ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 101 คนผู้นั้นก็มีเหมือนกัน
“ข้าพูดกับเจ้า! เหตุใดเจ้าถึงเมินข้า?!”
สาวใช้ตัวน้อยโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ทว่านางทาชาดไม่น้อยเหยาซูจึงแยกไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่งว่าส่วนไหนคือสีทาปาก ส่วนไหนคือสีที่เกิดขึ้นด้วยโทสะ
‘ฮูหยิน’ ที่ดูท่าทางอ่อนต่อโลกนางนั้นกลับไม่เคยห้ามปรามนิสัยชวนตีของคนข้างกายเลย
เหยาซูกลั้นหัวเราะ ไม่สนใจสาวใช้คนนั้นแต่พูดกับหญิงที่นั่งอยู่ว่า “โปรดอภัยในความตาต่ำของข้าด้วยที่จำไม่ได้… ไม่ทราบว่าฮูหยินท่านนี้คือ?”
เมื่อปีก่อนเพื่อขายชาดทาหน้าที่ราคาแพงกว่าชาดทั่วไปเหล่านั้น ด้วยการช่วยเหลือของฮูหยินนายอำเภอ เหยาซูจึงได้รู้จักกับพวกสตรีผู้มั่งคั่งในขุนนางชั้นสูงไม่น้อย ทำให้ขายได้กล่องละสิบตำลึงเลยทีเดียว
เวลานี้นางมั่นใจว่าตนไม่เคยพบเจอหญิงสาวผู้นี้มาก่อน และไม่เคยได้ยินว่าฮูหยินตระกูลไหนจะเป็นคนเจ้าอารมณ์เช่นนี้
สตรีผู้นั้นใช้มือป้องปากไว้และกระแอมไอเบา ๆ สองครั้ง จากนั้นก็กระซิบกับเหยาซูอย่างแผ่วเบาว่า “หญิงสาวธรรมดา ไม่ควรค่าจะเอ่ยถึง”
สาวใช้ชุดชมพูกล่าวแทนผู้เป็นนายอย่างเย่อหยิ่งว่า “ฮูหยินของเราก็คือฮูหยินนายอำเภออย่างไรเล่า!”
สตรีผู้นั้นแสร้งตำหนิอย่างไม่พอใจว่า “อาเซียง ระวังปากด้วย!”
เหยาซูรู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัวกับการโอ้อวดเกินจริงของสตรีผู้นี้พลางขบขันอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเป็นอนุภรรยาผู้ต่ำต้อยห้องไหนของนายอำเภอเหยา ตอนนี้ถึงได้กล้าเรียกตนเองว่า ‘ฮูหยิน’ กลางเมืองชิงถง
“ที่แท้ก็ฮูหยินเหยานี่เอง” เหยาซูเอนกายพิงตู้อย่างเกียจคร้าน ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นทำความเคารพแต่อย่างใด แม้แต่ขยับปากพูดก็ยังไม่เกรงใจสักนิด
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘ฮูหยินนายอำเภอ’ นางนี้ มีแซ่ว่าอวิ๋น มีนามว่าเหลียน เดิมทีเป็นนักแสดงงิ้วที่นายอำเภอซื้อตัวมาจากทางตอนใต้ บัดนี้ได้กลายเป็นภรรยาผู้ต่ำต้อยคนที่แปดของเขา
อวิ๋นเหลียนเป็นนางโลม เก่งเรื่องการอ่านคนเป็นที่สุด
ทันทีที่เข้ามาในร้านขายผ้า เห็นเหยาซูที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดานั่งพิงตู้สนทนาอยู่กับเถ้าแก่ร้าน ก็คิดว่าคงเป็นลูกค้าเช่นกัน ทว่าเมื่อนางชำเลืองไปเห็นใบหน้าที่งดงามของเหยาซู ความคิดชั่วร้ายและความอิจฉาริษยาก็พลันก่อเกิดขึ้น สาวใช้หาเรื่องนางด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ อวิ๋นเหลียนจึงมองดูความคึกคักอย่างมีความสุข
ตอนนี้เมื่อเห็นเหยาซูที่ได้ยินว่านางเป็นฮูหยินนายอำเภอกลับไม่แสดงอากัปกิริยาเคารพใด ๆ อวิ๋นเหลียนจึงได้แต่พึมพำเงียบ ๆ ในใจ
นางถามหยั่งเชิงออกไปว่า “ไม่ทราบว่าพี่สาวท่านนี้มีนามว่าอย่างไร…?”
เหยาซูตัวสั่นเทิ้มกับน้ำเสียงแต่งจริตของนางอีกครั้ง ในใจคิดว่าคงดูถูกผู้หญิงเช่นนี้ไม่ได้
หญิงสาวจึงใช้คำพูดเมื่อครู่ของ ‘ฮูหยินนายอำเภอ’ ตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน “สตรีตระกูลชาวนา ไม่ควรค่าจะเอ่ยถึง”
อวิ๋นเหลียนหน้าเสีย เก็บความขุ่นเคืองไว้เงียบ ๆ ในใจ
นางเรียนรู้จากสีหน้าของผู้อื่นเป็นตั้งแต่ที่รู้จักฉี่ด้วยตนเอง ท่าทางของเหยาซูตอนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบนาง
อวิ๋นเหลียนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาในใจ ในขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดนั้น กลับได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น “อาซู เราไปกันเถอะ”
ชายผู้นั้นเดินย้อนแสงจากข้างนอกเข้ามาภายใน รูปร่างสูงสง่า อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าสมบูรณ์และล้ำลึกประดุจผ่านมีดแกะสลักก็มิปาน อวิ๋นเหลียนอ่านคนมานับไม่ถ้วน เวลานี้กลับมองอย่างตกตะลึง
เหยาซูตอบสั้น ๆ และลุกขึ้นยืนในที่สุด
เมื่ออวิ๋นเหลียนหันกลับไป กลับเห็นว่าสีหน้าเกียจคร้านบนใบหน้าของนางได้แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ทำให้ทั่วทุกมุมร้านสว่างจ้าขึ้นทันใด
นางจ้องเขม็งไปยังใบหน้าอันงดงามชวนหลงใหลของเหยาซู พร้อมกับใช้ปลายเล็บจิกลงบนฝ่ามือของตนเอง ทว่าใบหน้ากลับยังแสดงสีหน้าอ่อนโยนและกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าได้เจอะเจอกับท่านเพียงครั้งเดียวกลับรู้สึกถูกชะตา ไม่ทราบว่าชาตินี้จะได้มีวาสนารู้จักกันหรือไม่?”
หลินเหราไม่รู้เหตุการณ์ก่อนหน้าของทั้งสองคน เมื่อเห็นดังนั้นก็หยุดก้าวเดินและมองไปยังเหยาซูด้วยแววตาฉงน
รอยยิ้มเมื่อครู่ของเหยาซูแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งในทันที พลางพูดกับอวิ๋นเหลียนว่า “เรื่องรู้จักกันนั้นช่างเถอะ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าอยากรู้จักใครกันแน่”
หลังจากที่อวิ๋นเหลียนได้เจอกับหลินเหราแววตาของนางก็เปลี่ยนไป ซึ่งเหยาซูเห็นอย่างชัดเจนจากด้านข้าง นังแพศยาผู้นี้ หึ ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
อวิ๋นเหลียนรู้สึกหายใจไม่ออก ความรังเกียจที่มีต่อเหยาซูในใจเริ่มเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
นางหลุบตามองต่ำ ในตอนที่ปรายตาขึ้นอีกครั้งดวงตาของหญิงสาวกลับเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาใส จากนั้นมองไปยังหลินเหราด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความไม่เป็นธรรม ทว่าพยายามทำเข้มแข็งและพูดว่า “ข้าอวิ๋นเหลียน คุณชาย ดูท่าท่านจะรู้จักกับฮูหยินท่านนี้? เมื่อครู่สาวใช้ของข้ากับฮูหยินมีเรื่องเข้าใจผิดกัน อวิ๋นเหลียนอยากจะทำความรู้จักกับฮูหยินท่านนี้ด้วยใจจริง แต่นาง…”
ครั้งนี้เหยาซูรู้สึกชาวาบกับมารยาที่น่ารังเกียจนี้
ไม่ทันที่หลินเหราจะตอบสนอง นางก็ส่งเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา “เข้าใจผิดงั้นหรือ? เรื่องที่สาวใช้ของเจ้าทำผิดหรือข้าเป็นฝ่ายหาเรื่องเจ้าล่ะ? ช่วยชี้แจงความเข้าใจผิดให้ชัดเจนก็พอ แต่หากจะทำความรู้จักนั้นไม่จำเป็น เพราะข้าไม่มีเวลา”
ทักษะที่สตรีแพศยาชอบใช้ที่สุดประการที่หนึ่ง ชอบพูดให้คล้ายกับว่าตนถูกต้อง ทว่าความจริงผิดเต็มประดา ทำตนเองให้รู้สึกว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด และประการที่สองทำให้ตัวเองอยู่ในจุดที่อ่อนแอ ใช้วิธีการพูด “ข้าแค่…แต่นางกลับ…”
เหยาซูเป็นปรมาจารย์ในด้านความแพศยาเชียวนะ นางรู้สึกไม่ชอบอวิ๋นหลียนผู้นี้โดยแท้จริง
เมื่อหลิวเหราเห็นเหยาซูไม่พอใจ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองอวิ๋นเหลียนที่แสดงท่าทางทุกข์ระทมราวกับซีซือกำอก[1]อยู่ด้านข้าง หากแต่ถามเหยาซูว่า “เป็นอะไรไป?”
เหยาซูส่ายหน้าและเดินมายืนข้างกายของหลินเหรา จากนั้นก็ควงแขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่เป็นไร เราไปกันเถอะ”
ร่างกายของหลินเหราแข็งทื่อเล็กน้อย…นี่คือครั้งแรกที่เหยาซูเข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้
ลำแขนนุ่มลื่นของนางถูไถไปมาบนแขนของเขาเบา ๆ น้ำหนักเบาประดุจผีเสื้อที่เกาะอยู่บนใบไม้ ทำให้หลินเหราไม่กล้าแม้แต่จะขยับกาย กลัวว่าจะสร้างความตกใจให้แก่สิ่งมีชีวิตอันงดงามที่หาชมได้ยากยิ่งจนเตลิดหาย
เมื่อทั้งสองเดินออกมานอกร้านขายผ้า เหยาซูจึงปล่อยแขนของหลินเหรา
เขาไม่รู้ว่าในใจนั้นมีความสุขหรืออ้างว้างมากกว่ากันไปชั่วขณะก่อนเอ่ยถามว่า “อาซู เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เหยาซูเบะปากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง “คนที่เกลียดคนหนึ่ง”
น้อยมากที่หลินเหราจะเห็นเหยาซูแสดงท่าทางไม่ชอบใครรุนแรงมากถึงเพียงนี้ จึงอดถามขึ้นอีกไม่ได้ว่า “คนที่รู้จักก่อนหน้านั้นหรือ? เหตุใดเจ้าถึงเกลียดนาง?”
หากพูดถึงทักษะความแพศยา คงสร้างความลำบากใจให้แก่เหยาซูไม่เท่าใดนัก ถึงกระนั้นไม่ว่าคนภายนอกจะเป็นอย่างไร ขอแค่ไม่มาหาเรื่องเหยาซู นางก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้ว
แต่อวิ๋นเหลียนผู้นี้ ทั้งเรื่องที่จงใจหาเรื่องนางและเรื่องที่เอาความคิดนั้นยัดใส่หัวของหลินเหราอีก!
เมื่อเหยาซูได้ยินเขาถามเช่นนั้นจึงใช้สายตาที่พยายามจะสืบเสาะมองออกไป “แล้วท่านสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หรือมองออกว่าแม่นางอวิ๋นผู้นั้นสนใจท่าน?”
หลินเหราผู้ไร้เดียงสาอยู่ ๆ ก็งานเข้าจึงรีบอธิบายว่า “นางผู้นั้นแต่งตัวเป็นหญิงสาวออกเรือนแล้ว จะมาชอบข้าได้อย่างไร?”
เดิมทีเหยาซูแค่ต้องการจะหยอกล้อเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบของเขา เพียงชำเลืองตาไปมองเขา และพึมพำว่า “เห็นแก่ที่ท่านแสดงได้ไม่เลวเลยเมื่อครู่ เช่นนั้นข้าจะให้อภัยกับคำพูดแย่ ๆ ในครั้งนี้ของท่านก็แล้วกัน”
หลินเหราไม่ได้ยินคำพูดของนาง จึงถามอย่างงุนงงว่า “ว่าอย่างไรนะ?”
เวลาที่มองชายอื่นเขามักจะอ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ ไม่ว่าใครที่สนใจเหยาซูแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็เป็นราวกับสัตว์ป่าที่ได้กลิ่นคาวเนื้อ รีบระแวดระวังทันที ทว่าสำหรับหญิงสาว เขาไม่ได้สังเกตเห็นความหมายที่นางแสดงออกต่อเขาแม้แต่น้อย
ดวงตาของเหยาซูเบิกกว้าง ไม่อยากคุยหัวข้อนี้ต่อ “ท่านจงจำไว้ วันข้างหน้าหากเจออวิ๋นเหลียนผู้นี้ ห้ามคุยกับนางเป็นอันขาด!”
หลินเหราเดิมทีไม่ได้อยากคุยกับหญิงสาวแปลกหน้าอยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นแก้มที่พองออกด้วยความโกรธเกรี้ยวของเหยาซู ก็รู้สึกว่านางนั้นช่างน่ารักไม่เบา จึงอดกระตุกมุมปากไม่ได้ ชายหนุ่มพยักหน้าและพูดว่า “รับทราบ”
หลังจากที่ทั้งสองคนพ้นประตูมาก็มุ่งตรงไปร้านน้ำชา ทิ้งอวิ๋นเหลียนให้นั่งอยู่ในร้านขายผ้า พยายามข่มอารมณ์โกรธไม่ให้ปะทุออกมา
สาวใช้ที่วอแวอยู่ข้างกายอย่างอาเซียงยังคงพร่ำพูดไม่หยุด “หญิงผู้นั้นเป็นใครกัน! วาจาไร้มารยาทสิ้นดี เจอกับฮูหยินของเรายังไม่กล่าวทักทายก็แล้วไป นี่ยังไม่บอกแม้แต่ตระกูลของตนอีก…”
อวิ๋นเหลียนไม่เสแสร้งทำทีเป็นอ่อนแออีกต่อไป นางผ่อนคลายใบหน้าอันงดงามนั้นและพูดอย่างเย็นชาว่า “พอแล้ว แค่คำพูดที่น่ารังเกียจของตัวเองยังไม่พอหรือ ยังจะทำให้ผู้อื่นอับอายขายขี้หน้าอีก?”
อาเซียงแอบชำเลืองตามองสีหน้าที่ดูนิ่งเฉยราวกับแม่น้ำที่นิ่งสงบ จึงปิดปากเงียบกริบ
เถ้าแก่หลิวฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่ด้านหลัง เวลานี้ได้เดินออกมา ‘พอดิบพอดี’ ต้อนรับเจ้านายและสาวใช้ทั้งสองอย่างยิ้มแย้ม “พวกท่านคงรอนานมาก! ผ้าชิ้นนี้เป็นสินค้าที่เพิ่งรับมาจากทางตอนใต้ มีขนาดสองหลา ราคาค่อนข้างสูง เดิมทีไม่คิดจะขายด้วยซ้ำ แต่ข้าน้อยเห็นแก่ที่ฮูหยินมาเยือนถึงร้านด้วยตัวเอง จึงยอมเสียสละเวลาครั้งใหญ่ หาผ้าที่ดีที่สุดจากในห้องเก็บสินค้าออกมา…”
อวิ๋นเหลียนกำลังโกรธฉุนเฉียว ไม่มีอารมณ์เลือกผ้าแล้ว แต่ต่อหน้าคนภายนอกคงจะทำลายภาพลักษณ์ของตนไม่ได้ จึงทำได้แค่ฝืนยิ้มและพูดว่า “รบกวนเถ้าแก่แล้ว เก็บไว้ก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นนางคล้ายจะไม่สนใจ เถ้าแก่หลิวจึงเปลี่ยนหัวข้อแกล้งพูดอย่างฉงนว่า “เอ๊ะ? แม่นางที่พูดกับข้าเมื่อครู่ ไปไหนเสียแล้ว?”
อวิ๋นเหลียนตื่นตัวในทันใดและยิ้มอย่างอ่อนโยนประดุจน้ำที่ไหลนิ่งเอ่ยปากถามเขาว่า “เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าฮูหยินเมื่อครู่ เป็นใครกันหรือ?”
หญิงสาวไม่ได้สนใจสถานะของเหยาซูมากมายเพียงนั้น นางเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่งดงามเพียงน้อยนิดคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าบุรุษรูปงามสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาทีหลังต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของตนไปทั้งหมด!
เถ้าแก่หลิวอ่านคนมานับไม่ถ้วน ย่อมมองความคิดที่ว่านั่งดื่มสุราไม่เสพสุขรสชาติของสุรา มุ่งเน้นการกระทำเรื่องอื่นของอวิ๋นเหลียนผู้นี้ออกนานแล้ว จึงตั้งใจจะเบี่ยงประเด็นไปในทางที่ตนเองปรารถนา “เมื่อครู่แม่นางผู้นั้นอยากดูวัสดุที่ดีที่สุดภายในร้านเช่นกันขอรับ… ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะเอาผ้าผืนนี้ออกมาดีไหม เพราะข้าไม่ใคร่อยากขาย!”
อวิ๋นเหลียนส่งเสียง ‘อ่อ?’ ออกมาอย่างที่คิดไว้ จากนั้นก็เริ่มมองผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ
นางเองมีฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน แม้จะบอกว่าตอนนี้ออกเรือนเป็นอนุภรรยาของนายอำเภอแล้ว แต่โดยทั่วไปมักไม่ค่อยได้เห็นของดี ๆ เท่าใดนัก จึงมองไม่ออกว่าผ้านั้นดีหรือไม่ดี
เถ้าแก่หลิวเป็นพ่อค้า ย่อมคุยโวโอ้อวดผ้าของตนให้ดูเกินจริงแน่นอนอยู่แล้ว “ฮูหยิน ท่านดูสิลายเส้นนี้ ลวดลายนี้ … แม้แต่ในเมืองหลวงก็ยังหาผ้าที่งดงามวิจิตรเพียงนี้ได้ยากยิ่ง! โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสอันบางเบาของผ้าผืนนี้ ถ้าหากเย็บตัดเป็นชุดในฤดูร้อน จะต้องใส่ออกมางดงาม และเย็นสบายเป็นแน่…. ทั้งเมืองชิงถงของเรา ท่านคงหาผ้าแบบนี้ผืนที่สองไม่ได้อีกแล้ว!”
อวิ๋นเหลียนเองก็ไม่ใช่คนโง่ ได้ยินเถ้าแก่พูดเช่นนี้ก็คิดว่าผ้าผืนนี้คงไม่ใช่ถูก ๆ เป็นแน่ เพียงแต่คำพูดของเถ้าแก่หลิวชักจูงหัวใจของนางให้คล้อยตามไม่มากก็น้อย
หญิงสาวพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
“ฮูหยิน ผ้าผืนนี้มีส่วนคล้ายกับคนผู้นั้นในตระกูลของเราเหมือนกัน…” อาชุ่ยกระซิบข้างหูของเธอเบา ๆ
คนที่อาชุ่ยเอ่ยถึงก็คือภรรยาเอกของท่านนายอำเภอ
สงครามระหว่างภรรยาหลวงกับเหล่าอนุภรรยาที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฮูหยินนายอำเภอในตอนนี้เริ่มสู้รบตบมือช้าลง บรรดาอนุภรรยาที่อยู่ใต้อำนาจนางจึงพยายามจะดึงให้ร่วงลงต่ำ
นัยน์ตาของอวิ๋นเหลียนจึงแตกต่างออกไป นางยิ้มให้แก่เถ้าแก่หลิวและถามอย่างอ่อนโยนว่า “เถ้าแก่ ผ้าผืนนี้ราคาเท่าไรเล่า?”
[1] ซีซือกำอก หมายถึงความงามของผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นเมื่อเธออยู่ในสภาวะทุกข์ใจหรือความทุกข์ทรมาน
สารจากผู้แปล
มีสามีแล้วยังจะทำตัวเป็นดอกชิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพงอีกเหรอนางจิ้งจอกนี่ ระวังอาซูถลกหนังมาทำเป็นผ้าคลุมเฟอร์ไว้ใส่หน้าหนาวนะ
ไหหม่า(海馬)