ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 116 ไม่กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนเล่า
“เอาละ” เหยาซูแย้มยิ้ม “แม่จะไปดูในครัวก่อน ว่าตอนเที่ยงเราจะกินอะไรกันดี …ต้าเป่าดูแลน้องได้หรือไม่?”
อาจื้อพยักหน้าโดยไม่ได้เต็มใจนัก จากนั้นก็มองไปยังแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาตลอดจนไปถึงหน้าประตู กระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเหยาซูแล้วจึงหันกลับมา
“อ่า! พี่อวี๋! ท่านทำเป็นแล้ว!”
ผู้เป็นน้องสาวกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความดีใจ ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสดใสของอวี๋จือ พวกเขาเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ข้างเตียง โดยไม่รู้ว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้น
อาจื้อก้มหน้างุดลงบนไหล่ของผู้เป็นน้องชาย ดมกลิ่นนมจากตัวเด็กทารก จากนั้นก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ท่านแม่ก็จริง ๆ เลย ข้าโตป่านนี้แล้วเหตุใดถึงยังมาจูบหน้าข้าอีก? ซานเป่าเจ้าว่าไหมล่ะ?”
เสียงหัวเราะ ‘แอะ แอะ’ ของเด็กทารกดังขึ้น ไม่รู้ว่าเข้าใจหรือไม่ ปลายนิ้วอันอ่อนนุ่มได้ปัดลงบนหน้าของผู้เป็นพี่ชายทับรอยจูบของผู้เป็นแม่เมื่อครู่ได้พอดี
อวี๋จือเล่นเป็นเพื่อนเด็กสาวตัวน้อยอีกครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นเหยาซูก็ไม่อยู่แล้ว มีแค่อาจื้อที่อยู่เป็นเพื่อนน้องชาย กำลังนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่บนเตียง
“ต้าเป่า แม่เจ้าล่ะ?”
น้ำเสียงอันสดใสของชายหนุ่มปลุกอาจื้อให้ตื่นจากภวังค์ เขาหันกลับไปยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ไปทำอาหารในครัวขอรับ”
“เอ่อ…” อวี๋จือลังเลเล็กน้อย
การอบรมสั่งสอนอย่างดีทำให้เขาไม่สามารถจากไปโดยไม่กล่าวลากับเจ้าของได้ ทว่าตอนนี้หลินเหราไม่อยู่บ้าน ถึงกระนั้นเขาก็ควรต้องหลีกหนีคำครหา คงไม่ดีนักหากอยู่บ้านของเหยาซูนานเกินไป
อวี๋จือทำได้แค่ปรึกษากับอาจื้อว่า “ต้าเป่า เดี๋ยวฝากบอกแม่เจ้าด้วยนะ วันนี้ข้า อาอวี๋มีธุระต้องไปทำต่อ ไว้จะมาเยี่ยมใหม่วันหน้า”
เมื่ออาซือได้ยินผู้เป็นอารูปงามที่อยู่เล่นกับตนมาโดยตลอดกำลังจะกลับ จึงไม่พอใจ “ท่านพี่อวี๋!”
อวี๋จือโน้มน้าวด้วยท่าทีอ่อนโยนและนุ่มนวล “เอ้อเป่า วันหน้าข้าจะมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอีกดีหรือไม่?”
บางครั้งเด็กสาวตัวน้อยก็เอาจริงเอาจังเกินไป นางไม่รู้ว่า ‘วันหน้า’ ของพวกผู้ใหญ่นั้นเป็นเพียงขออ้าง จึงต้องถามให้ชัดเจน
อาซือเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่สดใสแวววาวคู่นั้นจับจ้องไปยังอวี๋จือ “วันหน้าคือเมื่อใดเจ้าคะ? พรุ่งนี้หรือ?”
เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทางน่ารักของนางก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เด็กหญิงตัวน้อยต้องผิดหวังจึงยิ้มและพูดว่า “ไว้ให้พ่อเจ้าหยุดก่อน ข้าจะมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอีก”
อาซือกะพริบตาปริบ ๆ รู้ความโดยไม่เรียกร้องอะไรที่มากเกินไป แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับฉายแววตาอาลัยอาวรณ์ออกมา
อาจื้อกลับเข้าใจความกังวลของอวี๋จือ
พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยามาเนิ่นนาน อาจื้อย่อมจำความได้และรู้ข่าวเล่าข่าวลือที่เกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองไม่น้อย
ตอนนั้นหลินเหรายังไม่กลับ เพียงแค่มีชายหนุ่มไปหาเหยาซู พวกปากหอยปากปูก็นำไปนินทากันสนุกปากแล้ว
ที่อวี๋จืออยากจะกลับก็เพราะเรื่องนี้ อาจื้อจึงชื่นชมเขาไม่น้อย
“เอ้อเป่า หากเจ้าชอบเล่นกับท่านอาอวี๋ เราไปหาเขาก็ได้นะ” อาจื้อเสนอความคิดเห็นให้แก่น้องสาว “ท่านอาอวี๋อาศัยอยู่บ้านของท่านลุงรองใกล้ ๆ นี่เอง”
ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยเปล่งประกายอย่างที่คิดไว้จริง ๆ จากนั้นก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “งั้นพรุ่งนี้ข้าไปหาท่านพี่อวี๋ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
อวี๋จือยิ้มและตอบนาง “ได้แน่นอน”
เขาพูดคุยกับเด็กทั้งสองคนอีกสองสามประโยค ถามถึงระดับความก้าวหน้าในการศึกษาของอาจื้อ เด็กชายตัวน้อยจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “อ่านหนังสือทั้งสี่จบสามเล่มแล้ว ตอนนี้ยังขาด ‘ปราชญ์เมิ่งจื่อ’ ที่ยังไม่ศึกษา”
ดวงตาของอวี๋จือเปล่งประกายทันใด “ต้าเป่ากำลังอ่านหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าใช่หรือไม่? เจ้าอายุยังน้อยนัก แต่กลับอ่านหนังสือทั้งสี่จบทั้งสามเล่ม ศึกษาไปไม่น้อยเลยเชียวล่ะ”
ในขณะที่พูดเขาก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ให้ข้าตั้งคำถาม ทดสอบเจ้าได้หรือไม่?”
อาจื้อไม่เคยประหม่าต่อการสอบมาก่อน ตรงกันข้ามกลับยืดตัวตรงและพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านว่ามาสิขอรับ”
อวี๋จือครุ่นคิดครู่หนึ่ง กระทั่งคิดคำถามที่ไม่ยากเกินไปคำถามหนึ่งมาถามเขา “อธิบายความหมายของประโยคหนึ่งแล้วกัน ‘เช้าได้สัมผัสสัจธรรมคืนนั้นแม้ตายก็ยินดี’ หมายความว่าอย่างไร?”
หนังสือสมัยโบราณล้วนไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน เพื่อไม่สร้างผลกระทบต่อความเข้าใจของอาจื้อ อวี๋จือจึงไม่เพิ่มวรรคตอน แค่อ่านคำเหล่านั้นติดต่อกัน ดูสิว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่
คาดไม่ถึงว่าเด็กชายตัวน้อยกลับแย้มยิ้ม องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าของเขาดูคล้ายคลึงกับหลินเหรามากราวกับว่ามี ‘พี่หลิน’ ในรูปแบบย่อส่วนกำลังยิ้มเยาะอวี๋จืออย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอาอวี๋ คำถามนี้ง่ายเกินไป” อาจื้อมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม พูดจาฉะฉาน “ประโยคนี้ควรจะอ่านว่า ‘เช้าได้สัมผัสสัจธรรม คืนนั้นแม้ตายก็ยินดี’ จาก ‘คัมภีร์หลุนอี่ว์ [1]’ ท่านขงจื้อกำลังสอนลูกศิษย์ หากเข้าใจสัจธรรมในตอนเช้า แม้นจะต้องตายในเวลากลางคืนก็คุ้มค่า”
อวี๋จือยิ้มพร้อมพยักหน้า ไม่ได้โต้แย้งอะไร
หากพูดถึงคำอธิบายของ ‘หลุนอี่ว์’ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีการตีพิมพ์ออกมานับไม่ถ้วน ประโยคของขงจื้อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดเหล่านี้ต่างก็ถูกชาวโลกนำมาตั้งเป็นชื่อสิ่งของที่แตกต่างกัน ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความคิด
ตรงกันข้ามคำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุดและสามารถเข้าใจได้โดยเด็กน้อยเฉกเช่นอาจื้อ ถึงจะเรียกว่าการคืนสู่สามัญโดยแท้จริง
อวี๋จือยิ้ม “ในเมื่อศึกษา ‘คัมภีร์หลุนอี่ว์’ ได้ไม่เลว งั้นข้าขอถามอย่างอื่นกับเจ้าแล้วกัน ใน ‘คัมภีร์มหาบุรุษ’ ไม่มีผู้ใดรู้…”
เขาลากคำยาวขึ้น ส่งสัญญาณให้อาจื้อพูดต่อ
เด็กผู้ชายพยักหน้าและพูดต่อว่า “ไม่มีผู้ใดรู้ความชั่วร้ายของลูกตัวเอง ไม่รู้ความยิ่งใหญ่ของต้นกล้านั้น”
อวี๋จือพยักหน้า “การเว้นวรรคตอนของเจ้าไม่มีปัญหา คิดดูซิว่าเข้าใจความหมายของประโยคนี้ว่าอย่างไร?”
อาจื้ออ้าปากพูดอย่างไม่ลังเล “มนุษย์ไม่รู้พฤติกรรมชั่วร้ายของลูกชายตัวเอง ไม่เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลและต้นกล้า”
อวี๋จือยิ้มและพูดว่า “ความหมายตามประโยคเช่นต้าเป่าพูด แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่ามันเป็นเพราะเหตุใด? ทำไมลูกของตัวเอง กลับมองไม่เห็นถึงข้อบกพร่องของเขา ส่วนพืชผลของตัวเองก็มักจะดูไม่งอกงามมากถึงเพียงนั้นล่ะ?”
คำถามนี้สำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบเศษแล้ว เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเกินขอบเขตความเข้าใจของเขา
ทว่าอาจื้อนั้นโตก่อนวัย เขาสามารถเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเจอด้วยหลักเหตุผล
เนื้อหาในหนังสือทั้งสี่ เหยาเฟิงไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้ทุกประโยค มีอีกมากมายที่เขาล้วนทำความเข้าใจด้วยตัวเอง
เด็กชายครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากว่า “ท่านแม่มักคิดว่าข้า น้องชาย และน้องสาวเป็นเด็กที่น่ารักและเชื่อฟังที่สุด เหตุผลนี้สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ นั้นเพราะท่านแม่มีความรักเต็มเปี่ยมต่อพวกเรา ทุกครั้งที่มองเราทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดีเสมอ”
อวี๋จือพยักหน้ายอมรับความเข้าใจในประโยคครึ่งแรกของเขา
อาจื้อไม่ค่อยเข้าใจประโยคหลัง แต่กลับพยายามจะอธิบาย “ส่วนเพราะเหตุใดชาวนามักจะคิดว่าพืชผลของตัวเองไม่ดีพอนั้น…จะดีหรือจะแย่มักเปรียบเทียบออกมาได้ เหมือนกับเวลาที่น้องข้ากินอาหาร ก็มักจะรู้สึกว่าอาหารในมือของข้าอร่อยกว่า เห็นได้ชัดว่าเหมือนกัน…”
เมื่ออาซือถูกพี่ชายเอ่ยถึงโดยไม่มีเหตุผล จึงขานรับ ‘อ่า?’ อย่างสงสัย
เด็กชายลังเลเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าคำอุปมาของตัวเองนั้นเหมาะสมหรือไม่
อวี๋จือมองให้กำลังใจไปทางอาจื้อ ส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“เห็นได้ชัดว่ามันเหมือนกัน แต่กลับรู้สึกว่าของผู้อื่นย่อมดีกว่า มันคือความรู้สึกไม่พอใจอย่างหนึ่ง”
อวี๋จือเชื่อโดยแท้จริงว่าอาจื้อเข้าใจทั้งสามเล่มในหนังสือทั้งสี่ได้
เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ประโยคนี้หากเข้าใจบทความภายใน ‘คัมภีร์มหาบุรุษ’ ก็ง่ายนิดเดียว”
อาจื้อครุ่นคิด ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย “ใช่เลย! ประโยคหลังจากนั้นกล่าวไว้ว่า ‘ไม่ฝึกฝนตัวเองก็อยู่กับผู้อื่นไม่ได้’ ความจริงแล้วมันคือการชี้แนะให้ผู้อื่นได้รู้ว่าจะยกระดับความคิดของตัวเองให้สูงขึ้นได้อย่างไรขอรับ”
เมื่ออวี๋จือเห็นว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของอาจื้อนั้นยอดเยี่ยมจึงถามเขาอีกว่า “เจ้าอธิบายได้ไม่เลวเลย อ่านด้วยตัวเองหรือ?”
อาจื้อตอบ “อื้อ” ออกมา และพูดเสริมต่อว่า “ท่านลุงก็สอนข้าด้วยขอรับ”
ในใจของอวี๋จือเต้นรัวทันใด
บัดนี้เขาอาศัยอยู่ในบ้านของพี่รองเหยา ในห้องหนังสือก็มีจำนวนหนังสือไม่น้อยนัก ในตอนที่เขาพลิกอ่านนั้น พบว่าในนั้นมีการทำคำอธิบายประกอบอย่างละเอียด คิดว่าเจ้าของคงต้องเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือมากทีเดียว
“คนที่สอนเจ้า คือท่านลุงรองเหยาเฉาใช่หรือไม่?”
อาจื้อส่ายหน้าก่อนจะแสยะยิ้ม “ไฉนเลยท่านลุงรองจะมีเวลา? ท่านลุงใหญ่ต่างหากที่สอนหนังสือเรา ยิ่งไปกว่านั้นท่านลุงใหญ่นั้นอ่อนโยนและมีความอดทนสูงมาก และยังเป็นอาจารย์ที่ดีมากด้วยขอรับ”
อวี๋จือส่งเสียง ‘อ่อ’ ออกมา แต่ในใจกลับผิดหวังอยู่เงียบ ๆ
ได้ฟังการประเมินและการสาธยายที่เหยาซูมีต่อเหยาเฉา เขาเองก็อาศัยอยู่ในบ้านของเจ้าตัว คิดอยากหาโอกาสเจอโดยตลอด ไม่ก็ขอเข้าใจพี่เหยาผู้นี้ให้มากขึ้น
ใบหน้าของเขาแสดงความสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “ระดับความรู้ของท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองของเจ้าใครเก่งกว่ากันหรือ?”
คำถามนี้ค่อนข้างยากสำหรับอาจื้อ
ปกติแล้วเหยาเฟิงมักจะเป็นคนสอนหนังสือพวกเขา บางครั้งที่เหยาเฉากลับบ้านก็มักจะถามระดับความรู้ของเด็ก ๆ เสมอ หากแต่จะให้เปรียบเทียบความรู้ของลุงทั้งสองคน…
“ข้าไม่รู้ขอรับ” อาจื้อครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า “ความรู้ของท่านลุงทั้งสองต่างก็ยอดเยี่ยมทั้งคู่”
อวี๋จือพูดคุยกับอาจื้อเป็นครึ่งวัน ได้เห็นเขาพูดจามีเหตุผลอย่างชัดถ้อยชัดคำ อีกทั้งมีมารยาทมากอีกด้วย ในใจก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น
เขาตื่นเต้นอยู่ในใจก่อนจะพูดความคิดของตัวเองออกมา “อาจื้อ หากให้เจ้าที่ยังเด็กออกไปไขว่คว้าหาความรู้ พ่อและแม่ก็คงจะไม่ยินยอม…”
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าประตู เป็นเหยาซูที่เดินเข้ามาพอดี
นางเห็นผู้ใหญ่คนหนึ่งและเด็กคนหนึ่งกำลังพูดคุยบางอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง ส่วนอาซือก็นอนอยู่ข้างกายของน้องชาย จึงอดถามขึ้นอย่างประหลาดใจไม่ได้ “เหตุใดพวกเจ้าถึงเปลี่ยนฝั่งกันแล้วเล่า? เอ้อเป่าไม่เล่นเชือกมือแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นเหยาซู อวี๋จือก็ยืดตัวตรงในทันที แม้แต่สีหน้าท่าทางก็แฝงไปด้วยความระมัดระวังตัวมากขึ้น
อาจื้อเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ท่านอาอวี๋บอกกำลังจะกลับ…”
เหยาซูมองไปทางอวี๋จือแวบหนึ่งและถามด้วยสีหน้าสงสัย “กลับ? ไม่อยู่กินข้าวเที่ยงที่บ้านเราก่อนหรือ?”
อวี๋จือหน้าแดงระเรื่อ “ไม่ ไม่ดีกว่า ข้ากลับไปกินหมั่นโถวที่ซื้อจากที่ไหนสักแห่งสักสองลูกก็พอแล้ว…”
ชายหนุ่มพยายามระงับความปรารถนาของตัวเองให้อยู่ในมาตรฐาน ไม่ให้ละเมิดหลักทำนองคลองธรรม
วันนี้หลินเหราไม่อยู่บ้าน การอยู่บ้านหลังเดียวกับเหยาซู ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจตลอดเวลา
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาจี้อถือเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่งเลยล่ะค่ะ เข้าใจคัมภีร์ยาก ๆ แบบนี้ตั้งแต่เจ็ดขวบอะ
อวี๋จือคิดอะไรกับอาซูหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)
[1] คัมภีร์หลุนอี่ว์ (论语) lun2 yu3 เป็นคัมภีร์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาปรัชญาสำนักขงจื่อ