ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 12 เหตุใดเราไม่ทำชาดทาหน้าล่ะ
บทที่ 12 เหตุใดเราไม่ทำชาดทาหน้าล่ะ
แม่เฒ่าเหยาที่อยู่ด้านในรู้สึกโกรธจนเอ่ยคำใดไม่ออก ส่วนเหยาซูทำได้เพียงสาปแช่งอยู่หลายร้อยครั้งในใจ นางทำความเคารพอีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าน้อยต้องการรับใช้สองผู้เฒ่าที่บ้านและเลี้ยงดูลูกอีกสามคนเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดเช่นนั้นไม่ดีเลยนะ! บนโลกนี้มีบุรุษมากมาย แม่นางเหยาเองก็สูญเสียสามีตั้งแต่อายุยังน้อย เหตุใดเจ้าจึงไม่นึกถึงอนาคตของตัวเองเสียล่ะ?”
นายอำเภอยังคงพูดโดยไม่สนใจคำคัดค้านใด ๆ จนฮูหยินของตนที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาคู่นั้นแทบจะถลนออกมา
เหยาซูคลี่ยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “งานราชการนั้นหนักมาก ท่านนายอำเภอคงยุ่งไม่น้อย เหตุใดถึงไม่พิจารณาความคิดเห็นของฮูหยินท่านบ้างเล่าเจ้าคะ?”
นายอำเภอยืนตัวแข็งทื่อและหัวเราะแห้ง ๆ “นี่ก็แค่เรื่องปกติทั่วไปน่า”
เขามักจะสนใจสาวงามไปทั่วโดยไม่สนสิ่งอื่นใด แต่คราวนี้กลับลืมไปว่าฮูหยินตนเองก็อยู่ที่นี่ด้วย
เหยาซูเห็นว่าเขาพยายามคิดบ่ายเบี่ยง จึงรู้ว่าตนเองนั้นพูดถูกแล้ว เขายังคงเป็นบุรุษที่กลัวภรรยา นางจึงเอ่ยขึ้น “หากท่านใส่ใจฮูหยินจริง ๆ ก็อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเสียดีกว่าเจ้าค่ะ หรือแม้ต่อหน้าข้าน้อย ข้าเองก็ไม่อยากให้คนอื่นมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฮูหยินที่อยู่ข้าง ๆ ท่าน มันอาจทำลายชื่อเสียงของฮูหยินและชื่อเสียงของใต้เท้าได้นะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าไฟโทสะมอดลงและสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ฮูหยินของนายอำเภอจึงยิ้ม พลางเอ่ยเยาะเย้ยสามีของตน “ท่านพี่มีอนุอยู่แล้วห้าคนในบ้าน ท่านต้องการแม่นางคนนี้เป็นคนที่หกอย่างนั้นหรือ! แม้ว่านางจะเป็นแม่ม่ายสามีตายเนี่ยนะเจ้าคะ?”
เหยาซูรีบพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทางที่สง่างาม “ฮูหยินเจ้าคะ ข้าน้อยคิดว่าตัวเองไม่สามารถยกตนให้เทียบท่านได้ อีกอย่างวันนี้เป็นงานเลี้ยงครบรอบร้อยวันของลูกข้า เป็นเกียรติที่ท่านและใต้เท้าได้มาเยี่ยมเยียน เช่นนั้นแล้วได้โปรดเข้ามานั่งพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
นางสลัดสิ่งสกปรกให้พ้นตัว และปล่อยให้สามีภรรยาต่อสู้กันเอง
นายอำเภอนั้นไร้ความสามารถ ที่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะพึ่งพาตระกูลเยว่จึงได้มานั่งในอยู่ตำแหน่งปัจจุบัน เขาจะกล้าล่วงเกินฮูหยินของตนเองได้อย่างไร?
ต่อหน้าทุกคน เขาทั้งขอโทษและสาบานจนถึงขั้นเกลี้ยกล่อมฮูหยิน แล้วเข้าไปนั่งด้านใน…
….
งานเลี้ยงร้อยวันนี้เป็นงานสังสรรค์ที่จัดเพื่อฉลองให้กับซานเป่าที่อายุครบ หนึ่งร้อยวัน ทว่าก็ทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกเหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย
หลังจากงานเลี้ยงครอบครัวจบลงและถึงเวลาของอาหารเย็น เหยาเฉาก็ได้ยินถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เขาโกรธมากจนด่าทอออกมา “ไอ้แก่ไร้ยางอาย! มีอนุอยู่แล้วถึงห้าคน ยังต้องการเพิ่มอีก!”
เหยาเฟิงขมวดคิ้ว “เราต้องจัดการเรื่องนี้”
คนตระกูลเหยารู้สึกเป็นห่วงและกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะแม่เฒ่าเหยานั้นรู้สึกกังวลมากกว่าผู้ใด “จะทำอย่างไรดี นายอำเภอคนนี้เป็นคนไม่ดี หากเขาชอบอาซูจริง ๆ พวกเราจะทำอย่างไร…”
เหยาซูวางลูกน้อยลงบนเตียงแล้วแย้มยิ้ม “ด้วยความสามารถของเขาแล้ว หากเรายังใช้วิธีใดไม่ได้ผลจริง ๆ ก็เกรงว่าจะมีเพียงภรรยาของเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เขาหยุดความคิดนี้ได้!”
เหยาซูเป็นหญิงยุคใหม่เรียนรู้เล่ห์เหลี่ยมของผู้ชายมามาก แล้วจะมาพ่ายแพ้ต่อกลวิธีของข้าราชการที่อ่อนแอเช่นนี้ได้อย่างไร!
“ไม่ได้” พ่อเฒ่าเหยาสูบยาพลางขมวดคิ้วแน่น “เจ้ารอง หากวันข้างหน้ายามที่เจ้าอยู่ในเมือง พยายามส่งคนไปคอยสังเกตเหตุการณ์ เขามีท่าทีอย่างไรพวกเราต้องรีบชิงลงมือก่อน ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะสายเกินไป”
แม้ว่าสิ่งที่ชายชราเหยาพูดออกมานั้นจะไม่มีใครเข้าใจ แต่ลูกคนรองของตระกูลเหยากลับเข้าใจในทันท่วงที แม้ว่านายอำเภอจะไร้ความสามารถ แต่เขากลับเต็มไปด้วยความโลภและตัณหา พฤติกรรมทั้งหลายของเขาไม่สามารถที่จะปกปิดได้ หากตั้งใจสืบเสาะก็สามารถสืบหาได้
เขาพยักหน้าและพูด “ไม่ต้องห่วงท่านพ่อ ข้ารู้วิธี”
…….
ไม่กี่วันต่อมา เป็นการชุมนุมรายเดือนในเมือง
ในวันนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จากหมู่บ้านทั้งสิบสองหมู่บ้านจะนั่งเกวียนมายังตลาด
เหยาซูอยู่ในห้องมาร้อยวันแล้ว และมันก็ช่างน่าเบื่อหน่าย!
ผู้เป็นมารดารับหน้าที่ดูลูกเล็กให้นาง เพื่อให้นางสามารถออกไปเดินเล่นในเมืองได้
ดังนั้นในเช้าวันนี้ เหยาซูจึงพาลูกออกมาพร้อมกับพี่สะใภ้ทั้งสอง
ลูกชายของพี่สะใภ้ทั้งสองเคยมาเที่ยวในเมืองบ่อยครั้ง ครานี้พวกนางจึงไม่ได้พาพวกเขามาด้วย
เหยาเฟิงบังคับเกวียนเข้าเมืองเพื่อไปทำงานตามปกติ จึงอาสาเป็นสารถีในการพาสาว ๆ มาเดินเที่ยวเล่น
เหยาซูและลูกทั้งสองต่างเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เด็ก ๆ ตื่นเต้นและไม่ได้รู้สึกแย่กับการต้องนั่งเกวียน
“ท่านแม่ ตลาดคืออะไรเจ้าคะ?”
หลายวันมานี้เอ้อเป่าเริ่มยอมรับเหยาซูอย่างสมบูรณ์ เด็กน้อยกำลังนั่งซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา และเอ่ยถามอย่างออดอ้อน
ที่จริงแล้วเหยาซูไม่รู้ว่าตลาดในยุคโบราณนี้เป็นเช่นไร หญิงสาวเคยเห็นมันเพียงแต่ในทีวีเท่านั้น นางจึงพูดอย่างคลุมเครือว่า “รอให้ถึงก่อน เดี๋ยวเอ้อเป่าก็จะรู้เอง”
ยังดีที่ต้าเป่านั้นเป็นเด็กฉลาดจึงพูดขึ้น “น่าจะเป็นการรวมกลุ่มของพวกแม่ค้าพ่อค้า มีถังหูลู่ ขนมเสียบไม้ น้ำตาลปั้น…”
“พี่ใหญ่ พี่รู้เยอะขนาดนี้ได้ยังไง!”
“ทั้งหมดนี้ข้าได้ยินมาจากลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ อีกทั้งยังมีพวกโจรลักพาตัวเด็กอีกด้วย เอ้อเป่าต้องอยู่ใกล้กับท่านแม่ ห้ามวิ่งสุ่มสี่สุ่มห้านะ!”
พี่น้องพูดคุยกันไม่หยุดมาตลอดทาง เพียงไม่นานนักพวกเขาก็เข้ามาถึงตัวเมือง
ตลาดในเมืองนั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ฝูงชนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป ส่วนใหญ่เป็นสตรีที่มีลูก นอกจากพวกขนมที่ต้าเป่าพูดถึงแล้ว ยังมีของเล่นเด็ก ๆ อีกทั้งยังมีร้านบะหมี่ ร้านขายผักผลไม้ ร้านขายเนื้อ ร้านขายผ้า…
พี่สะใภ้ทั้งสองพาเหยาซูเดินไปยังแผงลอยขายเครื่องประดับซึ่งทำจากเปลือกหอย พี่สะใภ้ใหญ่มีหน้าที่จ่ายเงิน ส่วนพี่สะใภ้รองมีหน้าที่พาเหยาซูและลูก ๆ เดินดูของ
ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกนางได้ตกลงกันไว้เมื่อคืน
พี่สะใภ้รองอุ้มเอ้อเป่าพร้อมกับหยอกล้อไปด้วย “ป้าเคยรับปากว่าจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับเอ้อเป่า พวกเราไปเดินดูกันเถอะ!”
เหยาซูจูงต้าเป่า และตามพี่สะใภ้ทั้งสองไป
ตลอดทางพวกเขาได้เดินสำรวจไปเรื่อย ๆ พี่สะใภ้ใหญ่ซื้อตุ้มหูและปิ่นปักผมเงินให้กับเหยาซู ส่วนพี่สะใภ้รองเท้าซื้อเสื้อผ้าให้ลูกทั้งสองคนของนาง และของเล่นแปลก ๆ อีกสองสามชิ้น
เหยาซูไม่มีเงิน ดังนั้นจึงเป็นพี่สะใภ้ทั้งสองที่จัดหาสิ่งของให้นาง
เดินไปมาอยู่นาน ก็เกิดความคิดบางอย่างในใจ
“พี่สะใภ้ทั้งสอง ข้าอยากทําการค้าเล็ก ๆ พวกท่านคิดว่าอย่างไร?”
พี่สะใภ้ใหญ่ชอบน้องสามีคนนี้มาก พอได้ยินนางพูดก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “น้องเล็กเจ้าอยากทำอะไรรึ?”
เหยาซูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าในตลาด มีหญิงสาวพาลูก ๆ มาเดินเล่นเป็นส่วนใหญ่ ข้าคิดว่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับน่าจะขายดีที่สุด อีกทั้งเหล่าสตรียังจับจ่ายใช้สอยง่าย”
พี่สะใภ้ใหญ่แนะนำ “หากอยากขายเสื้อผ้า พวกเราสามารถไปที่ร้านผ้าของตระกูลได้”
เหยาซูส่ายหน้า “เสื้อผ้าทั้งชุดทำลำบากเกินไป ตอนนี้ข้าต้องการเงิน เพราะข้าไม่มีเงินเลย ทั้งต้องใช้ฝีมือในการทำการค้าในครั้งนี้ด้วย หากไม่มีฝีมือก็ไม่อาจทำได้”
พี่สะใภ้ทั้งสองต่างมองหน้ากัน พวกนางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงินไป พวกเราจะแบ่งปันให้กับเจ้าเอง เจ้ามั่นใจได้ว่าครอบครัวของเราไม่ได้ขาดเงิน”
เหยาซูยิ้มบางพลางส่ายหน้า “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่หวังดี แต่การขายเสื้อผ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดเอาไว้จริง ๆ”
พี่สะใภ้ที่เห็นว่าน้องสามีต้องการขายบางอย่าง แต่กลับไม่ยอมพูดออกมาเสียทีจึงเอ่ยเร่งเร้า “อาซู เจ้าอย่ามัวปิดบังอยู่เลย หากไม่ขายผ้าแล้วเจ้าจะทำอะไรเล่า?”
เหยาซูมองไปยังร้านขายชาดที่อยู่ด้านหลัง และพูดขึ้นว่า “ข้าว่าชาดทาหน้าในตลาดส่วนใหญ่มีคุณภาพไม่ดี สีสันไม่สดใส แต่กลับมีคนซื้อมากมาย เหตุใดเราไม่ทำชาดทาหน้าล่ะเจ้าคะ?”
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หากพี่ชายทั้งสองของนางเอกลงมือเมื่อไหร่ถึงคราวชะตาขาดแน่ค่ะ
วิญญาณบิวตี้บล็อกเกอร์ลงประทับแล้ว ทำขายแล้วต้องรุ่งชัวร์
ไหหม่า(海馬)