ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 113 ท่านพี่อวี๋จือรูปงาม
เหยาซูรีบขวางพวกเขาไว้ ไม่มีกระจิตกระใจจะคิดว่าหลินเหรารู้ได้อย่างไรว่านางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน เพียงแค่พูดกับเด็กทั้งสองคนว่า “ช้าก่อน ไม่ต้องยกเข้ามา เดี๋ยวข้าลุกขึ้นไปเองดีกว่า! หม้อบนเตามันร้อนเกินไป พวกเจ้าสองคนอย่าได้คิดแตะมันเชียว”
อาจื้อส่ายหน้า ดวงตาสีดำแวววาวคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ “ท่านพ่อบอกว่า แค่เปิดฝาเท่านั้น มีผ้าฝ้ายรองอยู่หนึ่งชั้น ไม่มีทางลวกมือเด็ดขาด”
อาซือเองก็คล้อยตามเช่นกัน ใช้คำพูดที่ได้เรียนรู้มาพูดกับเหยาซูว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว สองวันที่ผ่านมาต้องเหนื่อยกับการย้ายบ้าน ท่านพ่อกำชับไว้ว่า วันนี้ท่านแม่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ! ข้ากับท่านพี่จะแสดงความกตัญญูต่อท่านแม่เอง!”
เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนต่างเอ่ยถึง ‘ท่านพ่อ’ ไม่รู้ว่าหลินเหรากรอกคำพูดที่ชวนหลงเชื่ออะไรให้พวกเขา ถึงทำให้อาจื้อและอาซือเชื่อฟังและปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นแม่ตามคำสั่งของเขาได้ถึงเพียงนี้
เหยาซูขบขันอยู่ในใจ กระทั่งมีความรู้สึกที่ยากจะพรรณนาถาโถมเข้ามา
ไม่เพียงแต่การเอาอกเอาใจของหลินเหราเท่านั้น ทั้งยังซาบซึ้งใจกับเด็กทั้งสองคนที่รู้ความอีกด้วย
สีหน้าของหญิงสาวพลันอ่อนโยนลง ก่อนจะพูดอย่างอบอุ่นว่า “เอาล่ะ วันนี้แม่จะพักผ่อนอย่างดี ที่เหลือคงต้องมอบหมายให้ต้าเป่าและเอ้อเป่าแล้วล่ะ”
เด็กทั้งสองคนพากันไปยกอาหารเช้ามาให้เหยาซูอย่างกระตือรือร้น นางจึงถือโอกาสนี้ ลูบผ้าอ้อมของซานเป่า เมื่อมั่นใจว่ายังแห้งสนิทไร้กังวล จึงสวมเสื้อตัวนอกและเดินไปล้างหน้าบ้วนปากในลานบ้าน
เมื่อนางล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ บนโต๊ะก็มีชาม ตะเกียบ และซาลาเปาหนึ่งเข่งเล็ก จัดวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย
เหยาซูประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเด็กทั้งสองคน “นี่…นี่พ่อของเจ้านึ่งซาลาเปาตั้งแต่เมื่อไร?”
อาซือส่ายหน้า อาจื้อกลับรู้อย่างชัดเจน “เมื่อวานตอนบ่ายท่านพ่อนวดแป้งไว้ บอกว่าท่านแม่อยากกินซาลาเปา ทั้งยังถามเราอีกว่าปกติแล้วที่บ้านมักจะกินไส้อะไรขอรับ”
ในขณะที่พูด เด็กผู้ชายตัวน้อยก็ตักข้าวต้มชามเล็กให้แก่เหยาซูด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง ชามที่มีข้าวต้มจนเต็มปริ่มนั้น ยังมีไอร้อนกรุ่นลอยออกมาไม่น้อย
มือเจ้าเนื้อน้อย ๆ ของอาซือคีบผักให้เหยาซู พลางใช้น้ำเสียงหวาน ๆ ของเด็กน้อยเรียกนาง “ท่านแม่ รีบกินสิเจ้าคะ”
เหยาซูยิ้มพร้อมกับพยักหน้า พลันรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ แต่ทุกครั้งที่มองเด็ก ๆ ใบหน้าของหลินเหราที่ดูละม้ายคล้ายคลึงกับพวกเขาก็พลันปรากฏอยู่ในสมองของเหยาซู เป็นความอบอุ่นในใจผสมผสานกับความเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด แต่กลับไม่รู้สึกลำบากใจ
เหยาซูคีบซาลาเปาขนาดเล็กลูกหนึ่งขึ้นมากัดเบา ๆ ส่งผลให้ความหอมหวานแตกซ่านภายในปาก
“อร่อยหรือไม่? อร่อยหรือไม่ขอรับ?” อาจื้อรีบถามขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและกังวล
แม้แต่อาซือเองก็ยังเบิกดวงตาที่สดใสกว้างขึ้น รอคอยปฏิกิริยาตอบสนองของเหยาซูอย่างใจจดใจจ่อ
ในใจของเหยาซูตื่นเต้นไม่น้อย ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “อร่อยที่สุดเลย ต้าเป่าและเอ้อเป่าช่วยท่านพ่อทำด้วยใช่หรือไม่?”
เด็กทั้งสองคนต่างพากันยิ้ม
อาจื้อพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “น้องช่วยท่านพ่อปั้นแป้งอยู่บนโต๊ะ ส่วนข้าช่วยท่านพ่อใส่ไส้! แล้วเราก็ห่อซาลาเปาด้วยกัน!”
ใบหน้าของเหยาซูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางพูดชื่นชมอย่างไม่มีปิดบังว่า “มิน่าล่ะวันนี้แม่รู้สึกว่าซาลาเปาลูกนี้อร่อยเป็นพิเศษ ที่แท้ต้าเป่าและเอ้อเป่าก็ทำด้วยกันนี่เอง ช่างเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ยิ่งนัก!”
เด็กน้อยชอบให้ผู้ใหญ่ชื่นชม การด่าเป็นสิบประโยค มิอาจต้านทานกำลังใจเพียงประโยคเดียวที่นำมาซึ่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่แก่พวกเขาได้
เมื่ออาซือและอาจื้อได้ยินคำพูดของเหยาซู ก็พากันตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก และเอาแต่พร่ำบอกว่าต่อไปจะช่วยทำอาหารอีก
เหยาซูยิ้มและพูดว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่ามีใจช่วยเหลือ พ่อและแม่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ตอนนี้พวกเจ้ายังเด็ก สามารถช่วยในสิ่งที่ทำได้ รอโตขึ้นอีกหน่อยค่อยช่วยทำอย่างอื่นดีหรือไม่?”
เด็กทั้งสองคนพากันตอบรับ
เมื่อเห็นเหยาซูกินซาลาเปาไปสองลูกแล้วหยุดกิน อาจื้อจึงเลื่อนจานไปตรงหน้าเหยาซู จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียนรู้มาจากผู้ใหญ่ว่า “ท่านแม่ ท่านต้องกินเยอะ ๆ นะเจ้าคะ ท่านพ่อบอกว่า ท่านแม่ลำบากมาก อีกทั้งยังกินน้อยจึงทำให้ซูบผอมเช่นนี้”
เหยาซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไฉนเลยนางถึงผอมลง?
แม้แต่อาซือก็ยังพยักหน้าและพูดว่า “ท่านพี่พูดถูก”
ในสายตาของหลินเหรา รูปร่างของเหยาซูถือว่าไม่ค่อยแข็งแรงนัก
เขาจะไม่อยู่บ้านสองสามวัน จึงกำชับเด็กทั้งสองคนอย่างละเอียด ราวกับกลัวว่าเหยาซูจะกินอาหารน้อยลง ทั้งยังสอนเด็กทั้งสองทำอาหารให้แม่ของพวกเขา
เหยาซูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเด็กทั้งสองคนได้ นางทำได้แค่คีบซาลาเปาหนึ่งลูกและกินมันอย่างช้า ๆ
อาหารเช้ามื้อนี้จบลง ท้ายที่สุดหญิงสาวได้กินอาหารมากกว่าตอนที่หลินเหราอยู่บ้านเสียอีก
เมื่อเหยาซูกินเสร็จ เด็กทั้งสองคนก็แย่งชามและตะเกียบไปเก็บ เหยาซูลูบท้องที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยของนางเนื่องจากกินเยอะ จากนั้นก็เอนกายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อยากจะขยับไปไหนชั่วคราว
เหยาซูครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ
หลินเหราต้องเดินทางยังไม่วายเรียกเด็ก ๆ มาทำโน่นทำนี่ คิดจะขุนนางให้อ้วนขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
……..
วันต่อมาในขณะที่เหยาซูและเด็ก ๆ กำลังอยู่อย่างสงบสุขนั้น อวี๋จือก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยม ทว่าในตอนที่รู้ว่าหลินเหราไม่อยู่บ้าน สีหน้ากลับเกิดความลังเลอย่างเห็นได้ชัด
เหยาซูยิ้มและกล่าวทักทายเขา “จะอะไรกันนักหนาเล่า พวกเด็ก ๆ ก็อยู่บ้าน เจ้าไม่เข้ามาทำความรู้จักสักหน่อยหรือ?”
อวี๋จือผู้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของการเป็นสุภาพบุรุษอย่างเคร่งครัด นับตั้งแต่ออกจากบ้านมาเป็นเวลาร่วมเดือน สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ว่าในชีวิตจริงนั้นต้องรู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์บ้าง
เมื่อเขาเห็นเหยาซูไม่ได้ถือสานัก จึงเดินตามนางเข้ามาในลานบ้านพลางพูดด้วยความเกรงใจว่า “แม่นางเหยา ข้าน้อยบุ่มบ่ามมาถึงบ้าน ต้องรบกวนแล้วขอรับ”
ความอ่อนเยาว์บนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่จางหายไป ทว่าทุกอิริยาบถล้วนดูสุภาพและอ่อนโยน มีท่าทีของความเป็นสุภาพบุรุษที่สง่างาม
เหยาซูเข้าใจนิสัยของอวี๋จือดี แม้จะเขาจะดูแข็งทื่อแต่แฝงไปด้วยความใจกว้าง ซึ่งนางไม่ได้รังเกียจเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวพาชายหนุ่มเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลางตะโกนเรียกเด็ก ๆ เสียงดัง “ต้าเป่า เอ้อเป่า มีแขกมาบ้าน!”
ในช่วงเช้าอาจื้อและอาซือต่างท่องบทเรียนที่ต้องจำของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว เวลานี้กำลังนั่งเล่นพันเชือกอยู่ข้างเตียง
นี่เป็นการละเล่นที่เด็กสาวตัวน้อยชื่นชอบเป็นที่สุด
ในตอนที่ได้ยินเสียงของเหยาซู อาซือกำลังพลิกเชือกมาในรูปแบบที่ค่อนข้างซับซ้อนพอดี จึงมองไปทางพี่ชายที่กำลังงุนงงไม่รู้จะแก้ปมเชือกนี้อย่างไรด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ทั้งยังถามเขาว่า “ให้ข้าสอนท่านหรือไม่ อยากให้ข้าสอนท่านหรือไม่ล่ะ?”
อาจื้อปวดหัวหนักมาก แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เมื่อได้ยินเสียงของเหยาซู ก็พรวดลุกขึ้นเหมือนกับลูกกระสุน ลากน้องสาวเดินออกไปข้างนอก “ไป ไป ไป เราต้องออกไปต้อนรับแขกก่อน! เดี๋ยวพี่จะกลับมาเล่นชดเชยให้กับเจ้า!”
อาซือตั้งใจจะรักษาเชือกมือในมือนี้ไว้ ทว่ากลับถูกอาจื้อทำพันยุ่งเหยิงและวางทิ้งไว้อยู่อีกด้าน
เด็กสาวตัวน้อยประท้วงขึ้น “ท่านพี่ ข้ายังเล่นไม่เสร็จเลยนะ!”
โอกาสสะบัดตัวหนีไม่ได้มีง่าย ๆ อาจื้อจะโง่ไม่คว้ามันไว้ได้อย่างไรเล่า เขาทำได้แค่พูดโน้มน้าวว่า “เดี๋ยวเรากลับมาเล่นทีหลัง กลับมาคราวนี้เจ้าก็พันเชือกให้เหมือนกับรูปแบบนั้น ให้ข้าแก้ปมก็ได้”
อาซือน้อยแยกน้ำเสียงที่เอ่ยแบบขอไปทีที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ไม่ได้ จึงได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ใส่รองเท้าตามอาจื้อไป
เด็กตัวที่ดูคล้ายกับหัวไชเท้าทั้งสองคนพากันเดินจับมือกันออกมา หลังจากมาถึงหน้าประตูได้ไม่นาน ก็เห็นเหยาซูพาชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีอ่อนผู้หนึ่งข้ามธรณีประตูเข้ามา เมื่ออาซือเห็นท่าทางของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน ดวงตาก็พลันเปล่งประกายทันใด
เหยาซูยิ้มพลางแนะนำให้อวี๋จือเด็กน้อยรู้จัก “นี่คืออาจื้อและอาซือที่ข้าเคยพูดถึงให้เจ้าฟังก่อนหน้านั้น คนหนึ่งอายุเจ็ดปี อีกคนอายุสี่ปี มีนามว่าต้าเป่าและเอ้อเป่า”
เด็กทั้งสองคนรวบรวมเอาจุดเด่นของเหยาซูและหลินเหราออกมาอย่างลงตัว ขาวเนียนและสะอาดสะอ้าน ดูน่ารักและน่าทะนุถนอมมากทีเดียว
อวี๋จือโน้มตัวลงมา จากนั้นก็ส่งยิ้มให้พวกเขา “ต้าเป่า เอ้อเป่า สวัสดี”
เหยาซูพูดกับเด็กทั้งสองคน “ท่านอาผู้นี้มีแซ่ว่าอวี๋ รีบทักทายท่านอาสิ”
อาจื้อกล่าวทักทายอย่างเชื่อฟัง “สวัสดีขอรับ ท่านอาอวี๋”
อาซือกลับกะพริบตาที่ดูสดใสแวววาวคู่นั้น จากนั้นใบหน้าน้อย ๆ ก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะทักทายด้วยเสียงบางเบา “สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านพี่”
สีหน้าของพวกผู้ใหญ่ตื่นตระหนกไปชั่วขณะ ส่วนอาจื้อคิดตามไม่ทัน เข้าใจเพียงว่าน้องสาวเรียกผิด จึงพูดคำที่ถูกต้องกับเธอว่า “เอ้อเป่า ควรเรียกว่าท่านอาสิ”
เด็กสาวตัวน้อยส่ายหน้า จากนั้นก็มองไปทางใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของอวี๋จือและพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ต้องเป็นท่านพี่สิ ท่านแม่เคยสอนไว้ว่าอายุมากให้เรียกท่านลุงท่านอา หากยังอายุน้อยให้เรียกว่าท่านพี่”
อาจื้อพูดอย่างอดทนว่า “ไม่ได้ยินที่ท่านแม่เพิ่งพูดหรือว่า ท่านอาอวี๋ ”
แม้แต่อวี๋จือเองก็มีสีหน้าจนปัญญา โน้มตัวลงมามองตาของเด็กสาวตัวน้อยและพูดกับนางว่า “อายุของข้าเท่าพ่อของเจ้าแล้ว ยังจะเรียกว่าพี่อีกหรือ?”
ปีนี้อวี๋จืออายุสิบเจ็ดปีแล้ว ตามธรรมเนียมโบราณสามารถแต่งงานออกเรือนได้ตั้งแต่อายุสิบสามปี หากบอกว่าเป็นพ่อของอาซือ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้…
เหยาซูสะบัดหน้ากำจัดความคิดที่สับสนวุ่นวายในสมอง
เธอดึงมือน้อย ๆ ของอาซือก่อนถามนางอย่างอดทนว่า “เอ้อเป่าบอกแม่มาสิ เพราะท่านอาอวี๋ยังดูอ่อนเยาว์ใช่หรือไม่ ถึงได้เรียกเขาว่าท่านพี่?”
เด็กน้อยอิงแอบแนบชิดเหยาซูด้วยความเขินอาย ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งและใช้อีกครึ่งหนึ่งมองไปทางอวี๋จือ “อือ … ก็ไม่เชิง เพราะท่านพี่รูปงาม”
ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงโปร่ง ไม่เพียงแต่ร่างกายที่งดงามไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เพราะต้องนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะมานานหลายปี ตรงกันข้ามในความซูบผอมนั้นยังแฝงไปด้วยบุคลิกภาพที่ดูสูงสง่าคล้ายกับต้นสนที่สูงชะลูดอีกด้วย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความคิดของอาซือ ส่วนที่หญิงสาวให้ความสนใจนั้น มีเพียงแค่หน้าตาที่ดูหล่อเหลาเป็นพิเศษของอวี๋จือเท่านั้น
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจอคนหล่อแล้วเขินเหรอคะอาซือ หรือพ่อหนุ่มหน้าหยกคนนี้จะมีบุคลิกคล้ายกับท่านลุงรองกันนะน้องเลยเขิน
ไหหม่า(海馬)