ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 123 อีกสองสามวันเจ้าก็น่าจะเดินทางได้แล้ว
อาจเป็นเพราะสีหน้าของเหยาเฉานั้นดูอ่อนโยนเกินไป รวมถึงระยะห่างระหว่างทั้งสองคนที่พอเหมาะพอดี อวี๋จือจึงเกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อชายหนุ่มภายในระยะเวลาสั้น ๆ และไม่ระแวดระวังต่ออีกฝ่ายแต่อย่างใด
เขาจึงตอบกลับไปอย่างละเอียด “มีการเตรียมตัวอยู่ในบ้านไว้พอสมควรแล้ว รายการหนังสือที่ใช้สอบก็อยู่ในสมอง ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสืออีกขอรับ”
คิ้วเรียวสวยที่ประดับเด่นอยู่บนใบหน้างดงามของเหยาเฉาเลิกขึ้นสูง “อ่อ? น้องอวี๋มีความสามารถแค่อ่านผ่านตาก็จำได้หมดเลยหรือ?”
ความจำของบัณฑิตน้อยผู้นี้ดีกว่าคนทั่วไปมาก แต่เขากลับเป็นคนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน จึงทำได้แค่เพียงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ได้อ่านผ่านตาแล้วจำได้ทั้งหมดหรอกขอรับ เพียงอาศัยความคุ้นเคยเท่านั้น รายการที่เกี่ยวข้องกับการสอบขุนนางนั้นมีไม่มาก มีเพียงไม่กี่สิบเล่มเท่านั้น อ่านหลายรอบหน่อยก็จำได้แล้ว”
คนที่กล้าพูดเช่นนี้ออกมา ล้วนไม่ได้อาศัยเพียงแค่การจำในรูปแบบของ ‘การอ่านหลายรอบ’ อย่างเดียว ลองคิดดูสิ หนังสือหลายสิบเล่มเหล่านั้นจะต้องอ่านกี่รอบ ถึงจะนำเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือมาฝังอยู่ในสมองของตนเองได้
เหยาเฉาฉุกคิดได้ จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในช่วงหลายวันมานี้ข้ายุ่งมาก เลยไม่ได้ใส่ใจเจ้า ในบ้านนี้มีทั้งหม้อและเตาที่เย็นชืด คงทำให้เจ้าหุงหาอาหารได้ไม่ดีนัก เป็นความประมาทของข้าเอง แล้วห้องหนังสือเล่าสบายหรือไม่? กระดาษและพู่กันเพียงพอไหม?”
ในใจของอวี๋จือรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก จึงรีบตอบกลับไปว่า “เพียงพอ เพียงพอแล้วขอรับ พี่รองก็พูดเกินไป! ท่านอุตส่าห์ให้ข้าเช่าบ้าน ให้คนนอกอย่างข้ามีที่อยู่อาศัย สำหรับข้านั้นถือว่าเป็นการใส่ใจอย่างมากแล้ว”
ก่อนที่เหยาซูจะลืมตาดูโลก เหยาเฉาคือน้องเล็กที่สุดของครอบครัวมาโดยตลอด เขาได้รับการดูแลจากพี่ใหญ่มาตั้งแต่เล็กจนโต
ต่อมาเมื่อมีน้องสาวเพิ่มอีกคน จึงต้องกลายเป็นสองพี่น้องที่ช่วยดูแลเอาใจใส่และระแวดระวังให้น้องสาวคนเล็ก เหยาเฉาจึงเคยชินกับการดูแลผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร
น้ำเสียงที่อ่อนโยนประกอบกับหน้าตาอันหล่อเหลาที่สะท้อนความอบอุ่นอย่างชัดเจนภายใต้แสงเทียนสีส้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอก อาซูบอกว่าเห็นเจ้าเป็นน้องชาย เจ้าก็ต้องเป็นน้องชายของข้าด้วย พี่ชายก็ต้องดูแลน้องชาย เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนี่ เป็นข้าเสียอีกที่รู้ว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ!”
คำพูดที่ออกมานี้ทำให้อวี๋จือทั้งอิจฉาละความรู้สึกคลุมเครืออยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงตาของเหยาเฉา ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ต้องอยู่ร่วมกับลูกพี่ลูกน้องสองสามคน เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเพราะการสอบขุนนางจึงทำให้ไม่ไว้หน้ากัน… พี่รอง แม้เราจะพบกันโดยบังเอิญ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ไม่ว่าจะเป็นแม่นางเหยา หรือพี่ใหญ่หลินต่างก็ดูแลข้าอย่างดี ในใจข้า… ซาบซึ้งใจมากจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรได้”
พ่อหนุ่มน้อยที่ดูคล้ายกับกระต่ายรู้สึกคัดจมูก ดวงตาค่อย ๆ แดงก่ำ จึงคาดหวังให้แสงไฟที่ค่อนข้างสลัวนั้นปกปิดความอ่อนแอนี้
เหยาเฉามีสายตาเฉียบคม ไฉนเลยจะไม่สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกไปของเขา? เพียงแต่ติดตรงที่พ่อหนุ่มน้อยนั้นขี้อาย จึงช่วยแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เท่านั้น
เขาพยายามโน้มน้าวอวี๋จือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ายังอ่อนประสบการณ์นัก ใช้ชีวิตเพียงลำพังอยู่ข้างนอกเช่นนี้ ต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามเป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง นับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ครอบครัวไหนบ้างที่ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้อง? วันข้างหน้าก็คงตาสว่าง เปิดตาเปิดใจให้ได้ ก็เท่านั้น”
อวี๋จือพยักหน้า แสดงออกว่าตนนั้นรับฟังอยู่
เมื่อเห็นบรรยากาศที่ค่อนข้างอึมครึม เหยาเฉาจึงแย้มยิ้ม “ยังไม่กินข้าวใช่หรือไม่? เดี๋ยวอาเหราและอาซูจะพาพวกเด็ก ๆ มา กว่าเราจะได้รวมตัวกันในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องสังสรรค์เสียหน่อย ว่าแต่น้องอวี๋ดื่มสุราหรือไม่เล่า?”
อวี๋จือไม่ดื่มสุรา เมื่อเห็นเขาถามจึงรีบโบกมือปฏิเสธ “แค่ข้าได้กลิ่นสุราก็วิงเวียนแล้ว ไม่เคยดื่มหรอกขอรับ”
เหยาเฉาหัวเราะร่า จากนั้นก็พูดคุยกับอวี๋จืออีกสองสามประโยค คาดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วจึงพูดขึ้น “ข้าอยู่ในจวนตรวจการมากว่าสิบวัน หนวดเครายาวเฟื้อยแล้ว …เจ้านั่งรอสักครู่ ข้าขอตัวไปอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย คิดว่าถึงตอนนั้นอาซูและคนอื่น ๆ ก็คงมาถึงพอดี”
เขารักความสะอาดมาก แต่ในช่วงหลายวันมานี้ต้องหมักหมมอยู่กับเหงื่อไคลไม่น้อย กลางคืนกลับใช้ได้แค่ผ้าเปียกเช็ดตัว แม้ว่าวันนี้จะยังจัดการธุระไม่เรียบร้อย เหยาเฉาก็อยากกลับบ้านมาอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวอยู่ดี
อวี๋จือได้ยินดังนั้น จึงรีบพูดขึ้น “พี่รองตามสบายเถอะขอรับ ไม่ต้องสนใจข้า…. ข้าว่าจะอ่านหนังสืออีกสักหน่อย”
เหยาเฉาชำเลืองไปมองตำราพิชัยศึกเล่มหนึ่งที่เปิดกางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเตือนเขาว่า “นั่งใกล้โคมไฟหน่อย จะได้ไม่เสียสายตา”
เมื่อเห็นอวี๋จือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาจึงยิ้มพลางเดินออกจากห้องหนังสือไปต้มน้ำ
….
เมื่อเหยาเฉาอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวสะอาดสะอ้านเสร็จสรรพ ในตอนที่เดินออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น เหยาซูและคนอื่น ๆ ก็มาถึงแล้ว
แสงไฟจากในห้องโถงด้านหน้าสว่างเจิดจ้า เหยาซูและหลินเหราพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ ๆ ส่วนอาจื้อแกว่งเปลกล่อมซานเป่าไปมา อาซือนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง กำลังแก้ปมปริศนาเก้าห่วงกับอวี๋จืออยู่
เมื่อเห็นเหยาเฉายืนอยู่ไกล ๆ เหยาซูจึงคลี่ยิ้มและกล่าวทักทายเขา “พี่รอง รอท่านอยู่พอดี! มานี่เร็ว”
อาซือร้องตะโกนเสียงแหลม จากนั้นก็กระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่ง ‘ตึง ตึง ตึง’ ไปหาผู้เป็นลุง “ลุงรอง! ลุงรอง!”
เหยาเฉาคลี่ยิ้มที่ชวนหลงใหลออกมา จากนั้นก็คว้าตัวหลานสาวขึ้นมาอุ้มไว้ในวงแขน พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เอ้อเป่า ไม่เจอลุงตั้งหลายวัน คิดถึงลุงบ้างหรือไม่?”
เด็กหญิงตัวน้อยคลอเคลียแก้มของเหยาเฉาไปมา ก่อนพูดเสียงหวานว่า “คิดถึงเจ้าค่ะ!”
เหยาเฉาอุ้มอาซือที่แต่งกายด้วยชุดสีชมพูดหวานวางบนโต๊ะ พลางยิ้มและพูดว่า “อาหารในวันนี้อุดมสมบูรณ์นัก นี่คืออาหารจากหอไป๋เว่ยหรือ?”
เหยาซูนำตะเกียบและชามจัดวางอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็เปิดหม้อน้ำแกงออก “สายตาของพี่รองช่างแหลมคมยิ่งนัก นี่คืออาหารจากหอไป๋เว่ยจริง ๆ ตอนที่อาเหรากลับมาข้ายังไม่ได้ทำอาหาร จึงให้เขาไปห่ออาหารกลับมาจากหอไป๋เว่ย”
หลินเหราตอบสนองต่อสายตาที่จับจ้องมาของเหยาเฉา จึงพยักหน้าและพูดว่า “เถ้าแก่หอไป๋เว่ยเป็นคนเจียงซู ได้ยินว่าอวี๋จืออยู่ที่นี่กับเรา จึงเปิดฉากทำอาหารเหล่านี้โดยเฉพาะ”
คนท้องถิ่นในเมืองชิงถงต่างก็ซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก มีชีวิตที่สุขสบาย เถ้าแก่ของหอไป๋เว่ยเคยอยู่ทางตอนเหนือมาเป็นเวลานาน จึงติดนิสัยตรงไปตรงมาจากคนตอนเหนือมาไม่น้อย
หลังจากที่รู้เรื่องราวของอวี๋จือ ก็ยังกำชับเหยาซูอยู่เสมอ ว่าถ้าน้องอวี๋คิดถึงบ้าน จะต้องพาเขามาหาเถ้าแก่ที่หอไป๋เว่ย
เมื่อเห็นอวี๋จือนั่งอย่างระแวดระวังอยู่อีกด้าน เหยาซูจึงพูดกับอาซือที่นั่งอิงแอบอยู่ข้างกายของเหยาเฉาว่า “เอ้อเป่าไปนั่งกับพี่อวี๋ไป เจ้าช่วยแม่ดูแลเขาได้หรือไม่?”
เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นก็ถูกเหยาเฉาอุ้มวางลงข้างกายของอวี๋จือ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินลุงรองหยอกล้อนางว่า “พี่อวี๋หรือ? เห็นคนหล่อเหลาหน่อยไม่ได้ ยังกล้าเรียกเขาว่าพี่อีกหรือ? นั่นท่านอาอวี๋ต่างหาก!”
อาซือส่ายหน้า และพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพี่เรียกพี่อวี๋ว่าท่านอา ข้าเรียกว่าท่านพี่ ท่านพี่อวี๋รับปากแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
ลำดับญาติตั้งแต่อามาจนถึงพี่ชาย นอกจากตัวนางแล้ว ผู้อื่นก็มึนงงเช่นกัน
หลินเหรานั่งอยู่ด้านข้าง รู้สึกจนปัญญากับการเรียกมั่วซั่วของลูกสาว
เขาขานเรียกลูกชาย “อาจื้อ มากินข้าวเถอะ”
ซานเป่านอนหลับอย่างสงบนิ่ง เสียงดังอึกทึกแค่ไหนก็ไม่ไหวติง อาจื้อทำหน้าที่ในการกล่อมน้องชายจนหลับสำเร็จ จึงเดินมานั่งหน้าโต๊ะอย่างพึงพอใจ
เมื่อเหยาซูที่อยู่ด้านข้างตักข้าวให้แก่ทุกคนแล้วจึงนั่งลง
ตรงหน้าของทุกคนต่างก็มีชามข้าวที่มีไอร้อนลอยกรุ่นวางอยู่ เหยาเฉาคลี่ยิ้ม “เอาล่ะ เรามากินข้าวกันเถอะ ไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก และไม่ต้องเกรงใจด้วย เต็มที่เลย”
เหยาซูยิ้มอย่างเบิกบานใจ “พี่รองไม่พูดอะไรแล้วหรือ?”
ภายในบ้านหลังนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารที่หอมยั่วใจ ภายใต้แสงเทียนสีส้มเรืองรอง นำพาให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นและหวานชื่นหัวใจมากทีเดียว
เหยาเฉารินสุราสามแก้ว นำแก้วที่น้อยที่สุดวางลงตรงหน้าของอวี๋จือ จากนั้นก็ยื่นให้หลินเหราหนึ่งแก้ว เขายกแก้วขึ้นพลางพูดด้วยรอยยิ้มละมุนละไมว่า “ในสองสามวันมานี้ อาซูและอาเหราคงจะยุ่งเรื่องย้ายบ้านไม่น้อย ข้าเองก็อยู่แต่ในหน่วยลานตระเวน ผละตัวออกมาไม่ได้ ในที่สุดวันนี้ก็มีเวลาได้ผ่อนคลายสักที บังเอิญน้องอวี๋ของเราอยู่ด้วยพอดี เช่นนั้นเราสามพี่น้องมาชนแก้วกันสักหน่อยดีหรือไม่?”
ทั้งสองคนยกแก้วสุราขึ้นชน เหยาเฉาพูดเสริมอีกว่า “หากน้องอวี๋จือดื่มไม่ไหว ทำว่าดื่มเอาก็ได้”
หลินเหราจึงพูดขึ้น “หลายวันนี้พี่รองคงจะลำบากไม่น้อย ข้าและน้องอวี๋ขอดื่มให้แก่ท่าน”
ทั้งสามคนชนแก้วกัน ทุกคนจึงเริ่มกินข้าวได้
ระหว่างมื้ออาหารได้พูดคุยกันไปไม่น้อย เหยาเฉาและหลินเหราดื่มสุราไปพลาง กินข้าวไปพลาง อีกทั้งดูแลอวี๋จือไม่ให้เขาดื่มมากนัก
เหยาซูหันมาพูดกับเหยาเฉาว่า “พี่รองไม่ได้กลับมาเกือบครึ่งเดือนเลยหรือเจ้าคะ? หลายวันมานี้พี่ใหญ่ก็ต้องลงใต้ ถ้าพี่รองไม่ยุ่งจนเกินไป กลับไปเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่หน่อยก็ดี อีกอย่างพี่สะใภ้รองและเอ้อหลางก็น่าจะคิดถึงพี่รองมาก”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” เหยาเฉาพยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางหลินเหราแวบหนึ่ง “รอให้ข้าและอาเหราจัดการเรื่องฝั่งนี้เรียบร้อยก่อน เราจะกลับหมู่บ้านตระกูลเหยาสักสองวัน”
เด็กทั้งสองคนต่างพากันพูดด้วยความดีใจ “กลับไปก็ฤดูใบไม้ผลิพอดี ญาติผู้พี่ทั้งสองคนบอกว่าจะพาเราไปเก็บรังนกด้วย….”
เหยาเฉาเห็นว่าอวี๋จือนั้นกำลังคิดบางอย่างในใจ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเข้าใจได้ในที่สุด
เขายกแก้วขึ้น และชนแก้วกับอวี๋จือเบา ๆ พลางพูดว่า “น้องอวี๋จือไม่ต้องเป็นกังวลหรอก ยังมีเวลาอีกเป็นเดือนกว่าจะถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน อีกสองสามวันเจ้าก็น่าจะเดินทางได้แล้ว”
[1] กลเก้าห่วง ถือเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมและมีความซับซ้อนมาก
สารจากผู้แปล
พี่น้อง…น้องอวี๋เขาเห็นพี่เฉาเหมือนพี่ชายเท่านั้น…อย่าเพิ่งหยิบไม้พาย… /ท่องในใจ/
ระวังอย่าให้น้องอวี๋ดื่มหนักจนเมาพับแล้วกันค่ะ น้องยังเด็ก
ไหหม่า(海馬)