ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 9 มังกรคู่คาบแก้ว
ตอนที่ 9 มังกรคู่เล่นไข่มุก
ในเวลาแค่สองสามวันถัดมา เจินเหมียวหงก็ต้องตื่นตะลึงกับผ้าปักลายเทพเจ้านกกระเรียนคู่ที่ใช้อวยพรให้มีอายุยืนยาว
“ตอนที่อยู่ว่างๆ ฉันไม่มีอะไรทำน่ะค่ะ ฉันเลยอยากเอาผ้าปักมาให้พี่เร็วที่สุดเพื่อที่พี่จะได้ดูผ่านตา ถ้ามีอะไรผิดพลาดจะได้เลาะออกแล้วปักใหม่ทันน่ะค่ะ” ซูตานหงบอก
“ไม่ ไม่เลย ตานหง เธอปักได้สวยมาก!” เจินเหมียวหงมองนกกระเรียนที่ดูเหมือนจริงในมือของหล่อนและกล่าวซ้ำไปซ้ำมา
หล่อนเคยเห็นความเร็วในการปักลายนกขมิ้นของซูตานหงมาก่อนแล้ว
ซูตานหงยิ้มนิดๆ
“พี่จะไม่ปิดบังเธอนะ ถ้าเธอนำผ้าปักนี้ไปขายเองผ้าเธอน่าจะขายได้ราคาราว 500 หยวน แต่พี่สามารถให้เธอได้แค่ 300 หยวนเท่านั้น เธอจะรับหรือเปล่าจ๊ะ?” เจินเหมียวหงตั้งสติได้แล้วจึงมองไปที่เธอพลางเอ่ยขึ้น
ผ้าปักแบบนี้หาได้ยากมาก ตั้งแต่ที่หล่อนมาอยู่ในธุรกิจนี้ก็ไม่ได้เห็นงานปักที่ดีแบบนี้มานานมากแล้ว นั่นเป็นเพราะลายปักของหล่อนไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้า ถ้าได้ลายปักชั้นดี คุณภาพที่ได้ก็จะดีขึ้นไปอีกระดับอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามงานผ้าปักประเภทนี้คนธรรมดาคงไม่สามารถซื้อไหว หล่อนมีช่องทางพิเศษก็จริงแต่ต้องนำไปขายในอีกมณฑลที่อยู่ไกลออกไป
“พี่หงเป็นคนเอาไปขายเถอะค่ะ” ซูตานหงพยักหน้าพร้อมแย้มยิ้ม
300 หยวนนับว่าเป็นเงินที่มากทีเดียว มันได้มากกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้ 100 หยวน ราคาขั้นต่ำที่เธอคิดไว้คือ 200 หยวน
เงินจำนวน 200 หยวนนี้เมื่อเทียบกับค่าเงินในยุคสมัยของเธอน่าจะมีค่าราว 2 ตำลึงเงิน เงินจำนวนนี้ไม่มีค่าอะไรในสายตาของคนร่ำรวยและขุนนาง แต่ในครอบครัวคนธรรมดาแล้ว เงิน 2 ตำลึงเงินสามารถใช้เป็นค่าอาหารและเสื้อผ้าตลอดทั้งปีสำหรับครอบครัว 5 คนได้อย่างเพียงพอเลยทีเดียว
ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าเธอยังมีเงินเก็บอีกมากกว่า 300 หยวนที่บ้านหลังจากที่เก็บมา 3 ปี?
เรื่องนี้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งเงินกลับมาให้ทุกเดือน
ซูตานหงเป็นคนที่มีเหตุมีผล เจินเหมียวหงจึงรู้สึกพอใจมากเช่นกัน หล่อนหยิบเงินสามร้อยหยวนส่งให้ทันที “ตานหง เธอนับเงินต่อหน้าตรงนี้ได้เลยนะจ๊ะ”
“ได้ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้ารับ
ซูตานหงรู้สึกพอใจมากที่สามารถหาเงินได้ 300 หยวนเป็นครั้งแรก
หลังจากจัดการเรื่องราคาสินค้าเรียบร้อยแล้ว เจินเหมียวหงก็บอกซูตานหงให้รอสักครู่ หล่อนนำผ้าปักลายนกกระเรียนไปเก็บ จากนั้นก็นำเส้นด้ายปักผ้าชุดใหม่ออกมาให้
ซูตานหงสัมผัสเส้นด้ายแล้วจึงพยักหน้า “ไม่เลวเลยค่ะ”
เมื่อเปรียบกับเส้นด้ายในชาติก่อนของเธอแล้วเธอพบว่ามันยังด้อยกว่าอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร
เมื่อเห็นว่าเธอพอใจ เจินเหมียวหงจึงยกยิ้ม “ครั้งนี้เธอจะปักเป็นภาพอะไรหรือจ๊ะ?”
ซูตานหงมองดูขนาดของผ้าปักแล้วจึงกล่าวว่า “ฉันว่าจะปักมังกรคู่คาบแก้ว(1)ค่ะ”
ดวงตาของเจินเหมียวหงเป็นประกายขึ้น “ปักมังกรคู่คาบแก้วมันไม่ง่ายเลยนะจ๊ะ เธอแน่ใจแล้วหรือ?”
ซูตานหงผงกหน้า “เพราะว่ามันปักไม่ง่ายน่ะสิคะ ดังนั้นมันต้องใช้เวลาที่นานขึ้น และราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยค่ะ”
เจินเหมียวหงเห็นว่าเธอต้องการจะปักลายมังกรคู่คาบแก้วจริง ๆ จึงรีบบอก “สาวน้อย ถ้าเธอสามารถปักมันได้จริงๆ ก็ไม่ต้องกังวลนะ พี่สัญญาว่าเธอจะไม่ต้องเหนื่อยเปล่า!”
ซูตานหงตอบตกลง
ซูตานหงถือถุงใส่เส้นด้ายปักและเดินไปที่ห้างสรรพสินค้า เธอมาหาเหอเจี่ยเพื่อซื้อผ้าสองผืน เพราะหน้าต่างที่บ้านมีรอยโหว่อยู่เล็กน้อย ในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้จะไม่ให้เธอปะหน้าต่างได้หรือ?
และด้วยคำแนะนำของพี่เหอ เธอจึงไปร้านที่อยู่ติดกันและซื้อครีมเกล็ดหิมะ(2)กับแฮนด์ครีมตลับหอย(3)มาหลายกล่อง พวกมันเป็นของสำหรับใช้ในฤดูหนาว ผิวหน้าของเธอแห้งมากและเธอก็ไม่มีเครื่องประทินผิวอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
หลังจากซื้อครีมบำรุงผิวแล้วของที่เหลือจะเป็นพวกอาหาร
ของที่ซื้อมามีทั้งถุงเล็กถุงใหญ่ อย่ามองว่าของมากเลย จริงๆ แล้วใช้เงินซื้อไปน้อยกว่า 10 หยวนเท่านั้น และนั่นเป็นเพราะครีมกับแฮนด์ครีมตลับหอยที่มีมีราคาแพง ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้เงินไปมากเท่านี้
ซูตานหงถือของทั้งหมดกลับบ้าน ซึ่งนี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้คุณหนูใหญ่ซูนับถือและภูมิใจกับสภาพร่างกายของเธอ
ช่างแข็งแรงจริงๆ มิน่าเล่าในค่ำคืนเหล่านั้นที่จี้เจี้ยนอวิ๋นจับตัวเธอพลิกไปมาเป็นเวลายาวนานเธอถึงไม่หมดสติไปเสียก่อน
คุณหนูใหญ่ซูคิดขึ้นมาอย่างขัดเขิน
เมื่อกลับมาถึงบ้านซูตานหงก็เอาหมูออกมาหนึ่งชั่ง ซี่โครงหมูหนึ่งแถว ครีมเกล็ดหิมะหนึ่งกล่องกับแฮนด์ครีมตลับหอยหนึ่งตลับแล้วถือไปบ้านครอบครัวจี้
“คุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่นี่กันทั้งคู่เลยนะคะ” ประตูไม่ได้ถูกปิดไว้ เมื่อซูตานหงเดินเข้าไปและเห็นพวกท่านอยู่ที่ลานบ้านเธอจึงยิ้มออกมา
“ตานหงมาแล้วเหรอ? เข้ามาสิ” คุณแม่จี้เอ่ยทักทาย เมื่อนางเห็นว่าเธอถืออะไรมาด้วยจึงพูดขึ้นว่า “เธอเอาหมูมาที่นี่ทำไมตั้งมากมาย?”
“ฉันปักผ้าเทพนกกระเรียนเสร็จแล้วเลยเอาไปให้พี่หงค่ะ” ซูตานหงยิ้มอายๆ
“แล้วหล่อนชอบมันไหม?” คุณแม่จี้รีบถาม
“เอ่อ ฉันได้เงินมา 100 หยวนค่ะ” แม้ว่าคุณหนูซูจะยังไม่รู้เรื่องราวในโลกนี้มากนัก แต่ในชาติก่อนมารดาของเธอเคยสอนไว้ว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องเงินทองออกไป เธอได้เงินมา 300 หยวนซึ่งถือว่าเป็นเงินที่มาก คนทั่วไปอาจจะไม่สามารถหาเงินขนาดนี้ได้เลยตลอดทั้งปี และเธอก็ไม่โง่พอที่จะบอกไปตามจริง
แต่แม้จะเป็น 100 หยวน ก็ยังเป็นเงินที่เยอะมาก!
แม้แต่คุณพ่อจี้ยังหยุดมือจากงานไม้ เขากำลังทำตู้ไม้ให้กับคนอื่นอยู่ หลังจากหักต้นทุนออกแล้วเขาทำเงินได้อย่างมากแค่ 4 ถึง 5 หยวนเท่านั้น
แต่ 4-5 หยวนนี้ถือว่าดีมากแล้ว นั่นเพราะราคาได้เพิ่มสูงขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จากแต่ก่อนนี้ที่ทำเงินได้แค่ไม่กี่เหมาเท่านั้น
“โครม!”
เฝิงฟางฟางอยู่ตรงประตูกับโหวหวาจือ หล่อนพาลูกชายคนโตมาเพื่อดูว่าคุณพ่อกับคุณแม่จี้มีอะไรกินบ้าง ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนมาได้ยินเรื่องตอนไหน ถึงได้พลาดทำกะละมังซักผ้าร่วงตกลงไปบนพื้น
หล่อนหยิบผ้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาลวก ๆ และพาโหวหวาจือเข้ามาในบ้าน ก่อนมองไปที่ซูตานหงพลางพูดขึ้น “น้องสะใภ้สาม เธอได้เงินมาหนึ่งร้อยหยวนเหรอ? ทำไมเธอถึงหาเงินมาได้หนึ่งร้อยหยวนล่ะ!”
“พี่สะใภ้ใหญ่” ซูตานหงเหลือบมองไปที่หล่อนพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ
“สะใภ้ใหญ่เธอมาที่นี่ทำไม?” คุณแม่จี้ตั้งสติแล้วได้จึงเอ่ยปากถาม
เฝิงฟางฟางทิ้งเสื้อผ้าไว้ในอ่างแล้วบอกว่า “ฉันตั้งใจจะพาโหวหวาจือมาไว้ที่บ้านคุณพ่อกับคุณแม่น่ะค่ะ เพราะว่าต้องไปซักผ้า”
“งั้นไปซักผ้าเถอะ ปล่อยโหวหวาจือไว้ที่นี่” คุณแม่จี้พยักหน้าบอก
“คุณแม่คะ เกิดอะไรขึ้นกับน้องสะใภ้สามคะที่บอกว่าได้เงินมา 100 หยวน? มีเรื่องอะไรดีๆ แบบนี้คุณแม่ต้องช่วยดูแลฉันด้วยนะคะ ในอนาคตโหวหวาจือยังต้องเข้ามหาวิทยาลัยอีก!” เฝิงฟางฟางรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของพ่อแม่สามีดีจึงโจมตีเข้าที่จุดอ่อนของพวกเขา
คุณพ่อจี้ขมวดคิ้ว
“นี่…” คุณแม่จี้ลังเลแล้วมองไปที่ซูตานหงพลางพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เธอต้องถามซูตานหงเอง”
“น้องสะใภ้สาม เราต่างก็เป็นลูกสะใภ้ของบ้านจี้ คงไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่ช่วยฉันในเรื่องดีๆ แบบนี้ใช่ไหม?” เฝิงฟางฟางมองไปที่ซูตานหงด้วยสายตาลุกวาว
100 หยวน คนอย่างซูตานหงสามารถหาเงินได้ 100 หยวน ดังนั้นหล่อนก็ต้องทำได้เหมือนกัน!
“นี่เป็นเงินที่ฉันได้มาจากการปักผ้าค่ะ ถ้าพี่สะใภ้ใหญ่อยากจะปักผ้า พี่สามารถเข้าไปในเมืองแล้วซื้อเส้นด้ายมาปักได้นะคะ” ซูตานหงตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก
แม้เธอจะไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนี้มากนัก แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าเธอสามารถช่วยได้หนึ่งหรือสองอย่าง มันก็ไม่เสียหายอะไร
แน่นอนว่าหลังจากที่เธอพูดออกมาเช่นนี้ คุณพ่อกับคุณแม่จี้ต่างมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก
เฝิงฟางฟางมองอย่างสงสัย “เธอไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม? เธอสามารถปักผ้าได้เงินที่เธอได้มาจากการปักผ้างั้นหรือ? ฉันไม่คิดว่าเธอจะถักเสื้อไหมพรมได้ด้วยซ้ำไป!”
ซูตานหงไม่อาจยอมให้หล่อนดูถูกแบบนี้ได้ จึงได้เอ่ยขึ้นโดยที่หน้าไม่ขึ้นสีหรือหายใจแรง “พี่สะใภ้ใหญ่คะ นั่นมันเป็นเรื่องเก่าเมื่อนานมากแล้ว ทำไมพี่ถึงยังมองคนด้วยสายตาแบบเก่าอยู่ล่ะคะ?” เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าพี่ไม่เชื่อฉัน พี่ถามคุณแม่ดูก็ได้ คุณแม่เห็นกับตาว่าฉันปักผ้าได้ค่ะ”
“สะใภ้ใหญ่ ตานหงเต็มใจบอกวิธีหาเงินกับเธอแล้ว ถ้าเธอต้องการจะปักผ้าก็ไปปักได้ อย่าระแวงเลย” คุณแม่จี้กล่าว
เฝิงฟางฟางยังกังขาในใจ หล่อนไม่เชื่อคำพูดของแม่สามีเพราะน้องสามออกไปเป็นทหารอยู่ข้างนอก แถมยังมีเรื่องที่ว่าแม่สามีของหล่อนนั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับบ้านสามมากขนาดไหน
……………………………………