ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 102 อวี๋จือจะจดจำไปชั่วชีวิต
เถ้าแก่หลิวหูตาไว ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบระหว่างผู้เป็นนายและบ่าวรับใช้ทั้งสองคนนานแล้ว ทว่ากลับแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางพูดอย่างมาดมั่นว่า “หากฮูหยินชอบละก็ ข้าขายไม่แพงหรอก วัสดุผ้าผืนนี้มีเพียงสองฉื่อ แค่หนึ่งตำลึงท่านก็นำผ้าไปได้เลยขอรับ”
อาเซียงตวาดเสียงดัง “หนึ่งตำลึง?! เถ้าแก่เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล้นซะเลยล่ะ?”
เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ขายในร้านขายผ้าต่างก็มีราคาไม่ถึงหนึ่งตำลึงด้วยซ้ำ ผ้าสองฉื่อแค่นี้ มีปริมาณเทียบเท่ากับเสื้อผ้าที่ตัดเย็บแล้วเพียงหนึ่งตัว
เถ้าแก่หลิวยิ้มพลางพูดกับอวิ๋นเหลียนว่า “ไอหยา ฮูหยิน! ท่านคิดว่าแพงหรือขอรับ? แม่นางที่อยากซื้อเมื่อครู่… บอกว่าต้องขายในราคาสองตำลึงถึงจะซื้อผ้าผืนนี้ของข้า แต่ข้าไม่ยอม! ลวดลายที่สวยเรียบและมีกลิ่นอายเฉพาะตัวอย่างชัดเจนเช่นนี้ มีแค่ท่านเท่านั้นที่จะคู่ควร!”
เมื่ออวิ๋นเหลียนเห็นเถ้าแก่หลิวเอ่ยถึงเหยาซู ไฟโทสะในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินคำพูดของเถ้าแก่หลิว ไฟโกรธนั้นได้ก่อเกิดความสุขอันเลือนรางคล้ายชัยชนะออกมา
หญิงสาวใช้สายตาห้ามปรามไปทางอาเซียงและพูดกับเถ้าแก่หลิวด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ผ้าสองฉื่อผืนนี้ข้าจะซื้อเอง”
เถ้าแก่หลิวแย้มยิ้มเผยให้เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า พลางพูดเสียงดังว่า “ได้เลย! ข้าจะให้เด็กในร้านห่อผ้าให้ท่าน…”
เขาพูดพร้อมกับหอบผ้าบนโต๊ะผืนนั้นเดินไปหาเด็ก ๆ ในห้องเก็บสินค้าที่อยู่หลังร้าน
เมื่ออาเซียงเห็นผู้เป็นนายจะซื้อผ้าผืนนี้จริง ๆ ก็ตะลึงงันไป “ฮะ…ฮูหยิน ผ้าผืนนี้มันไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะเจ้าคะ…”
คนชนบทซื้อผ้าหนึ่งฉื่อแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง ต่อให้มีลวดลายมากเพียงใดก็ไม่น่ามีราคาถึงหนึ่งตำลึงเช่นนี้
อาชุ่ยพูดเยอะไม่เท่าอาเซียง ทว่ากลับพูดในเจตนารมณ์ที่คล้อยตามผู้เป็นนายเสมอ นางยิ้มเยาะอาเซียงพลางพูดว่า “คงไม่เคยเจอประสบการณ์ชีวิตมาก่อนน่ะสิ เงินหนึ่งตำลึงแล้วอย่างไร? ฮูหยินโปรดปรานผ้าผืนนั้นแค่เอ่ยปาก จะเท่าไรนายท่านก็ให้ได้”
แม้ว่าสาวใช้ทั้งสองจะเรียกอวิ๋นเหลียนว่า ‘ฮูหยิน’ เสมอมา ทว่านางเป็นเพียงแค่นางบำเรอคนหนึ่ง หากอยากได้เงินก็ต้องใช้เรือนร่างประจบสอพลอผู้อื่น ส่วนห้องภรรยาเอกที่ไร้ผู้ใดเหลียวแลห้องนั้น อยากซื้อสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นเสมอ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความรู้สึกไม่ยุติธรรมภายในใจของอวิ๋นเหลียนก็ถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง
นางยิ้มเยาะเย็นชาก่อนถามว่า “อาชุ่ย เจ้าเห็นมากับตาหรือว่าคนผู้นั้นก็มีผ้าที่คล้ายกันเช่นนี้?”
อาชุ่ยครุ่นคิดอย่างหนัก นางรู้ว่าผู้เป็นนายมีความคิดเป็นของตัวเอง จึงไม่ถามให้มากความ แค่ตอบกลับว่า “เจ้าค่ะ เพิ่งซื้อกลับมาเมื่อสองวันก่อน สีสัน ลวดลายไม่แตกต่างกันเลยเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเหลียนพยักหน้า พร้อมกับผุดแผนการในใจ
เด็กในร้านนำผ้าที่ห่ออย่างดีออกมา เถ้าแก่จึงออกมาส่งให้กับนางด้วยตัวเองอีกครั้ง รอกระทั่งผู้เป็นนายและบ่าวทั้งสองจ่ายเงิน เดินกลับไปอย่างมุ่งมั่นและฮึกเหิม เถ้าแก่หลิวจึงหลุดขำออกมาพลางกล่าวว่า “เจอคนโง่ที่ร่ำรวยอีกแล้ว”
เด็กในร้านชำเลืองตามองไปยังเถ้าแก่หลิวที่เก็บเงินหนึ่งตำลึงของนางผู้นั้น ปากของเขาอ้ากว้างจนแทบจะยัดไข่ไก่ได้ทั้งฟองอยู่แล้ว เขาจึงพูดอย่างลังเลว่า “อาจารย์ ไป…ไปหลอกลูกค้าเช่นนี้ ไม่ดีกระมัง? ผ้าสองฉื่อผืนนี้ของเรา ตั้งใจเก็บไว้ทำม่านหน้าต่างด้านข้างให้คุณหนูไม่ใช่หรือ…?”
เถ้าแก่หลิวหันไปตบท้ายทอยของเด็กในร้านด้วยมือข้างหนึ่ง พลางก่นด่าว่า “อาจารย์เช่นข้าไปหลอกลวงตอนไหนไม่ทราบ? ทั้งยังไม่ถามด้วยว่าเหตุการณ์มันเป็นอย่างไร หญิงนางนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่รังแกคุณหนูของเรา นี่ยังกล้าคิดจะแย่งท่านลูกเขยอีก! ไม่หลอกนางแล้วจะให้หลอกใครเล่า!”
“อ่า” เด็กในร้านส่งเสียงอุทานสั้น ๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาถามอย่างลังเลอีกว่า “งั้นในเมื่อเราขายผ้าแล้ว ม่านหน้าต่างจะทำอย่างไร?”
เถ้าแก่หลิวใช้ศอกทั้งสองข้างพิงตู้ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “บอกไปกี่ครั้งแล้วว่าต้องจำให้ได้ว่าผ้าในห้องเก็บสินค้ายังคงค้างเท่าใด แบบไหนบ้าง มูลค่าเท่าใด ผ้าราคาถูกและบางเพียงหนึ่งชั้นแต่ไม่ขายได้ง่าย ๆ แบบนี้ ยังมีมากมายในคลังไม่ใช่หรือ!”
เด็กในร้านหวนระลึกก่อนจะพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มพลางพูดว่า “ขอรับ อาจารย์ ต่อไปข้าจะระวังกว่านี้! ข้าเพิ่งทำความสะอาดไปได้ครึ่งเดียว คงต้องไปทำต่อแล้ว รบกวนเถ้าแก่อยู่ต้อนรับลูกค้าข้างนอกแล้วกันขอรับ!”
พูดพลางนำโต๊ะเก้าอี้ที่วางสะเปะสะปะหลังจากลูกค้าจากไปเมื่อครู่วางตำแหน่งเดิมอย่างคล่องแคล่วว่องไว และรีบกลับเข้าไปทำความสะอาดในห้องเก็บสินค้าต่อ
เถ้าแก่หลิวเพิ่งทำรายการสินค้าชิ้นใหญ่เสร็จ ทั้งยังระบายอารมณ์ให้เหยาซูแล้ว เดิมทีเขาควรต้องดีใจ แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังของเด็กในร้านไม่มีทีท่าจะเป็นกังวลไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ได้แต่คลำลูกประคำในมือ พลางทอดถอนใจยาวออกมา
“เจ้าเด็กอัปลักษณ์ ต้องพึ่งพาข้า แล้วยังให้เขาเป็นกังวลทุกสิ่งทุกอย่าง…”
อีกด้านหนึ่ง หลินเหราและเหยาซูก็ได้เดินทางมาถึงหน้าร้านน้ำชา เหยาซูให้หลินเหรารออยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง ส่วนนางไปเรียกอวี๋จือออกมา
ในตอนที่นางเข้าไปนั้น ก็เห็นอวี๋จือและเถ้าแก่ร้านน้ำชากำลังถกเถียงบางอย่างกันพอดี
เถ้าแก่ร้านน้ำชามีแซ่ว่าจาง รูปร่างสูงใหญ่ มีสร้อยทองเส้นใหญ่อยู่บนคอ ใบหน้าปูดโปน เมื่ออวี๋จือที่ดูซูบผอมและตัวเล็กเผชิญหน้ากับเขา แม้แต่กำลังแขนเพียงข้างเดียวของเขาก็ยังเทียบไม่ได้
เหยาซูคิดว่าอวี๋จือกำลังถูกรังแก จึงรีบรุดหน้าเข้าไปดู จนกระทั่งได้ยินน้ำเสียงที่แหบแห้งและหยาบกระด้างของเถ้าแก่ดังขึ้น “พ่อหนุ่มน้อย เจ้าไม่ต้องมาใช้เหตุผลกับข้า วันนี้เราพูดถึงเหตุผลหลายครั้งแล้ว เจ้าเป็นนักเล่าเรื่องในร้านน้ำชาของข้า ก็ต้องเคารพกฎระเบียบของข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
อวี๋จือมีสีหน้าจนปัญญา พยักหน้าพลางตอบใช่
เถ้าแก่จางจึงพูดอีกว่า “งั้นข้าก็คือเถ้าแก่ แค่จ่ายค่าเชิญเจ้ามาเล่าเรื่องเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมรับเงิน?!”
เท้าของเหยาซูที่ก้าวเข้าไปด้วยความดุดันพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็มองไปยังเถ้าแก่จางด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ก่อนถามขึ้น “เถ้าแก่จาง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เถ้าแก่จางไม่เห็นว่าร้านน้ำชามีแขกมาอีกคน เมื่อเห็นเหยาซูจึงตกใจอย่างฉับพลัน กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกสั่น ก่อนจะสงบลงอีกครั้ง
เขาแสดงสีหน้าลังเล “แม่นางผู้นี้คือ…?”
เหยาซูยืนอยู่ข้างกายของอวี๋จือพลางพูดว่า “ข้าคือพี่สาวที่เพิ่งรู้จักของอวี๋จือ”
อวี๋จืออ้าปากเล็กน้อยอยากจะพูดว่านางกลายเป็นพี่สาวที่เพิ่งรู้จักของเขาตั้งแต่เมื่อใด ทว่ากลับถูกเหยาซูหยิกแขนเบา ๆ ทำให้คำพูดที่อยากจะพูดถูกกลืนหายไป
เถ้าแก่จางไม่สงสัยเขา จึงพูดกับเหยาซูว่า “เด็กน้อยผู้นี้เป็นนักเล่าเรื่องในร้านน้ำชาของเรา….”
อวี๋จือประท้วงขึ้น “เถ้าแก่จาง ข้าใกล้เข้าพิธีกรรมสวมหมวกแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว!”
รูปร่างของเขาใกล้เคียงกับเถ้าแก่จาง ไม่เห็นจะเหมือนเด็กเสียหน่อย?
เถ้าแก่จางพยักหน้าขอไปที “อ่อ บัณฑิตน้อย บัณฑิตซิ่วไฉ … เขามาเป็นนักเล่าเรื่องให้เรานานแล้ว แรกเริ่มตกลงกันว่าจะมาเล่าเป็นเวลาสิบวันของทุกเดือน หากดึงดูดลูกค้าได้จะให้ค่าเดินทางเขาหนึ่งก้อน ให้เขาเดินทางเข้าเมืองได้เร็วขึ้น”
เหยาซูฟังถึงตรงนี้ก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่เหมาะสม
เถ้าแก่จางรีบพูดต่อว่า “ตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เขาเล่าไปสิบรอบแล้ว วันนี้มาบอกขอลาออกกับข้า ข้าตั้งใจจะจ่ายให้เขาหนึ่งตำลึง แต่บัณฑิตดื้อรั้นผู้นี้ ไม่ยอมรับท่าเดียว!”
อวี๋จือรีบโบกมือและพูดกับเหยาซูว่า “ไม่ใช่แบบนี้นะ หลายวันมานี้เถ้าแก่จางให้ข้าวให้น้ำข้ามาตลอด จ่ายเงินให้ข้าก็ไม่น้อย อีกอย่างตามที่ตกลงกันไว้ในตอนนั้น ข้าต้องเล่าให้ครบหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้เพิ่งเล่าไปได้ไม่กี่สิบวันจะรับเงินของเขาได้อย่างไรล่ะ?”
เหยาซูได้ยินดังนั้น เส้นสีดำแห่งความจนปัญญาก็พลันปรากฏขึ้นใบหน้า รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจอวี๋จือว่ามีอะไรบรรจุอยู่ในสมองบ้าง
นางมองไปยังบัณฑิตน้อยพลางถามว่า “เจ้าเล่าครบสิบครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วไม่รับเงินเเช่นนี้ จะเอาค่าเดินทางจากไหนเดินทางไปเมืองหลวงเล่า? เจ้าคิดแต่จะใช้เงินระหว่างทางงั้นหรือ ถึงเมืองหลวงแล้ว ค่าที่พัก ค่าข้าว ไม่ต้องใช้เงินเลยหรืออย่างไร?”
อวี๋จือพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ก็…ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เอา แต่หนึ่งตำลึงนั้นมันมากเกินไป”
เถ้าแก่จางมองไปทางเหยาซู พลางโบกมือไปมา “เจ้าดูสิ! แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร?”
เหยาซูยิ้มปลอบใจเถ้าแก่จางและเริ่มโน้มน้าวอวี๋จืออีกครั้ง “เถ้าแก่จางเป็นคนใจกว้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ากำลังผิดหวังท้อใจ ให้เจ้ามาเป็นนักเล่าเรื่องในร้านน้ำชาเช่นนี้? ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเขาอยากช่วยเจ้า เมื่อถึงคราวเจ้าต้องได้รับผลประโยชน์ กลับไม่ซาบซึ้งน้ำใจเสียอย่างนั้น? ทั้งยังคิดหยุมหยิมกับอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”
เถ้าแก่จางไม่ถนัดเรื่องการพูด ได้ยินคำพูดของเหยาซูก็พยักหน้าหงึกหงัก “แม่สาวน้อย ความหมายนี้เลยที่ข้าต้องการจะบอก!”
อวี๋จือยังคงดื้อรั้น “แต่ไม่ออกแรงก็ไม่ควรได้ค่าตอบแทน เถ้าแก่จางช่วยข้าไว้ตั้งมากมาย หากข้ารับเงินเหล่านี้ของเถ้าแก่อีก ในใจของข้าก็ยิ่งลำบากใจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ…”
เหยาซูหมดความอดทนจึงก็พูดกับบัณฑิตว่า “หากเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็แค่ทบทวนบทเรียน จะได้เข้าเมืองโดยเร็ว จากนั้นก็สอบขุนนาง แล้วค่อยมาหาเถ้าแก่จางในเมืองชิงถง ตอบแทนพระคุณในเงินก้อนนี้ เจ้าเป็นนักเล่าเรื่อง จริงอยู่ที่มันไม่ได้ถูกเขียนอยู่ในตำราแต่ก็เป็นเรื่องเล่าที่ชนรุ่นหลังควรสรรเสริญยกย่อง”
เถ้าแก่จางได้พูดอยู่ข้าง ๆ “ถูกต้อง ๆ พูดได้ถูกต้องที่สุด”
เห็นครั้งแรกก็รู้ทันทีว่าอวี๋จือเป็นคนเรียนไม่เก่ง หัวรั้นเป็นที่สุด เมื่อได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
เขาอดพยักหน้าไม่ได้ พลางกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ “เถ้าแก่จางมีจิตใจที่กล้าหาญ อวี๋จือจะไม่มีวันลืม!”
เถ้าแก่จางเห็นดังนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด เลื่อนเงินหนึ่งตำลึงที่ผลักไปผลักมาวางลงในมือของบัณฑิต และพูดว่า “เจ้าลืมหรือไม่ลืมไม่สำคัญ แต่ในสิบวันนี้ เจ้าสร้างบรรยากาศให้แก่ร้านน้ำชาของเราไม่น้อย ไปสอบดี ๆ ล่ะ! วันข้างหน้าหากสอบจอหงวนได้ ร้านน้ำชาของเราจะได้อาศัยบารมี เป็นร้านน้ำที่บัณฑิตจอหงวนเคยเป็นนักเล่าเรื่องมาก่อน…”
พูดพลางหัวเราะอย่างสบายใจ เขาตบไปบนไหล่ของอวี๋จือจนเกือบทำให้เขาร่างกายชาไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ทั้งสามคนยังพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นเหยาซูก็พาอวี๋จือออกจากร้านน้ำชาและมาสบทบกับหลินเหรา
………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นบัณฑิตที่ซื่อตรงมาก เขาให้เงินเยอะขนาดนั้นก็รับไว้เถอะค่ะ
ไหหม่า(海馬)