ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 105 ข้าไม่ใช่นักส่งสาร พี่ชายต่างหากเล่า
หลินเหราเห็นใบหน้าที่งดงามของเหยาซูบึ้งตึงและแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็คงหยุดกลางคันไม่ได้ จึงทำได้แค่พูดต่อว่า “เรื่องย้ายบ้านก็เช่นกัน… เอ้อเป่าและซานเป่ายังเด็ก ทั้งอาซือยังเป็นเด็กผู้หญิง จะคิดมากแทนพวกเขาย่อมได้ แต่อาจื้อเป็นพี่ชายคนโตไม่จำเป็นต้องตามใจมากขนาดนั้น”
ตั้งแต่เล็กจนโตเหยาซูไม่เคยพ่ายแพ้ในการโต้เถียงกับใคร ทั้งยังเคยชินกับการกระทำไร้เหตุผลอีกด้วย
นางส่งเสียง ‘หึ’ เย็นชา “ไม่อยากขนย้ายข้าวของมากนักก็พูดตรง ๆ สิ ขนย้ายสิ่งของของเด็ก ๆ ไปด้วยถือว่าตามใจอย่างไร?”
หลินเหรารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “อาซู ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น เจ้าอย่าเอามาปนกันสิ”
เหยาซูพยักหน้าและพูดว่า “ก็ได้ ข้าไม่สนใจว่าท่านจะหมายความว่าอย่างไร จะอยากขนย้ายก็ดี ไม่อยากขนย้ายก็ดี แต่เรื่องที่ท่านกล่าวหาข้าว่ารักลูกเกินไป หลินเหรา ท่านอยากเป็นพ่อที่เข้มงวดข้าไม่เคยขัดขวางท่าน แต่ท่านได้โปรดอย่ามาแสดงความคิดเห็นในวิธีการเลี้ยงลูกของข้า”
ใบหน้าอันงดงามของนางพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นตรง นอกจากรอยยิ้มแล้วหลินเหราไม่ปรารถนาจะเห็นอารมณ์ในด้านอื่นบนใบหน้าของเหยาซูเลย
เขายอมถอยหนึ่งก้าวพลางปลอบโยนผู้เป็นภรรยาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อาซู ข้าไม่ได้แสดงความคิดเห็น…”
เหยาซูมองออกว่าเขาอยากประนีประนอมเพื่อยุติความขัดแย้ง จึงยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “ไม่แสดงความคิดเห็นแล้วหมายความว่าอย่างไร? หลินเหรา ข้ารู้ว่าท่านอยากเลี้ยงดูอาจื้อให้กลายเป็นคนที่กล้าหาญหนักแน่นเหมือนกับท่าน ท่านคาดหวังในตัวเขามาก ข้าย่อมไม่คัดค้าน! แต่ในฐานะคนเป็นแม่ ข้าขอแค่เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แข็งแรง เติบโตได้อย่างเป็นสุข! หากท่านไม่คุ้นชินในวิธีการเลี้ยงลูกของข้า เราจะฝืนกันไปด้วยเหตุใด จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทำไม?”
หลินเหราได้ยินประโยคนี้ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยือกในทันใดอย่างเข้าใจเป็นในอีกความหมายหนึ่ง “พูดกันมาตั้งนาน เจ้าอยากหย่ากับข้างั้นหรือ?”
เหยาซูไม่หลบสายตาของเขาแต่กลับพูดต่อ “หลินเหรา ระหว่างเรามันมีปัญหากัน ท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เหตุใดจะต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับปัญหาเหล่านี้ด้วย?”
ชายหนุ่มข่มโทสะที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำนั้นและยังพยายามควบคุมมันไว้ “เจ้าอยากเป็นแม่ผู้เมตตา ข้าก็ไม่ขวาง ยังไม่พอใจอีกหรือไร?”
พูดถึงตรงนี้ เหยาซูก็ยังไม่ลดละความพยายาม
นางเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง แม้ว่าจะต้องเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสามอย่างยากลำบากเพียงลำพัง หญิงสาวก็ยังจัดการเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี
เมื่อใช้ชีวิตเพียงลำพัง เหยาซูสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทว่าในตอนนี้เมื่อมีหลินเหราเข้ามาในชีวิต แม้ว่านางจะบอกกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าให้ลองยอมรับ แต่กลับยังเกิดปัญหาหลากหลายไม่เว้นแต่ละวัน
เหยาซูเม้มปากแน่นไม่เอ่ยคำใด
เมื่อหลินเหราสงบสติอารมณ์ได้ ก็พยายามพาตัวเองที่มีเหตุผลที่สุดเผชิญหน้ากับการทะเลาะของทั้งสองคน
ชายหนุ่มเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวและพูดกับเหยาซูว่า “อาซู เรื่องที่ข้าทำไม่ดี หรือตรงไหนที่เจ้าไม่ชอบ เจ้าพูดออกมาได้อย่างชัดเจน หลังจากฟังแล้วข้าจะมองเห็นจุดบกพร่องเอง แต่เหตุใดเมื่อเป็นข้า ข้าถึงพูดกับเจ้าไม่ได้สักคำ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของนางที่ดูผ่อนคลายลงจึงพยายามพูดต่ออย่างไม่ลดละ “เมื่อครู่ข้าไม่ได้จะกล่าวหาเจ้า เพียงรู้สึกว่าวิธีการของเจ้ามันสวนทางกับความคิดของข้า หากเจ้ายอมรับจุดยืนของข้าไม่ได้ ก็ช่างมันเถิด เหตุใดจะต้องโกรธด้วยเล่า?”
เหยาซูเป็นฝ่ายชวนทะเลาะเพื่อเอาชนะมาโดยตลอด แต่ไม่รู้เหตุใดครั้งนี้การยอมหลีกทางของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้นางรู้สึกชนะเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ
หญิงสาวไม่รู้ว่าความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร บางทีอาจจะเป็นเพราะคนรักที่ชอบทะเลาะกันได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเป็นคนที่ได้ครอบครองมุมพิเศษในใจของนาง
แม้จะไม่อยากยอมรับ ทว่าหลินเหราก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคนพิเศษคนนั้นในใจของนาง
พิเศษถึงขั้นที่ว่าเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่พอใจของเขา ก็ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในความรู้สึกบางอย่างที่ไม่มีเหตุผล
เหยาซูพลันกัดริมฝีปาก “ให้ท้ายลูกมีค่าเท่ากับฆ่าลูก ท่านบอกเองว่าข้ารักลูกเกินไป สิ่งนี้ไม่ถือว่ากล่าวหาอีกหรือ?”
ท่าทีที่อ่อนลงของผู้เป็นภรรยา ทำให้หลินเหราเห็นถึงบาดแผลบางส่วนที่ซ่อนอยู่…
ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าคำพูดของเขานั้นอาจร้ายแรงเกินไปจริง ๆ จนทำให้ในใจของเหยาซูไม่สบายใจ
หลินเหราพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ไม่ใช่รักมากเกินไปหรอก เจ้าไม่ได้รักพวกเขามากไป เจ้าดูแลลูก ๆ ทั้งสามคนอย่างดี เป็นข้าเองที่พูดผิดไป”
สายตาที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงราวกับมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของเขากำลังจ้องเขม็งไปทางเหยาซู ดึงดูดให้นางหลงใหลในความงดงามของดวงดาวที่กำลังเปล่งแสง
เหยาซูเมินหน้าไปทางอื่นและพูดว่า “เมื่อครู่ท่านโกรธ ข้ารู้ดี”
หลินเหราเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของเหยาซู ในใจก็ยิ่งรู้สึกหลงรักนางมากขึ้น
จู่ ๆ ก็มีเปลวไฟที่ปั่นป่วนและวูบไหวอย่างต่อเนื่องพุ่งเข้ามาปะทะหน้าอกของเขา แผดเผาทั้งสติปัญญาและลมหายใจของเขา โดยไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างไร
เขาแอบเกลียดตัวเองที่ทำสีหน้าไม่ดีและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชากับนางเมื่อครู่
เขาพูดด้วยความเสียใจว่า “เป็น…ข้าเองที่ได้ยินว่าเจ้าไม่ต้องการอยู่ด้วยกัน จึงควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ อาซู เจ้าให้อภัยข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่?”
หญิงสาวก้มหน้าลง นัยน์ตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวด แต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็น
หลินเหราสังเกตสีหน้าของเหยาซูมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ รอยสีแดงอันสดใสที่แต่งแต้มอยู่บนหางตาของนาง ขับให้ทั่วทั้งใบหน้าดูอ่อนหวานและงดงาม ระหว่างที่ในใจรู้สึกผิดนั้น กลับกระตุ้นอากัปกิริยาแปลกประหลาดบางอย่าง
เขาเดินขึ้นหน้าอีกหนึ่งก้าวยื่นแขนออกมา ชายหนุ่มดึงเหยาซูเข้ามาในอ้อมแขนตามความปรารถนาของตนเอง ทว่ากลับได้ยินเสียงแม่เฒ่าเหยาดังมาจากหน้าประตู “อาซู อาเหรา? เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ลมหายใจของฝ่ายชายรดบนศีรษะของเหยาซู แต่ทันทีที่หญิงสาวได้ยินเสียงผู้เป็นมารดาจึงเบี่ยงตัวออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปยังแม่เฒ่าเหยาที่ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูด้วยสายตางงงวย ใบหน้าค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ท่านแม่ ท่าน…ท่านออกมาทำไมเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าเหยากำลังคิดว่าตัวเองนั้นมาในช่วงเวลาที่ไม่สมควร พลางตอบรับกลับไป “เมื่อครู่ได้ยินเอ้อหลางบอกว่าพวกเจ้าสองคนมาแล้ว แต่ยังไม่เห็นว่าเข้าบ้าน…”
เหยาซูกระแอมเล็กน้อย “อื้อ พอดีมีเรื่องต้องคุยกันเล็กน้อย กำลังจะเข้าไปพอดีเจ้าค่ะ”
ถือโอกาสในตอนที่ผู้เป็นแม่หมุนตัว เหยาซูจึงหันกลับมาถลึงตาใส่หลินเหรา
เพียงแต่ใบหน้าแดงระเรื่องดงามของนางในยามนี้ทำให้การถลึงตาไม่ได้ดูดุดันเท่าใดนัก ทว่ารอยแต้มสีแดงอันสดใสราวกับชาดบริเวณหางตาของหญิงสาวก็นำมาซึ่งจิตสังหารแก่ผู้อื่นด้วย
หลินเหราตามทั้งสองคนเข้าไป พลางหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา
หลังจากที่ทั้งสองคนตามนางเหยาเข้ามาในบ้านแล้ว ก็เห็นซานเป่านั่งอยู่บนเตียง กำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่กับอาซือ
เหยาซูนั่งลงข้างแม่เฒ่าเหยา ส่วนหลินเหราก็นั่งลงข้างเด็ก ๆ ทั้งสองคน
อาซือกลอกตาและคลานเข้ามาข้างกายของหลินเหรา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนถามเขาเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่ทะเลาะกันใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เด็กน้อยคิดว่าเสียงของตัวเองเบามาก ทว่าในห้องนอกจากซานเป่าที่ยังไม่รู้ความแล้ว คนข้างกายต่างได้ยินกันทั้งหมด
เหยาซูแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกลับได้ยินหลินเหราพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “พ่อเจ้าพูดไม่เป็น เมื่อครู่ก็เลยยั่วโมโหแม่ของเจ้าจนโกรธ”
เด็กน้อยเบิกตากว้างอย่างโง่เขลาและถามอีกว่า “งั้นท่านพ่อปลอบท่านแม่แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินเหรามองไปทางเหยาซูแวบหนึ่ง พลางโอบกอดลูกสาวตัวน้อย กระตุกมุมปากพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว นักส่งสารตัวน้อยอย่างเจ้าไปแอบฟังบทสนทนาของพ่อและแม่เจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน”
อาซือหัวเราะ ‘ฮ่า ฮ่า’ ออกมา และประท้วงขึ้น “ข้าไม่ใช่นักส่งสาร พี่ชายต่างหากเจ้าค่ะ! เขาบอกข้า”
เมื่อครู่อาจื้อเห็นญาติผู้พี่เดินเข้ามา จึงใส่รองเท้าตั้งใจจะออกไปต้อนรับท่านพ่อและท่านแม่หน้าประตูบ้าน กลับได้ยินทั้งสองคนทะเลาะกันพอดี
เขาจึงรอให้ทั้งสองคนทะเลาะกันเสร็จอยู่เงียบ ๆ แล้วค่อยปรากฏตัว แต่เท่าที่ฟังทั้งหมดกลับได้ยินเพียงแค่สองคำ ‘หย่ากัน’ จากนั้นก็วิ่งกลับเข้ามาในบ้าน รายงานให้ท่านยายฟัง
หญิงชราไม่เข้าใจ ในตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูลานบ้านนั้น ทั้งสองคนก็เหมือนจะคืนดีกันแล้ว
……………………………………
สารจากผู้แปล
สามีภรรยาก็เหมือนลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่อย่าให้อารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบทำลายความสัมพันธ์ต่อกันเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)