ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 120 โจรมีจุดอ่อนร้ายแรง
เจิ้งอันเข้าใจความหมายของเหยาเฉาแล้ว เมื่อเห็นความอ่อนแอของหลี่หยางในตอนนี้ จึงร่วมมือกับเหยาเฉา “พี่รองเหยาพูดถูก! ผู้บัญชาการหลี่ตรากตรำจนมีผลงานชิ้นใหญ่ เห็นโลกกว้างยิ่งกว่าชายหนุ่มอย่างเรา! ที่ผู้ตรวจการถามขึ้นเมื่อครู่ ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการหลี่มีความคิดเห็นอย่างไร?”
เมื่อถามถึงวิธีการปราบโจรอย่างจริงจัง หลี่หยางถึงกับตกตะลึง
นอกจากจะทำตัวเป็นอาวุโสที่ดูแคลนผู้อื่นแล้ว ไฉนเลยเขาจะมีความสามารถโดยแท้จริง?
หลี่หยางส่งเสียงกระแอมออกมา แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “โจรภูเขาเฮ่ยหู่และภูเขาไป๋หู่ไม่ได้ปราบกันได้แค่วันสองวัน ตอนนี้ต้องถือโอกาสในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิให้ทหารในจวนตรวจการของเรานั้นฝึกฝนจนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งตลอดช่วงฤดูหนาว จะต้องได้ผลลัพธ์น่าพอใจเป็นแน่ จากนั้นก็อาศัยทหารในค่ายลาดตระเวนเป็นกองกำลังแนวหน้า ออกปราบปรามโจรภูเขา!”
พูดจบเขาก็มองไปทางผู้ตรวจการด้านหน้าทันที แต่กลับพบว่าใบหน้าของผู้อาวุโสนั้นยากจะแยกออกว่าดีใจหรือโกรธเคือง เขาไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ต่อความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย
เจิ้งอันจึงส่ายหน้า “ไม่ได้ ๆ วิธีการนี้ไม่ได้! ก็บอกไปแล้วว่าถ้าทหารในจวนตรวจการไม่มีคำสั่งจากราชสำนัก แม้แต่ผู้ตรวจการก็ไม่สามารถเคลื่อนทัพโดยง่าย! เรื่องปราบโจรจะต้องอาศัยทหารประจำหน่วย”
“ทหารประจำหน่วยมีแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น จะบุกทำลายภูเขาเฮ่ยหู่และภูเขาไป๋หู่ที่ง่ายต่อการเฝ้าระวังแต่ยากต่อการโจมตีได้อย่างไร?!”
“เช่นนั้นก็คงจะเคลื่อนทัพทหารที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ในเมืองชิงถงไม่ได้!”
ทั้งสองคนโต้เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายผู้ตรวจการต้องส่งเสียงออกมา “เอาล่ะ ทหารในค่ายจะเคลื่อนทัพไม่ได้หากไม่มีคำสั่ง นี่คือกฎระเบียบ ไม่ต้องคุยกันอีก”
หลี่หยางรีบเงียบปากลง โดยไม่พูดสิ่งใดอีก
ผู้ตรวจการมองไปทางเหยาเฉาแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาเสนอความคิดเห็นของเขาออกมา
สองสามวันที่ผ่านมา เหยาเฉาได้ปรึกษาหารืออยู่กับหลินเหราอยู่นาน หลังจากจำลองแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเปรียบเทียบหลายครั้ง ก็ได้คำตอบที่ทำให้ทหารประจำจวนบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด วันนี้จึงต้องหารือถึงการดำเนินการตามแผนการกับทุกคน
เขาเหลือบมองไปทางหลินเหราครู่หนึ่งก่อนกล่าวกับผู้ตรวจการว่า “ทหารประจำหน่วยของเรามีจำนวนจำกัด ทั้งยังเป็นบุรุษที่ดีมาก การสูญเสียจากการปราบโจรภูเขานั้นไม่คุ้มค่านัก ทำได้เพียงต้องหาวิธีการชิงไหวชิงพริบ…”
ทหารประจำหน่วยที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเหยาเฉา หลังจากได้ยินการทะเลาะโดยไร้เหตุผลของหลี่หยางอยู่นานจึงหมดความอดทน ตอนนี้ทำได้แค่เอ่ยถึงความถูกต้อง ทุกคนพากันพูดเร่งเร้าว่า “พี่รองเหยา อย่ามาเล่นลิ้นนักเลย! รีบบอกมาเถอะว่ามีความคิดเห็นอะไร?”
เหยาเฉายิ้มเล็กน้อย และพูดว่า “วิธีการนี้เป็นความคิดของข้าและอาเหรา โจรภูเขาที่อาศัยอยู่บนภูเขาเฮ่ยหู่และภูเขาไป๋หู่กลุ่มนี้ฉลาดมาก ครั้นปฏิบัติการก็รอบคอบมากเช่นกัน หากจะล่อให้พวกเขาลงจากภูเขาไม่ใช่เรื่องง่าย มีแต่เราจะต้องแทรกซึมขึ้นไปบนภูเขา วิธีการนี้ถึงจะได้ผล”
“แทรกซึมขึ้นไปบนภูเขาหรือ?!” เจิ้งอันเบิกตากว้าง “เหตุใดจะต้องแทรกซึมขึ้นไปบนภูเขาด้วย? ทหารประจำหน่วยของเราล้วนแข็งแกร่งกำยำทั้งนั้น ดูไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดา โจรเหล่านั้นไม่ได้โง่…”
ผู้ตรวจการชำเลืองตามองไปทางเหล่าทหารที่กำลังพูดคุยและหยุดชะงักงันไปเหล่านั้น ก่อนจะพูดปลอบโยนว่า “อย่าเพิ่งร้อนใจไป ฟังอาเฉาพูดให้จบก่อนสิ”
บุรุษเหล่านั้นได้ข่มความสงสัยไว้ในใจ ผึ่งหูตั้งใจฟังเหยาเฉาอธิบายต่อ
ชายหนุ่มรูปงามกวาดตามองสมาชิก ณ ที่แห่งนี้ และพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “จะแทรกซึมเข้าไปในค่ายทั้งสองบนภูเขาอย่างไรนั้น ไว้ข้าจะบอกรายละเอียดกับทุกคนทีหลัง หลังจากที่เข้าไปในค่ายของศัตรูแล้ว ผู้บัญชาการหลินจะพาคนเข้าไปสืบหาที่อยู่ของซ่องโจรโดยแน่ชัด เรามีแผนที่ของรังโจรทั้งสองกลุ่มอย่างละเอียด เพียงแค่ให้ผู้ลาดตระเวนทำเครื่องหมายไว้ ประกอบกับฝีมือการลอบสังหารของผู้บัญชาการหลิน ก็น่าจะกวาดรังโจรเหล่านั้นจนเรียบได้อย่างง่ายดาย”
ทุกคนพยักหน้า ต่างยอมรับในวิธีการของเขา แต่จะแทรกซึมเข้าไปในค่ายศัตรูอย่างไรนั้น ยังเป็นปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้
‘จางเหยียน’ ทหารประจำจวนในที่ประชุมมีนิสัยค่อนข้างเงียบขรึม ไม่ชอบพูด แต่เพราะเขาเคยออกปราบโจรเมื่อปีที่แล้ว จึงอดเตือนไม่ได้ว่า “ก่อนอื่นเราจะต้องไปให้ถึงรังโจรทั้งสองกลุ่ม ทำการการสำรวจอย่างละเอียด ภูเขาเฮ่ยหู่และภูเขาไป๋หู่ต่างไม่มีเส้นทางขนาดเล็ก และไม่มีทางผ่านเข้าไปถึงรังโจร หากคิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมในการขึ้นเขาแล้วล่ะก็ ข้าขอบอกว่ายากเกินกว่าจะพรรณนา”
เขาพูดถูกต้อง
กระต่ายเจ้าเล่ห์มีอุบายมากมาย โดยทั่วไปโจรภูเขาจะชอบสร้างเส้นทางลับอยู่ภายใต้การปกครองของค่ายขนาดใหญ่ ป้องกันไว้เผื่อวันใดจวนขุนนางส่งทหารมาปราบปราม พวกเขาจะได้ชิงหนีก่อนได้
แต่ลักษณะพื้นที่ของภูเขาเฮ่ยหู่และภูเขาไป๋หู่นั้นแม้จะง่ายต่อการเฝ้ารักษาการณ์แต่ยากต่อการจู่โจม คงมีโจรรุกล้ำเข้าไปตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่ราชสำนักจะปราบปรามโจรให้สิ้นซาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกทำร้ายอยู่บนภูเขา พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องสร้างเส้นทางไร้สาระเหล่านี้
เหยาเฉาพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าตัวเองรู้สถานการณ์เหล่านี้ดี จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จากการตรวจสอบในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ครั้งนี้โจรเหล่านั้นค่อนข้างโหดเหี้ยมนัก ทักษะการต่อสู้ก็แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีประสบการณ์ พวกเขาลงจากภูเขาเพื่อมาปล้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็กสาว และลงมืออย่างรวดเร็ว น้อยคนนักที่จะรู้สึกตัว โจมตีขบวนพ่อค้าอย่างฉับไวในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัว”
ทุกคนทยอยกันพยักหน้า
สองสามวันมานี้ พวกเขาได้สัมผัสกับขบวนพ่อค้าที่ถูกโจรบนภูเขาก่อกวน คนในขบวนพ่อค้าต่างรายงานกลับมา แม้ว่าจะมีผู้คุ้มกันที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำอยู่ในขบวนพ่อค้า ก็มักจะถูกโจรที่มีจำนวนมากกว่าจับเป็นเชลยอยู่บ่อยครั้ง เห็นได้ว่าพลังในการต่อสู้ของโจรเหล่านั้นแข็งแกร่งมาก
เหยาเฉาวิเคราะห์ต่อ “การกระทำของโจรทั้งสองกลุ่มบนภูเขานั้นเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เวลาที่แม่นยำ แม้แต่รูปแบบก็ยังเหมือนกันอีกด้วย อีกทั้งระหว่างภูเขาเฮ่ยหู่และภูเขาไป๋หู่ก็มีเส้นทางบนภูเขาที่เชื่อมถึงกัน โดยพื้นฐานแล้วมีการยืนยันว่าผู้นำของโจรภูเขาทั้งสองกลุ่มเป็นคนคนเดียวกัน หมายความว่าโจรกลุ่มนี้ต้องมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงเช่นเดียวกัน และนั่นคือสิ่งที่เราต้องควบคุมให้ได้….”
น้ำเสียงของเขาดังฟังชัดมาก จังหวะผสมผสานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คนฟังเข้าใจอย่างง่ายดาย
ผู้ตรวจการพยักหน้า ยอมรับความคิดเห็นของเขา จากนั้นก็ถามต่อว่า “จุดอ่อนอะไร?”
เหยาเฉามองไปทางหลินเหราแวบหนึ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ได้ระดับความโค้งอย่างงดงาม “จุดอ่อนนี้ เป็นเพราะสายตาอันเฉียบแหลมของอาเหราที่สังเกตเห็นมัน เช่นนั้นให้เขาพูดแล้วกันขอรับ”
ผู้ตรวจการลูบเคราสีเทาที่ยืดยาวออกมาจากปลายคางอย่างเบามือ ก่อนจะพยักหน้าให้กำลังใจหลินเหรา
หลินเหรากลับไม่ปฏิเสธสักนิด เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในค่ายทหาร ทุกครั้งที่ผู้บัญชาการเรียกทุกคนมาประชุมกัน ก็มักจะใช้รูปแบบนี้เสมอ
เขาเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็อธิบายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแต่ทรงพลังว่า “ขบวนพ่อค้าที่เคยถูกโจรเหล่านั้นก่อกวน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนล้มตาย น้อยคนนักจะถูกจับเป็นเชลย มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะถูกกลุ่มโจรจับไปรังของมัน เพราะในขบวนพ่อค้านั้นมีสตรีรูปโฉมงดงามเพียงไม่กี่คน ซึ่งตรงกับการคาดเดาที่ว่าผู้นำของโจรบนภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่เป็นคนคนเดียวกัน จึงคาดการณ์ได้ว่า จอมราชันย์แห่งขุนเขาผู้นี้จะต้องมีจุดอ่อนในเรื่องความเจ้าชู้เป็นแน่”
สายตาของหลินเหรามาดมั่น มีความน่าเชื่อถืออย่างมาก คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ทำให้ผู้อื่นเชื่อถือและศรัทธา
ทุกคนคล้อยตามความคิดของเขา และเกิดความคิดอีกมากมายอย่างง่ายดาย
เจิ้งอันข่มความคิดเหล่านั้นไม่อยู่อีกต่อไป จึงพูดแทรกทันทีว่า “หรือว่าต้องพาผู้หญิงสักสองสามคนไปด้วย แต่งกายให้เหมือนกับหญิงในขบวนพ่อค้า แล้วแสร้งทำเป็นถูกโจรจับเป็นเชลย”
เหยาเฉายิ้มเล็กน้อย พัดบนมือขวาเคาะไปบนง่ามนิ้วบนมือซ้าย ส่ายหน้าพลางพูดว่า “จะพาใครไปเล่า? สตรีตระกูลไหนจะยอมถูกโจรจับไปในค่ายโจรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นจะมีสตรีรักสวยรักงามผู้ใดกล้าไปเสี่ยงอันตราย เราไม่สามารถควบคุมเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ ถึงตอนนั้นอาจจะเรือล่มเมื่อจอด ทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่า แถมยังต้องชดเชยให้แก่ฮูหยินและเหล่าทหารที่ถูกฆ่าตายไปอีกด้วย”
เจิ้งอันได้สติกลับมาพลางครุ่นคิด ก็สมเหตุสมผลอยู่
เขาเกาศีรษะและพูดอย่างทุกข์ใจว่า “ก็พวกเจ้าบอกว่าจอมราชันย์แห่งขุนเขาเจ้าชู้ ไม่ส่งสาวงามให้เขา แล้วคนของเราจะขึ้นเขาได้อย่างไร?”
ทหารในจวนตรวจการต่างมีความคิดแบบเดียวกับเจิ้งอัน เพราะทหารจวนโดยปกติแล้วแค่ฝึกฝน ตรวจการ เพียงเท่านั้นก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ การใช้สมองเช่นนี้น้อยครั้งนักจะมี อีกทั้งแต่ละคนก็มีลักษณะนิสัยที่โผงผาง
ผู้ตรวจการชื่นชมเหยาเฉาและหลินเหรามาก ทั้งสองคนมีความกล้าหาญและวางแผนได้ยอดเยี่ยม เสนอความคิดเห็นดี ๆ ออกมาไม่น้อย
ชายชราที่ยังมีกำลังวังชาได้แต่แย้มยิ้มอย่างสดใส และพูดกับทั้งสองคนว่า “อาเฉา อาเหรา พวกเจ้าอย่ามาลีลา รีบ ๆ พูดมา! ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะปกป้องคนของเราและแทรกซึมขึ้นไปบนภูเขาได้?”
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่เฉากำลังจะบอกว่าท่านจะเป็นคนแต่งหญิงขึ้นไปล่อโจรภูเขาเองเหรอคะ
ไหหม่า(海馬)