ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 114 ท่านอาอวี๋เจ๋งเป้งจริง ๆ
“ท่านพี่รูปงาม” ประโยคสี่พยางค์นี้ทำให้ในสมองของอวี๋จือสับสนไปชั่วขณะหนึ่ง แววตาของเขาสะท้อนความไม่เข้าใจ แต่กลับเหลือบไปเห็นเหยาซูหัวเราะ ‘ฮ่า ฮ่า’ ออกมา
“เอ้อเป่าหนอเอ้อเป่า สมแล้วที่เป็นลูกสาวแสนดีของแม่! อยากให้พี่อวี๋อุ้มเจ้าหรือไม่? หื้อ?”
ดวงตาของอาซือที่เดิมทีเปล่งประกายอยู่แล้วก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับมากขึ้นไปอีก แม้ว่าจะไม่พูดกล่าวสิ่งใด แต่ทั่วทั้งร่างกายกลับแสดงออกว่าอยากแทบขาดใจจนปิดเอาไว้ไม่มิด อวี๋จือเห็นดังนั้น ก็เดินก้าวเข้าไปอุ้มเด็กสาวตัวน้อยขึ้นมา
ในครอบครัวของเขาก็มีน้องสาวคนเล็ก จึงมักคุ้นเคยกับการอุ้มเด็กมากทีเดียว
เหยาซูยิ้มกว้างมากขึ้น ก่อนจะลูบปลายจมูกของอาซือเบา ๆ พร้อมพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าหนูน้อย เก่งจริง ๆ นะ!”
อวี๋จือไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเขินอายของเด็กสาวตัวน้อย กลับอดยิ้มออกมาไม่ได้
แขนที่ดูผอมบางของเขาได้ออกแรงกระชับร่างกายนุ่มนิ่มของเด็กหญิง ริมฝีปากบางกระตุกขึ้น ดวงตาคู่นั้นแวววาวดุจเครื่องแก้วหลิวหลีสีอ่อนภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์ จากนั้นก็หันกลับไปถามเหยาซูว่า “แม่นางเหยาหัวเราะทำไมหรือขอรับ?”
อาซือซบหน้าที่แดงก่ำลงไปบนไหล่ของอวี๋จือ ส่วนเหยาซูก็จูงมือของอาจื้อ พาอวี๋จือเข้าไปในบ้าน พลางอธิบายให้เขาฟังว่า “เอ้อเป่าของเราเชื่อฟังลุงรองเป็นที่สุด…เอ้อเป่า บอกสิ่งที่ลุงรองพูดกับเจ้า ให้พี่เจ้าฟังสักรอบได้หรือไม่?”
เด็กสาวตัวน้อยเงยหน้าขึ้น ในเวลานี้แก้มกลมปรากฏสีแดงระเรื่อ ช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก
นางพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านลุงรองบอกว่า เอ้อเป่าแต่งงานกับเขาไม่ได้ แต่งงานกับท่านพ่อไม่ได้ ทำได้แค่แต่งงานกับรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้น”
เด็กหญิงตัวน้อยไม่รู้ว่าอะไรคือแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ความเขินอายทั้งหมดของเด็กน้อยในตอนนี้มาจากการถูกพี่ชายรูปงามตรงหน้าโอบกอด เพราะเหตุนี้จึงพูดคำว่า ‘แต่งงาน’ ได้อย่างจริงจัง “ต่อไปข้าจะต้องแต่งงานกับคนที่รูปงามที่สุด! ท่านพี่อวี๋ก็รูปงามมากเช่นกัน!”
อวี๋จือที่กำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขน ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่แท้การโวยวายอยู่นานนั้น ก็เพื่อลดอายุให้เขาหนึ่งรุ่น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะเหตุผลเช่นนี้
อาจื้อที่อยู่อีกด้านถึงกับพูดไม่ออก คิดแต่จะหาเรื่องให้น้องสาวปวดหัวด้วยการถามว่า “หากวันข้างหน้าเจ้าได้เจอกับผู้ที่รูปงามยิ่งกว่าท่านอาอวี๋ของเจ้า จะทำอย่างไร?”
อาซือประท้วงขึ้น “ท่านพี่อวี๋ ไม่ใช่ท่านอาอวี๋!”
“ก็ได้ ๆ” อาจื้อยิ้มรับ “ท่านพี่อวี๋ก็ท่านพี่อวี๋ งั้นต่อไปหากมีชายหนุ่มรูปงามกว่าท่านพี่อวี๋มาสู่ขอเจ้าเป็นสะใภ้ละ เจ้าจะตอบตกลงหรือไม่?”
อาซือส่ายหน้าจริงจัง “ไม่แน่นอน! ข้าตอบตกลงพี่อวี๋ไปแล้ว”
อวี๋จือได้แต่จนปัญญา จากนั้นมองไปทางเหยาซูด้วยสายตาที่ไม่รู้จะทำอย่างไร คล้ายกับกำลังถามว่า ‘ข้าไปตกลงตั้งแต่เมื่อใดกัน?’
เหยาซูพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะสอนอาซือว่า “เอ้อเป่า เจ้าจะไม่ถามความเห็นจากท่านพี่อวี๋หน่อยหรือ? หากเขาไม่ตกลงขึ้นมาล่ะ?”
เด็กสาวตัวน้อยกลับมั่นใจในตัวเอง “ข้าคือเด็กน้อยที่น่ารักและงดงามที่สุดในโลกหล้า ท่านพี่อวี๋จะต้องตอบตกลงแน่นอนเจ้าค่ะ”
อาซือหันไปถามอวี๋จือ “ท่านพี่อวี๋ ท่านจะยินยอมมาสู่ขอข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ทันใดนั้นอวี๋จือก็หลุดหัวเราะออกมา แม้แต่เหยาซูก็ยังหัวเราะจนน้ำตารื้นตามขอบตา
สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความจนปัญญา จากนั้นก็พูดกับอวี๋จือโดยไม่ออกเสียงว่า ‘เด็กแค่ล้อเล่น ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก’
อวี๋จือไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่านิสัยของอาซือช่างน่ารักไร้เดียงสา จึงทำได้แค่คล้อยตามคำพูดของเด็กสาวตัวน้อยด้วยการพูดต่อว่า “รอเอ้อเป่าโตก่อน หากเจ้ายังอยากแต่งงานกับพี่ ค่อยมาถามคำถามนี้กับพี่อีกครั้งดีหรือไม่?”
อาซือไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องรอให้ตัวเองโตก่อน นางแค่อยากรู้คำตอบจึงถามต่ออีกว่า “แล้วท่านพี่อวี๋จะยอมหรือไม่ยอมล่ะเจ้าคะ?”
ไม่มีใครต้านทานความน่ารักของเด็กสาวได้ อวี๋จือเองก็ไม่อาจละเว้น
เขาพยักหน้าและพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ยอมแน่นอน”
อาซือร้องตะโกนด้วยความดีใจ จากนั้นก็โอบรอบคอของอวี๋จือแน่น
เด็กสาวตัวน้อยยังคงเบิกบานใจ แต่กลับไม่รู้ว่าในใจของพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองนั้นเกิดความคิดมากมายนับไม่ถ้วน เวลานี้กำลังเต็มไปด้วยความกังวล
อาจื้อดึงมือของเหยาซู กระทั่งรอให้เหยาซูโน้มตัวลงมาจึงพูดผู้เป็นมารดาด้วยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ รอให้น้องโต ท่านอาอวี๋ก็แก่ลงพอดี…”
น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการต่อต้านถูกซ่อนอยู่ในคำพูดที่ยังไม่จบดี เขาเป็นกังวลอย่างแท้จริง ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กทารก ยิ่งทำให้ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก
แค่ประโยคนี้ กลับทำให้เหยาซูอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
แม้ว่าในเวลาปกติอาจื้อจะดูสุขุมและน่าเชื่อถือมากเพียงใด แต่เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กวัยเจ็ดปีเศษเท่านั้น
ความคิดของเด็กนั้นง่ายแสนง่าย โลกของพวกเขาบางครั้งก็ดูขบขันในสายตาของผู้ใหญ่ แต่ควรค่าที่จะเข้าใจและได้ความเคารพจากผู้ใหญ่ทุกคน
เหยาซูใช้น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงเช่นกันมาปลอบใจเด็กชายที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ไม่เป็นไรหรอก ก่อนที่เอ้อเป่าจะโต เจ้าก็หาน้องเขยที่รูปงามยิ่งกว่าสักคนมาให้นางสิ ถึงตอนนั้นนางก็คงลืมท่านพี่อวี๋ในวันนี้ไปแล้ว…”
คำพูดนี้สมเหตุสมผลมาก อาจื้อพยักหน้าและครุ่นคิดบางอย่าง
อีกด้านหนึ่ง อาซือติดใจพี่ชายรูปงามยิ่งนัก ทั้งยังอ้อนวอนให้อวี๋จือมาเล่นพันเชือกเป็นเพื่อนนางอีกด้วย
อวี๋จือผู้น่าสงสาร ตั้งแต่เล็กจนโตเขาอ่านตำรานักปราชญ์ที่ยากจะเข้าใจได้โดยไร้ความกังวล แต่กลับต้องมาตกม้าตายให้กับการละเล่นที่เด็กผู้หญิงชอบเล่นนี้เสียได้
เล่นพันเชือก? มันคืออะไรกัน?
อาซือหยิบเชือกสีแดงที่เพิ่งเล่นกับอาจื้อเมื่อครู่ออกมาด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็สร้างออกมาเป็นรูปสะพานอย่างง่ายที่สุดบนมือเล็ก ๆ ของตัวเองและถามอวี๋จือว่า “ท่านพี่อวี๋ ท่านกลับเชือก!”
เด็กหนุ่มวางเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนลงข้างเตียง จากนั้นก็สังเกตรูปแบบสมมาตรตามรูปทรงบนมือของอาซืออย่างตั้งใจ ด้วยใบหน้าเหยเก
“นี่มัน…” สายตาวิงวอนของอวี๋จือได้ทอดมองไปยังเหยาซู ทว่ากลับเห็นนางได้แต่ยิ้ม จากนั้นก็เบือนหน้าไปมองเด็กทารกที่นอนอยู่บนเตียง
เมื่ออาซือเห็นเขาไม่ลงมือสักที จึงอดถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้ “ท่านพี่อวี๋ เหตุใดท่านถึงไม่กลับเชือกล่ะเจ้าคะ?”
อวี๋จือจำต้องทำ จึงนึกย้อนกลับไปยังการเคลื่อนไหวรวดเร็วปานโฉบบินบนนิ้วของเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อครู่ จากนั้นก็ใช้นิ้ววางลงบนเชือกอย่างงุ่มง่าม แต่กลับไม่รู้ว่าขั้นตอนต่อไปจะต้องทำอย่างไร
อาซือจึงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “ท่านพี่อวี๋ ไม่ใช่ว่าท่านเล่นพันเชือกไม่เป็นหรอกนะเจ้าคะ?”
อวี๋จือกระแอมออกมา จากนั้นก็พยักหน้า “อื้อ… พี่เล่นไม่เป็น”
ดูเหมือนการยอมรับก็ไม่ได้ยากเย็นถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นการละเล่นที่เด็กสาวตัวน้อยเล่น เขาเล่นไม่เป็นก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ?
อาซือไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างที่อวี๋จือจินตนาการไว้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งดีอกดีใจ จากนั้นก็พูดเร่งรัดเขาว่า “ท่านพี่อวี๋ ท่านใช้นิ้วจับสะพานนี้ไว้ ข้าจะสอนท่านเองว่าต้องกลับด้านอย่างไร!”
อวี๋จือต้องขอบคุณที่ทำ ‘สะพาน’ อย่างที่เด็กสาวตัวน้อยว่าไว้ไม่ได้
เชือกสองเส้นอย่างง่าย ๆ นี้ เรียกว่า ‘สะพาน’ งั้นหรือ? งั้นต้องเรียนรู้วิธีการสร้างสะพานที่ดูง่ายและหยาบนี้เสียหน่อยแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดความคิดที่ผุดขึ้นในใจเหล่านี้ออกมา แม้อวี๋จือจะบอกว่าไม่ใช่คนเก่งไปเสียทุกเรื่อง แต่กลับรู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยอย่างไร
เขาเรียนรู้จากนิ้วที่ยื่นออกมาของอาซืออย่างงุ่มง่าม ‘สะพาน’ ที่เดิมทีแขวนอยู่นิ้วมือของอาซือถูกย้ายมาบนมือของตัวเอง
เด็กหญิงตัวน้อยแสดงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดกับเขาว่า “ท่านพี่อวี๋ ท่านดูดี ๆ นะ ข้าจะแสดงให้ดูเพียงรอบเดียว”
ในขณะที่พูด เด็กน้อยตั้งใจเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ใช้นิ้วก้อยทั้งสองข้างเกี่ยวเชือกของ ‘สะพาน’ บนนิ้วมือของอวี๋จือ จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งสอดเข้าไปในเชือกสีแดงอีกด้านพร้อมกัน นิ้วก้อยทั้งสองข้างยังคงเกี่ยวไว้ให้ขยับ จากนั้นก็พูดกับอวี๋จือว่า “พี่อวี๋ ท่านปล่อยมือได้”
อวี๋จือคลายนิ้วจากเชือกสีแดงอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อมือคู่นั้นของอาซือกางออก รูปแบบใหม่ของเชือกก็ก่อตัวขึ้น
“ว้าว เก่งจัง!”
ตั้งแต่เด็กจนโตเด็กหนุ่มต้องคอยประจบประแจงเหล่าลูกพี่ลูกน้องภายในบ้านอยู่เสมอ
เขาไม่ชอบเล่นการละเล่น ทุกครั้งมักจะรู้สึกว่าการเล่นดวลไพ่และยิงธนูกับเหล่าพี่น้องช่างยากเย็นเสมอ ดังนั้นการชื่นชมของเขามักจะออกมาจากใจจริง
เด็กตัวน้อยแยกแยะระหว่างความจริงใจกับความเสแสร้งได้อย่างชัดเจน เมื่อได้ยินอวี๋จือชื่นชมไม่ขาดปาก อาซือก็ยิ่งเบิกบานใจ
“ข้าไม่เก่งหรอก ท่านแม่ต่างหากที่เก่งที่สุด! ท่านแม่มักจะกลับเชือกออกมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันเสมอเลย!”
ต่อไปก็ถึงตาของอวี๋จืออีกครั้ง แต่เขามองอยู่นานสองนานก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องกลับเชือกอย่างไร ทำได้แค่ใช้วิธีการเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง ให้อาซือมากลับเชือกเอง
อาซือสามารถกลับเชือกออกมาเป็นรูปผีเสื้อได้โดยไม่ต้องคิด จากนั้นก็ได้รับคำชื่นชมจากอวี๋จืออีกครั้ง
ทั้งสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนานเนิ่นนาน อาจื้อที่นั่งมองอยู่ด้านข้างมาตลอดรู้สึกประหลาดใจจนต้องอ้าปากตาค้าง
เขาปีนขึ้นมาบนเตียง นั่งลงข้างกายเหยาซูจากนั้นก็พูดกับมารดาเบา ๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านอาอวี๋เจ๋งเป้งจริง ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฉายแววอดีตนางร้ายของเรื่องแล้วไงอาซือ พอเจอคนหล่อก็รุกเขาขอเขาแต่งงานตั้งแต่ยังเล็กเลยนะคะ ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)