ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 107 เจ้ายังคิดจะดื่มเลือดสาบานอีกหรือ
สะใภ้รองเหยารู้สึกไม่ดีที่ต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าลูกชาย จึงใช้ไหล่เสื้อของเขาเช็ดน้ำตาอยู่เงียบ ๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “เอ้อหลาง วันข้างหน้าแม่จะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว พ่อเจ้าพูดถูก แม้ว่าเจ้าจะไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่หลักเหตุผลที่ควรรู้ ความรู้ที่ควรมี ก็ล้วนต้องเข้าใจทั้งสิ้น แม้ว่าจะเก่งสู้คนภายนอกไม่ได้ แต่วันข้างหน้าหากเจ้าไม่ต้องการสอบขุนนาง ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จนแตกฉานถึงขนาดนั้น”
เหยาเอ้อหลางไม่เข้าใจสิ่งอื่นใด แต่เข้าใจในสิ่งที่มารดาของเขาบอกว่าวันข้างหน้าไม่ต้องให้เขาเรียนแล้วก็ได้ จึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ รู้สึกว่าการโดนตีครั้งนี้ไม่สูญเปล่า
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไร้อนาคตของลูกชาย สะใภ้รองเหยาก็ทั้งจนปัญญา ทั้งอยากจะโกรธ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจยาว ๆ “เจ้าเด็กคนนี้ ถอดแบบมาจากพ่อของเจ้าไม่มีผิด ยั่วโมโหได้เก่งที่สุด!”
เหยาเอ้อหลางหัวเราะ “ฮิฮิ” พลางพูดอย่างมีแก่นสารว่า “ข้าแค่ยั่วโมโห แต่ท่านพ่อนอกจากจะทำให้ท่านแม่โกรธแล้ว ยังปลอบให้ท่านมีความสุขมากเป็นพิเศษอีกด้วยขอรับ”
สะใภ้รองเหยาใช้นิ้วมือดีดไปบนหน้าผากของลูกชาย และพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “เจ้ามันปีศาจน้อย รู้มากยิ่งนัก!”
เอ้อหลางหัวเราะออกมาอีกครั้ง สะใภ้รองเหยาจึงได้จ้องเขม็ง ราวกับเห็นท่าทางตลบตะแลงของเหยาเฉาไม่ผิดเพี้ยน ในใจก็อดคิดอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้
ท่าทางในตอนนี้ของเอ้อหลาง เหมือนกับในวัยเด็กของเหยาเฉาอย่างนั้นหรือ?
นางหยิบยาขี้ผึ้งออกมาจากในตู้ จากนั้นก็ทาลงบนแผ่นหลังที่ได้รับบาดเจ็บให้แก่เอ้อหลางอย่างละเมียดละไม พลางรำพึงรำพันว่า “วันข้างหน้าอย่าทำให้แม่เป็นห่วงอีก เข้าใจหรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางก็พลันคิดว่ามารดาของตนจะพูดเรื่องที่เขาไม่ยอมเรียนหนังสือ จึงเกิดความลังเล ก่อนจะพูดด้วยเสียงอู้อี้ราวกับเสียงยุงบิน “ท่านแม่ ท่านบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าจะไม่สนใจหากข้าจะไม่เรียนหนังสือ…”
สะใภ้รองเหยาใช้มือสะอาดบิดเนื้อบริเวณที่ไม่บาดเจ็บบนแผ่นหลังของเขา พร้อมกับถลึงตาใส่ “ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดหาเรื่องเจ็บตัว! อย่าให้ข้าต้องมานั่งทายาให้เจ้าทุกวันจนมือเหม็นยาไปหมดเช่นนี้!”
ที่ถืออยู่ในมือของนางก็คือยาขี้ผึ้งที่หลางจงเตรียมไว้ บรรเทาอาการบวมช้ำและห้ามเลือดได้ดี เพียงแต่กลิ่นและสีนั้นไม่น่าอภิรมย์เลยจริง ๆ
เหยาเอ้อหลางเคยชินกับการโดนตีแล้ว เด็กน้อยรู้สึกว่าบาดแผลเล็ก ๆ ที่ได้รับนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ ไม่จำเป็นต้องทาของเหล่านี้ แต่ก็กลัวว่าหากตัวเองพูดออกไปจะยั่วโมโหให้ท่านแม่โกรธอีก จึงทำได้แค่เลียนแบบท่าทางที่เหยาเฉาเคยใช้ปลอบใจภรรยา มาปลอบใจท่านแม่ของตน “ท่านแม่ ข้ารู้ผิดไปแล้ว ต่อไปจะปรับปรุงแก้ไข”
สะใภ้รองเหยาอยู่ระดับไหน ไฉนเลยจะยอมถูกอุบายเล็ก ๆ ของเขาหลอกได้กันเล่า? ทันทีที่เห็นก็รู้ทันทีว่าเลียนแบบมาจากเหยาเฉา
แม้จะรู้ว่าลูกชายเป็นเด็กเจ้าแผนการ สะใภ้รองเหยากลับอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ก่อนจะบ่นว่า “เลียนแบบสิ่งดี ๆ ของบิดาเจ้าก็พอ อย่าเลียนแบบความกะล่อนโดยนิสัยของเขาแล้วกัน”
เหยาเอ้อหลางเห็นท่านแม่ยิ้มได้ในที่สุด จึงโห่ร้องอยู่ในใจว่าวิธีการของท่านพ่อได้ผล
ความขัดแย้งระหว่างสองแม่ลูกได้รับการแก้ไขแล้ว เหยาต้าหลางและอาจื้อที่แอบฟังอยู่ข้างนอกก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เหยาต้าหลางโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้ญาติผู้น้อง ทั้งสองคนถือโอกาสเดินเลียบไปตามเชิงกำแพงและกลับเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง
อาจื้อทอดถอนใจเบา ๆ “พี่รองเก่งมากที่ปลอบท่านป้าสะใภ้ให้หายโกรธได้!”
เหยาต้าหลางพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน “เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก เจ้าไม่เคยเห็นน่ะสิว่าปกติแล้วอารองปลอบอาสะใภ้รองอย่างไร อยากให้ท่านอาเลียนแบบบ้างจัง วันข้างหน้าพ่อและแม่ของเจ้าจะได้ไม่พลั้งปากพูดว่าเลิกกันอีก”
อาจื้อหูผึ่งทันใด คิดจะเลียนแบบความสำเร็จของผู้อื่นอยู่ในใจ แต่กลับต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน และพูดอย่างจนปัญญา “พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้บอกกล่าวกับท่านเลย ช่วงนี้ท่านพ่อและท่านแม่กำลังหารือกัน ว่าจะย้ายไปอยู่ในเมือง…”
เหยาต้าหลางพูดขึ้นด้วยความตื่นตกใจ “ย้ายไปในเมือง? ทำไมล่ะ?”
เดิมทีอาจื้อกระตือรือร้นที่จะได้ย้ายบ้าน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับญาติผู้พี่นั้นดีมาก เมื่อนึกถึงวันที่พวกเขาต้องแยกจากกัน ก็เริ่มเศร้าหมองขึ้นมา
“อื้อ… ท่านพ่อของข้าต้องไปรับตำแหน่งอยู่ในจวนตรวจการ จึงอยากให้ท่านแม่และพวกเราย้ายไปในเมืองด้วยกัน”
เหยาต้าหลางไม่เข้าใจ จึงได้แต่เกาศีรษะ “อารองก็ได้รับตำแหน่งอยู่ในจวนตรวจการเช่นกัน แต่อาสะใภ้รองและญาติผู้น้องก็ยังอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยาเลย!”
อาจื้อกลับส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าเหยาต้าหลางก็ตาม แต่กลับมองเรื่องราวได้กระจ่างชัด “ไม่เหมือนกัน ลุงใหญ่ ลุงรองและท่านป้าสะใภ้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกันเป็นธรรมดา”
เหยาต้าหลางอดนึกถึงตอนที่ท่านอาพาลูกมาอยู่ในบ้านตระกูลเหยาเมื่อหลายเดือนก่อนไม่ได้ ในหมู่บ้านมีข่าวซุบซิบนินทาเกิดขึ้นมากมาย จึงเข้าใจทันที
เขาไม่เคยเห็นท่านอาเป็นคนนอก ได้แต่พูดอย่างหดหู่ใจว่า “เห็น ๆ อยู่ว่าเราเองก็เป็นครอบครัวเดียวกัน…”
อาจื้อยิ้มพลางโอบไหล่ของเหยาต้าหลาง “พี่ใหญ่ ข้ารู้เจตนาของท่าน แม้ว่าข้า น้องชายและน้องสาวจะย้ายไปอยู่ในเมือง วันข้างหน้าเราก็ยังอยู่ด้วยกันได้นี่! วันหยุดท่านกับพี่รองก็มาเที่ยวเล่นในเมืองสิ มาพักบ้านเราก็ได้ ดีจะตายไป!”
เหยาต้าหลางกลับพูดว่า “แต่นับจากนี้เราจะไม่ได้อ่านหนังสือด้วยกันแล้ว”
เด็กทั้งสองคนอ่านหนังสือด้วยกัน ต่างให้กำลังใจกันและกัน ก้าวหน้าร่วมกันมาโดยตลอด อีกทั้งเหยาต้าหลางนอกจากตัวเองที่เติบโตมาพร้อมกับญาติผู้น้องตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ยังไม่เคยมีเพื่อนเล่นที่ทั้งฉลาดทั้งปราดเปรียวเหมือนญาติผู้น้องมาก่อน
เมื่อได้ยินว่าต้องจากกันกะทันหัน ในใจของเหยาต้าหลางจึงไม่ยอมลูกเดียว
อาจื้ออายุยังน้อย แต่กลับมีทัศนคติที่ดี จึงได้แต่ปลอบโยนเขา “มีพบก็ต้องมีจากเป็นเรื่องธรรมดา ลุงใหญ่ก็เคยพูดถึงบทกวีสรรเสริญการลาจากให้พวกเราฟังไม่ใช่หรือ? ขอแค่ใจยังคงระลึกถึงอีกฝ่าย เราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
เหยาต้าหลางเติบโตมาพร้อมกับญาติผู้น้องที่มีนิสัยไม่ยี่หระตั้งแต่เด็ก ๆ เอ้อหลางก็ไม่เคยมีความคิดที่ละเอียดอ่อนเฉกเช่นอาจื้อ
เขาซาบซึ้งใจในทันที จากนั้นก็แสดงความคิดเห็นหนึ่งออกไป “อาจื้อ เราเรียกเอ้อหลางไปสาบานเป็นพี่น้องร่วมกันเถอะ!”
อาจื้อตะลึงงันไปชั่วครู่ “สาบาน? สาบานมีแต่จากสหายกลายเป็นพี่น้องต่างสกุลกัน… เดิมทีเราก็เป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องสาบานอีกเล่า?”
เด็กผู้ชายอายุเท่านี้ มักจะผุดความคิดแปลกประหลาดมากมายขึ้นมาในสมองตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเหยาต้าหลางจะเป็นพี่ชายที่ค่อนข้างสุขุม แต่กลับมีช่วงเวลาที่เลือดร้อนเช่นกัน “ข้ารู้! แต่เราไม่เหมือนกัน! ในร่างกายของเรามีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ ไม่ต้องดื่มเลือดร่วมสาบาน แค่ก้มศีรษะคำนับต่อสวรรค์เบื้องบน พิสูจน์ว่าเราจะเป็นพี่น้องกันชั่วชีวิตก็พอ!”
ปากของอาจื้อพลันอ้ากว้าง กว้างชนิดที่ว่ายัดไข่ไก่ได้ทั้งฟอง “เจ้ายังคิดจะดื่มเลือดร่วมสาบานอีกหรือ?!”
โชคดีที่ญาติผู้พี่ยกเลิกความคิดนี้ไป อาจื้อไม่อยากเลียนแบบคนที่สาบานเป็นพี่น้องเหล่านั้น เรื่องกรีดข้อมือนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แถมยังต้องดื่มเลือดของกันและกันอีกด้วย…..
เหยาต้าหลางได้รับอิทธิพลความกล้าหาญและยุติธรรมมาจากเหยาเอ้อหลางไม่มากก็น้อย ในสมองล้วนมีแต่สิ่งที่เรียกว่า ‘กฎ’ ของการเดินทางท่องโลกกว้าง เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “สาบานเป็นพี่น้องค่อนข้างซับซ้อน โอกาสและความสะดวกจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ยังต้องใช้วันเกิดของทั้งสามคน เมื่อคำนวณฤกษ์งามยามดีแล้ว ก็นำเครื่องบรรณาการไปเซ่นไหว้ต่อเทพ…”
อาจื้อได้ยินถึงกับปวดหัว ไม่คิดว่าลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนจะสร้างเรื่องได้มากขนาดนี้ เขานำความคิดนี้ของเหยาต้าหลางเก็บใส่ลิ้นชักไป ไม่เช่นนั้นหากให้เหยาเอ้อหลางรู้เข้า พวกเขาสองคนจะต้องร่วมมือกัน ถึงคราวนั้นเรื่องนี้ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
เขามีความคิดที่ยอดเยี่ยมความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา จึงพยักหน้ายอมรับและพูดว่า “ท่านพี่ ท่านรู้วันเกิดของข้าใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องกลับไปถามจากท่านแม่”
เหยาต้าหลางนิ่งงันไป “เอ่อ ข้าเองก็ไม่รู้…”
อาจื้อยิ้มพลางพูดว่า “งั้นเราไปถามกันเถอะ!
เหย้าต้าหลางรีบลุกขึ้น จูงมือของญาติผู้น้อง เร่งรัดเขา “ไป ๆ ไปถามกัน!”
อาจื้อเดินตามเขาออกไปนอกห้อง พร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ หากเรื่องเหลวไหลอย่าง ‘สาบานเป็นพี่น้อง’ รู้ถึงหูผู้ใหญ่จะต้องทำไม่ได้เป็นแน่
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอ็นดูเจ้าเด็กพวกนี้จังค่ะ อยากเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแต่ไม่อยากกรีดมือดื่มเลือด
ไหหม่า(海馬)