ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 83 ส่งปลาไปให้
ตอนที่ 83 ส่งปลาไปให้
“อืม มันดูดีมากเลยล่ะ ปีหน้าจะต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากมายแน่นอน” จี้เจี้ยนเหวินหัวเราะ
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เขาได้ขึ้นไปบนภูเขาทุกวัน ไม่เพียงช่วยทำงานเท่านั้น แต่ยังได้คุยกับพ่อของเขาอีกด้วย
แต่เดิมที่พี่ชายสามของเขาลาออกจากกองทัพ เขาก็รู้สึกเศร้าแทนพี่ชายเช่นกัน เพราะรู้สึกว่าด้วยความสามารถของพี่ชายสามแล้ว หากเขายังอยู่ในกองทัพต่อไปก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้แน่
ทว่ามนุษย์หรือจะสู้ลิขิตฟ้า เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น พี่ชายของเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
ในตอนแรกเขาไม่รู้เรื่องนี้ เพราะไม่มีใครโทรศัพท์บอกเขา เมื่อเขาได้รับสายในภายหลัง สวนผลไม้แห่งนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว
ตัวเขาเองก็มีความหัวก้าวหน้าเช่นกัน นอกจากศึกษาวิชาเรียนในเมืองเจียงสุ่ยแล้ว เขาก็ยังออกตระเวนข้างนอกเป็นครั้งคราวเพื่อดูว่าพอมีอะไรช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ได้หรือไม่ เขาจะได้นำมาแนะนำให้กับพี่ชายสาม
ชายหนุ่มฝีมือดีเช่นนี้ไม่ควรปล่อยให้ใช้ชีวิตไปอย่างแห้งเหี่ยวในเมืองบ้านเกิด
เขากลับมาในปีนี้ก็อยากแนะนำให้พี่ชายสามเข้าไปหาร้านในเมืองเจียงสุ่ย พี่ของเขาทำเกี๊ยวเก่งไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ไปเปิดร้านเกี๊ยวสิ
ต่อให้ต้องเดินทางไป ๆ กลับ ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ที่บ้านเกิดนี่
ครั้นเขากลับมาในตอนนี้และได้มาเห็นภูเขา เขาก็รู้ว่าที่คุยกับแม่ผ่านโทรศัพท์กันนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก พี่ชายสามปลูกผลไม้ขึ้นแล้วจริง ๆ และเขาเองก็รู้สึกดีใจไปกับพี่ชายด้วย!
มันเป็นสวนขนาดใหญ่ทีเดียว หากมีการจัดการดี ๆ ล่ะก็ มันก็ไม่เลวมากนักหรอก
ในเมืองเจียงสุ่ยมีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก หากส่งผลไม้เข้าไปขายได้กิจการคงจะดีมากแน่
อวิ๋นลี่ลี่ได้ยินสามีพูดเช่นนี้ก็เม้มปากเอ่ย “พวกเขาจะดีใจกันมันก็ไม่ใช่ธุระของคุณหรอกค่ะ”
ในเมื่อสามีหล่อนบอกว่าดีแล้ว ก็หมายความว่ามันจะดีในทุกทาง
เป็นเพราะซูตานหงที่ทรงอำนาจมาก เมื่อปีใหม่นั้นภูเขาลูกนี้ก็ได้เป็นของเธอโดยตรง ตอนนี้อีกสามครอบครัวที่เหลือไม่มีสิทธิ์หวังผลประโยชน์จากเธอแล้ว อย่าว่าแต่จะได้อะไรจากเธอเลย
จี้เจี้ยนเหวินไม่รู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ เขาเดินเข้ามาในครัวและขอน้ำร้อนจากแม่ แล้วจึงเห็นว่าแม่ของเขากำลังทำน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้เขาอีกครั้ง ทำให้เขายิ้มออกมา “แม่ไม่ต้องทำให้ผมเป็นพิเศษแบบนี้ก็ได้ครับ ผมไม่ได้หนาวสักหน่อย”
“แกน่ะเป็นคนตัวเย็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้นดื่มให้เยอะ ๆ เถอะ” คุณแม่จี้ยิ้มก่อนยื่นแก้วมาให้เขา
จี้เจี้ยนเหวินจึงรับน้ำขิงไปจิบ และเอ่ยขึ้น “แม่ครับ เรื่องพี่ชายสามน่ะไม่ต้องกังวลนะ ผมคิดว่าสวนผลไม้ของเขาต้องประสบความสำเร็จแน่นอน!”
“ถึงเราจะมีตลาดอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่แกก็คุ้นเคยกับเมืองเจียงสุ่ยมากกว่า ถ้างั้นแกก็ช่วยหาตลาดให้พี่สามเขาด้วยนะ” คุณแม่จี้บอกด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับแม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะช่วยเหลือพี่สามอย่างแน่นอน!” จี้เจี้ยนเหวินเอ่ยรวดเร็ว
คุณแม่จี้ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ได้ยินประโยคนี้จากปากแกก็โล่งใจแล้วล่ะ แกไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ฉันกังวลกับพี่ชายสามของแกขนาดไหน เขามีบาดแผลทั้งบนตัวและบนขา เวลาเดินก็กะเผลก จนแม่ล่ะกลัวว่าเขาจะพิการเหลือเกิน!”
เมื่อพูดถึงตอนที่ลูกชายสามของนางเพิ่งกลับมา คุณแม่จี้ในตอนนั้นก็เป็นกังวลมาก นางอาจไม่แสดงออกมาทางสีหน้า แต่ในใจนั้นกลับกังวลไม่รู้หน่าย
จี้เจี้ยนเหวินไม่รู้เรื่องนี้ เขาจึงอดพูดออกมาไม่ได้ “พี่ชายสามของผมบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ? แล้วเขายังมีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่ไหม? ได้พาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือยังครับ?”
“ตอนแรกเขาอาการหนักมาก เขากลับมานอนติดเตียงอยู่ 10 วันก่อนจะลุกจากเตียงได้ แต่แกไม่ต้องห่วงหรอก สะใภ้สามดูแลเขาเป็นอย่างดี ให้เขากินไก่วันละตัว แล้วก็ทุ่มเททำอาหารดี ๆ ให้เขากินทุกวันจนจากที่บาดเจ็บกลับฟื้นตัวดี หลังจากผ่านไปได้ 7-8 วัน เขาก็มีน้ำหนักเพิ่มเป็น 10 กว่าชั่งแล้ว” คุณแม่จี้ยิ้ม
นี่คือสิ่งที่นางพูด ในตอนนี้นางรู้สึกว่าสะใภ้คนนี้เป็นคนดีโดยแท้และไม่ตระหนี่ขี้เหนียวต่อลูกชายของนางเลย ดูเจี้ยนอวิ๋นในตอนนี้สิ เขาดูเป็นคนปกติไม่เจ็บออด ๆ แอด ๆ เลย นี่ต้องเป็นเพราะการรักษาของตานหงแน่ ๆ
จี้เจี้ยนเหวินยิ้ม “ผมเองก็คิดว่าพี่สะใภ้สามเปลี่ยนไปแล้วเหมือนกันครับ ต่างจากเมื่อก่อนหน้ามือเป็นหลังมือเลย”
“แกยังไม่ได้ไปเห็นหลานชายตัวน้อยสินะ ถ้าแกได้ไปเห็นแล้วรับรองว่าจะต้องชอบเขา เขาเป็นเด็กที่หน้าตาหล่อเหลามาก เว้นแต่จมูกได้พี่ชายแกมา นอกนั้นแล้วก็ได้พี่สะใภ้สามแกมาทั้งหมด” คุณแม่จี้หัวเราะ
“ถ้างั้นผมจะแวะไปดูวันหลังนะครับ” จี้เจี้ยนเหวินพยักหน้า
วันต่อมา จี้เจี้ยนเหวินก็มาหาพร้อมกับลูกสาวของเขา ขณะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบแหจับปลาที่เพิ่งซ่อมเสร็จออกมา เขาเตรียมจะออกไปจับปลาเพื่อนำกลับมาทำลูกชิ้นปลาทอดในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า
“เจี้ยนเหวิน นายมาได้จังหวะพอดีเลย พี่กำลังจะออกไปหว่านแหจับปลาพอดี!” จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มมองหาแรงงานเพิ่ม
จี้เจี้ยนเหวินปากกระตุกและเอ่ยขึ้น “พี่สามไม่ได้ดูสภาพอากาศตอนนี้เลยเหรอครับ หนาวขนาดนี้จะมีปลาให้จับเหรอ? แล้วผมก็จะมาดูหลานชายด้วย”
“นายกลับมาแล้วก็เหมือนกันนั่นแหละ ฝากเหยียนเอ๋อร์ไปอยู่กับพี่สะใภ้สามก่อนก็ได้” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“เด็กคนนี้งอแงง่ายน่ะสิ ผมขอพากลับก่อนนะครับ จะได้ไม่งอแงแล้วทำให้หลานชายผมต้องร้องไห้ด้วย” จี้เจี้ยนเหวินเอ่ย
“นายไปเถอะ ฉันจะรอ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
ไม่นานนักจี้เจี้ยนเหวินก็กลับมา สองพี่น้องจึงเดินไปที่แม่น้ำ เมื่อเห็นพี่ชายสามของเขาถือขวดน้ำขวดหนึ่งในมือ เขาก็เอ่ยด้วยความสงสัย “พี่สาม พี่ถืออะไรอยู่น่ะครับ?”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเลิกคิ้ว “อาวุธลับในการจับปลาอย่างไรล่ะ”
“อาหารปลาสินะครับ?” จี้เจี้ยนเหวินพูด
เมื่อทั้งสองพี่น้องวางแหจับปลา จี้เจี้ยนเหวินก็เห็นพี่ชายสามของเขาเทน้ำในขวดลงไปในแม่น้ำ…
จี้เจี้ยนเหวินถึงกับใบ้กิน เขาไม่ได้เห็นพี่ชายมาเป็นปี และรู้สึกว่าพี่ชายในตอนนี้ดูพิลึกคนมากกว่าเดิมเสียอีก เขาคิดว่าในขวดนั้นจะมีเหยื่อปลาอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแค่น้ำเปล่า?
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือปลาจำนวนมากที่ว่ายมาออกันอยู่ตรงนั้นราวกับเห็นของอร่อยบางอย่าง…
“พี่ครับ นี่มันอะไรเหรอครับ ทำไมถึงมีประโยชน์ขนาดนี้?” จี้เจี้ยนเหวินเบิกตากว้างพลางถามกระซิบ
เขาลดเสียงลงต่ำด้วยเกรงว่าจะทำให้ปลาตกใจจนหนีหายไป
“อาหารปลาที่ละลายปนอยู่กับน้ำแล้วน่ะสิ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
เขาจะบอกได้อย่างไรล่ะว่ามันเป็นน้ำที่ได้จากโรงเรือนปลูกต้นไม้ของภรรยา?
จี้เจี้ยนเหวินเองก็เดาเช่นนั้นเหมือนกันด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย สองพี่น้องยืนมองอยู่ริมตลิ่งและทำการเก็บแหเมื่อเห็นว่าได้ปลามากพอดีกับความต้องการแล้ว
แหปากนี้จับปลาได้เป็นสิบ ๆ ชั่งเลยทีเดียว
มีปลาอยู่ 4 ตัวที่มีน้ำหนัก 2 ชั่งขึ้นไป ส่วนหนึ่งมีขนาดตัวราว 1 ชั่งกับน้อยกว่า 2 ชั่ง และที่เหลือล้วนมีน้ำหนักต่ำกว่า 1 ชั่ง ซึ่งทั้งหมดถูกจับใส่ถังน้ำ ยกเว้นบรรดาปลาเล็กปลาน้อยที่ถูกปล่อยกลับแม่น้ำไป
จี้เจี้ยนเหวินดูมีความสุขมาก และเอ่ยซ้ำ ๆ ว่า “พี่สาม ผมว่าเราหว่านแหอีกเถอะครับ!”
“แม่น้ำนี้มีปลาอยู่ไม่มากนัก บางตัวก็ยังเล็กอยู่ด้วย การไม่จับมันมาจะทำให้เรายังมีปลากินอยู่” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็ให้ปลา 2 ตัวกับน้องชาย ซึ่งแต่ละตัวหนักราว 2 ชั่ง
จี้เจี้ยนเหวินรับไว้อย่างไม่เกรงใจ เขาถือปลาแล้วก็กลับไป ส่วนจี้เจี้ยนอวิ๋นนำปลาที่จับได้ไปให้คุณป้าหยางที่เป็นเพื่อนบ้าน
“ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอจ๊ะ” คุณป้าหยางเห็นแล้วก็ดีใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใหญ่มากหรอกครับ พอให้คุณป้ากับคุณลุงกินอิ่มอยู่” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม “ในโรงเรือนที่สวนหลังบ้านผมมีขึ้นฉ่ายเต็มเลยนะครับ”
“ป้ารู้แล้วจ้ะ คราวหน้าป้าจะมาเก็บไปทำเกี๊ยวไส้ขึ้นฉ่ายเองนะ” คุณป้าหยางยิ้ม
“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
……………………………………………