เขาก็ลงมือกินจนหมดอย่างรวดเร็วและออกมาโยนเสื้อผ้าของเมื่อคืนนี้ลงไปซักในเครื่องซักผ้า
จากนั้นเขาก็ทำความสะอาดบ้าน หลังทำความสะอาดไปได้ครึ่งหนึ่ง คุณป้าหยางจากข้างบ้านก็มาพร้อมกับไข่ตะกร้าใหญ่
“คุณป้ามาแล้วเหรอครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
“ป้าได้ยินแม่ของเธอบอกมาแว่ว ๆ ว่าเมื่อคืนนี้ตานหงคลอดเด็กชายตัวอ้วนใหญ่คนหนึ่งแล้ว ป้าก็เลยอยากจะมาดูสักหน่อย เธอรับไข่พวกนี้ไปด้วยนะ” คุณป้าหยางยิ้ม
“ได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เกรงใจนางเช่นกัน และทั้งคู่ก็สนทนากันอย่างออกรส
“ 2-3 วันแรกก็ให้หล่อนกินอาหารเบา ๆ ไปก่อนนะ พอน้ำนมมาแล้วถึงค่อยตุ๋นไก่ให้หล่อนกิน” คุณป้าหยางพูด
จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้เรื่องนี้มาจากคุณแม่จี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ถือสาที่จะหยุดฟัง
เมื่อคุณป้าหยางเห็นว่าเขาอยากฟัง นางจึงบอกเขาหลายเรื่อง อย่างเช่นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงขณะอยู่ไฟหลังคลอดก็คือต้องอย่าให้ร่างกายเย็น และต้องนั่งบ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยไม่แข็งแรงได้
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ต่อให้หล่อนรู้สึกไม่สบายตัว ก็ทำได้แค่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเอา เช็ดให้พอสะอาดก็ใช้ได้แล้ว” หลังพูดพล่ามไปเสียมากมาย คุณป้าหยางก็หยุดพูด
แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับทุกครั้ง
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็มาตะโกนเรียกป้าได้นะ ป้าอยู่บ้านตลอดแหละจ้ะ” คุณป้าหยางพูด
“ขอบคุณครับคุณป้า” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า เมื่อส่งคนกลับแล้วเขาก็กลับเข้าบ้านเพื่อตากผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ จากนั้นก็เอ่ยกับต้าเฮย “แกเฝ้าประตูไว้ดี ๆ นะ”
“โฮ่ง” ต้าเฮยเห่ารับ
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาถึง ภรรยากับลูกชายก็ยังนอนหลับอยู่
เด็กชายตัวน้อยนอนหลับครู่หนึ่งแล้วถึงตื่นขึ้นเพราะอึดอัดอยากปัสสาวะ จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับรู้สึกหัวโต* เขาพยายามเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กน้อยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กล่อมให้เขานอนหลับไปอีกครั้ง
*มึนงงทำอะไรไม่ถูก
ในช่วงนี้ภรรยาของเขาหลับลึกมาก แต่ใบหน้าของเธอนั้นแดงระเรื่อ และสภาพร่างกายของเธอก็นับว่ายังดีอยู่
ซูตานหงรู้สึกราวกับตกลงไปในที่มืด เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว
“ภรรยา คุณหิวหรือยังครับ?”
จี้เจี้ยนอวิ๋นถามในทันที
ซูตานหงมองลูกชายก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อมองลูกชายที่กำลังหลับอยู่ เธอจึงเห็นว่าใบหน้าเล็ก ๆ ของเขานั้นฉายแววไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ซูตานหงยิ้มบางพลางพยักหน้า “คุณยกมาให้ฉันได้เลยค่ะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นลุกไปตักโจ๊กให้เธอ ทันทีที่เขาออกไป ซูตานหงก็อ้าปากและดื่มน้ำพุวิเศษจากปลายนิ้วชี้ หลังดื่มไปในปริมาณเทียบเท่ากับสองแก้วแล้ว เธอก็รู้สึกสบายตัวขึ้น
จี้เจี้ยนอวิ๋นนำโจ๊กกลับเข้ามาให้ แม้มันจะเป็นแค่โจ๊กขาว แต่ซูตานหงก็กินแบบแทบเขมือบเข้าไป เพราะว่าเธอหิวมาก
หลังกินโจ๊กเสร็จไปสองชาม ซูตานหงก็รู้สึกสบายใจและเอ่ยขึ้น “เจี้ยนอวิ๋น คุณตั้งชื่อลูกไว้แล้วหรือยังคะ?”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มและตอบกลับ “ยังไม่ได้คิดเลย”
“ฉันคิดได้ชื่อหนึ่งค่ะ คุณอยากฟังไหมคะ?” ซูตานหงเลิกคิ้ว
“คุณบอกเลยครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
…………………………………