ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 133 สัญชาตญาณบางครั้งต้องว่องไวที่สุด
หลินเหรามองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือของเหยาซูเนิ่นนาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงถามขึ้นว่า “อาซู ที่เจ้ากำลังปักอยู่คือสิ่งใด?”
เขาเคยเห็นผ้าเช็ดหน้าที่หญิงสาวปักมาก่อน ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีอ่อน ทว่าตอนนี้กลับเป็นสีกรมท่า เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ใช้เอง
การเคลื่อนไหวบนมือของเหยาซูหยุดชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นนิ้วที่ถือเข็มอยู่ก็เลื่อนลงก่อนจะตอบอย่างไม่ตรงคำถามว่า “เช้าวันนี้ต้าเป่าเก็บปิ่นปักผมอันหนึ่งได้จากกองเสื้อผ้าของท่าน แกะสลักได้งดงามมาก”
ความหมายในคำพูดของนางก็คือ ท่านให้ปิ่นปักผมที่แกะสลักด้วยมืออย่างงดงามอันหนึ่งกับข้า ข้าก็จะปักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งแก่ท่าน
ชายหนุ่มตกตะลึง เขาพลันตระหนักได้ว่าเหยาซูกำลังปักผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้เขา
ภายในใจเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่ความเย็นชาที่ฉายอยู่บนใบหน้าของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เหยาซูอย่างไม่อาจควบคุมได้ พลางกระซิบเสียงเบา “ปิ่นปักผมนั้น… ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ ข้าคิดจะทาสีอีกชั้นหนึ่งแล้วค่อยมอบให้เจ้า”
นิ้วมือที่เนียนสวยของเหยาซูหยิบเอาปิ่นปักผมที่เขาทำเองออกมา ค่อย ๆ หมุนมันและมองพินิจพิจารณาก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “เพียงสีไม้ที่ใช้ทำปิ่นก็งดงามมากแล้ว ไม่ต้องลงสีหรอก ท่านใช้ไม้เถาฮวาซิน[1] ทำมันหรือ?”
หลินเหราพยักหน้า
เดิมทีไม้เถาฮวาซินเป็นพันธุ์ไม้ล้ำค่าที่แคว้นต้าเยี่ยนไม่มี จักรพรรดิผู้บุกเบิกแคว้นต้าเยี่ยนส่งเสริมเส้นทางมหาสมุทรตอนใต้ ให้ขบวนพ่อค้าขนพันธุ์ไม้อันล้ำค่ากลับมาจากเกาะที่อยู่แสนไกล หลายปีมานี้ในแคว้นต้าเยี่ยนจึงค่อย ๆ มีไม้เถาฮวาซินเพิ่มมากขึ้น
วัสดุไม้ที่หลินเหราใช้ทำปิ่นชิ้นนี้ปรากฏเป็นสีแดงสวยงาม หากมองอย่างละเอียดจะเห็นลวดลายที่ดูพลิ้วไหว ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเจือจางอีกด้วย เมื่อเห็นวัสดุไม้ชิ้นนี้ก็จะรู้ทันทีว่าผ่านการคัดสรรมาอย่างดี
เหยาซูไม่ใช่พระอิฐพระปูน ในใจย่อมรู้สึกซาบซึ้งต่อการกระทำของหลินเหรา หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “วัสดุไม้ชิ้นนี้หายากมากเลยใช่หรือไม่? ท่านคงเสียเวลามากสินะ”
พ่อค้าที่ไปมาหาสู่กันในเมืองชิงถงนั้นมีจำนวนไม่น้อย แม้ว่าสิ่งที่ขายจะไม่ใช่อัญมณีหรือหินปะการังที่ล้ำค่ามากนัก แต่กลับมีของดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ตอนนั้นในขณะที่หลินเหราอยู่ในแผงขายไม้ที่เชี่ยวชาญด้านการขายวัสดุไม้มากแห่งหนึ่ง เขาก็ได้ชำเลืองไปเห็นไม้เถาฮวาซินขนาดเล็กนี้
เขาแกะสลักของชิ้นอื่นไม่ได้ แต่ปิ่นปักผมถือว่าค่อนข้างง่ายสำหรับเขา
เมื่อหลินเหราเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่และทะนุถนอมของผู้เป็นภรรยา ในใจก็รู้สึกดีใจอย่างมาก “ข้าเลือกวัสดุไม้มาหลายชนิด สุดท้ายก็ยังรู้สึกว่าไม้เถาฮวาซินแข็งแรงทนทานกว่าไม้ชนิดอื่น ทั้งยังขับไล่แมลงและปัดเป่าความโชคร้าย … อาซู เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
ในขณะที่พูด สายตาของชายหนุ่มเคลื่อนมายังผ้าเช็ดหน้าด้านข้างมือของเหยาซูอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่ความหมายนั้นก็ชัดเจนมากทีเดียว
เหยาซูไม่ได้เขินอายแต่อย่างใด กลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและยื่นให้เขาดูตรง ๆ ก่อนจะยิ้มพลางถามว่า “ดูออกหรือไม่ว่ามันคืออะไร?”
หลินเหราขยับเข้ามาใกล้ พินิจพิจารณาภาพสีขาวบนผ้าเช็ดหน้าสีกรมท่าอย่างละเอียด
มันคือเรือเล็กลำหนึ่ง มีไม้พายด้ามหนึ่งวางพาดอยู่บนเรือ ช่างงดงามยิ่งนัก
ตอนนี้ส่วนที่เหยาซูยังปักไม่เสร็จคือไม้พายสีขาว
ตัวอักษร ‘เหรา’ ของหลินเหรา มีความหมายว่าไม้พาย
เขาพลันเข้าใจความหมายของเหยาซูทันที ในแววตาคู่นั้นเจือไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “มองออกสิ อาซู ข้าชอบมาก”
เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา ตั้งใจพูดตรงข้ามกับใจ “ใครบอกว่าจะปักให้ท่านกัน? ท่านจะชอบหรือไม่ก็ไม่เห็นต้องสนใจ…”
เมื่อหลินเหราเห็นนางยิ้มกว้างดุจดอกไม้ที่ผลิบาน ในใจก็อ่อนโยนลงและตื่นเต้นดีใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดกับหญิงสาวด้วยเสียงอ่อนโยน “คืนนี้ข้าทำอาหารแล้วกัน ว่าแต่ในบ้านมีอะไรบ้างเล่า?”
เหยาซูตอบกลับ “ไปดูในครัวสิ อย่าลืมถามลูก ๆ ด้วยว่าอยากกินอะไร แล้วพรุ่งนี้ท่านต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “พรุ่งนี้ยังต้องไปลาดตระเวนในเมือง ยุ่งอีกสองวัน จากนั้นก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้าและเด็ก ๆ ได้แล้ว”
เหยาซูเข้าใจความกังวลของหลินเหรา จึงไม่ถามให้มากความ
วันต่อมา หลินเหราตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่
เหยาซูถือโอกาสตอนที่เขาลุกขึ้นไปทำอาหารเช้า แอบใส่ผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งปักเสร็จเมื่อคืนลงในเสื้อคลุมที่เขาต้องใส่ตอนออกจากบ้าน แล้วค่อยกลับมาห่มผ้าหลับต่อ
ในตอนที่หลินเหรารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งอยู่ในแขนเสื้อ เขาก็พาเหล่าเพื่อนพ้องในหน่วยลาดตระเวนมาถึงชานเมือง และเตรียมตัวจะเข้าตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบแล้ว
เมื่อเจิ้งอันเห็นหลินเหราที่กำลังพูดได้หยุดชะงักฉับพลัน จึงอดถามเขาไม่ได้ “สหายหลิน มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?”
หลินเหราได้สติกลับมา ดึงบังเหียนของม้าสีน้ำตาลแดงก่อนจะล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีกรมท่าผืนนั้นออกมา จากนั้นก็ก้มมองดู
ชายหนุ่มไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใด เมื่อเจิ้งอันที่อยู่ข้างกายชำเลืองไปเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของหลินเหราก็ขยิบตาใส่เขา ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์พลางพูดว่า “สหายหลินคิดถึงภรรยาสิท่า? เมื่อเช้าเพิ่งจากบ้านมาไม่ใช่หรืออย่างไร?”
อย่ามองเพียงว่าเจิ้งอันนั้นมีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงเชียว หากแต่จิตใจกลับถือว่าละเอียดอ่อนมาก
หลินเหราไม่มีทางพกผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้แน่ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเหยาซูปักผ้าผืนนี้ให้เขา
สำหรับการหยอกล้อของเจิ้งอัน หลินเหราไม่ได้ยอมรับและไม่ได้โต้แย้ง แต่เก็บผ้าเช็ดหน้ากลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พรุ่งนี้ต้องดำเนินการตามแผน เรื่องที่ต้องทำเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
วันนี้พวกเขาต้องทำการตรวจสอบครั้งสุดท้าย
หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเขาจะกลับไปเตรียมแผนการ ‘ขบวนเจ้าสาวหลอก’ ในวันพรุ่งนี้
เจิ้งอันเข้าใจความขี้อายของเขาดี เมื่อเห็นหลินเหราเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาจึงแค่หัวเราะ ‘ฮิๆ’ ออกมา จากนั้นก็พาเหล่าสหายมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
เมื่อเห็นทุกคนจากไป ใบหน้าเย็นชาของหลินเหราก็เผยรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นออกมา มือหนาลูบไปบนผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ใต้เสื้อคลุม จากนั้นก็ควบม้ามุ่งไปข้างหน้าเพื่อไปสบทบกับทุกคน
ทหารที่หลินเหราและเจิ้งอันพาออกมากลุ่มนี้มีอายุไม่มากนัก แต่การจัดการเรื่องราวกลับจริงจังและระวังตัวอย่างดี ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ผู้ตรวจการกำชับเป็นพิเศษว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นโดยเด็ดขาด
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลจากภูเขาก็ทยอยกันลงจากหลังม้า ใช้วิธีเดินเท้าเข้าไป หลีกเลี่ยงไม่ให้โจรภูเขาจับได้จนเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หลินเหราผู้คุ้นชินกับสนามรบเป็นคนที่ระแวดระวังที่สุดในกลุ่ม ในขณะที่เดิน ได้สังเกตเห็นถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล
“ช้าก่อน”
น้ำเสียงเคร่งขรึมดูมีพลังดังขึ้น ทำเอาทุกคนพากันเคร่งเครียด รีบหยุดก้าวเดินทันใด
“นายกองหลิน มีอะไรไม่ชอบมาพากลงั้นหรือ?”
ทหารที่อยู่ใกล้หลินเหราที่สุดเผยหน้าไม่สบายใจ พลางหันไปถามเขา
หลินเหราแสดงสีหน้าจริงจัง ส่งสัญญาณให้ทุกคนคุกเข่าย่อตัวอำพรางร่องรอย พลางพูดเสียงต่ำว่า “อย่าเพิ่งเดินหน้า รอก่อน”
ทุกคนต่างเคยเห็นความสามารถของหลินเหรามาก่อน จึงมั่นใจในตัวเขามากเป็นพิเศษ บัดนี้เห็นเมื่อได้ยินหลินเหราพูดเช่นนี้ จึงอดมองหน้ากันไม่ได้ สีหน้าค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง
เจิ้งอันเป็นผู้มากประสบการณ์ที่สุดในกลุ่ม สังเกตเห็นเส้นทางที่แตกต่างไปจากปกติอย่างเลือนราง แต่หลังจากสังเกตมาสักพักหนึ่ง กลับไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ไม่สบายใจนั้นมาจากที่ใด
เขาขยับเข้าไปใกล้หลินเหราอย่างเงียบเชียบที่สุด และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “สหายหลิน เจ้าเห็นอะไร?”
หลินเหรากำลังใจจดจ่อ แววตาระแวดระวัง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ต่างจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้า พลางตอบความสงสัยของทุกคนด้วยเสียงต่ำว่า “เส้นทางนี้เงียบสงัดเกินไป จะต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่”
เส้นทางภูเขาที่พวกเขามานี้ เป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดจากเมืองชิงถงเข้าสู่ตัวเมือง แต่บัดนี้โจรป่าขยายอาณาเขต หากจะต้องเดินทาง ขบวนพ่อค้ามักจะเลือกถนนใหญ่ที่มีขอบเขตสายตากว้างไกล และหลบหนีได้ทันเวลาเมื่อเผชิญหน้ากับโจร
ดังนั้นถนนเล็กที่ค่อนข้างเสียเวลานี้จึงไม่ค่อยมีใครเดินทางนัก
ทหารประจำหน่วยที่ดูอ่อนวัยที่สุดผู้หนึ่งมีสีหน้าลังเล ทั้งยังพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “นายกองหลิน นับตั้งแต่มีการปล้นทรัพย์ ถนนเส้นนี้ก็ไม่ค่อยมีผู้ใดใช้นัก ต้องเงียบเป็นธรรมดา อีกอย่างบนถนนเส้นนี้ไม่มีผู้คนสัญจร พวกโจรภูเขาไม่น่าจะมาวางกับดักไว้นะขอรับ…”
ในตอนที่วางแผนก่อนหน้านั้น หลินเหราและคนอื่นได้คิดพิจารณาถึงสถานการณ์บนถนนเส้นนี้แล้ว
คนเดินทางน้อย พวกโจรภูเขาไม่มีทางลงทุนลงแรงกับที่นี่ พวกเขาเองก็มีโอกาสได้มาสำรวจแล้ว
แม้แต่เจิ้งอันยังเกิดความลังเล จึงมองไปทางหลินเหราและรอคำตอบของเขา
หลินเหราหันกลับไปมองสีหน้าของทุกคน และส่ายหัวอยู่เงียบ ๆ ในใจ ทหารประจำหน่วยกลุ่มนี้ยังอ่อนหัดนัก ประสบการณ์ก็ไม่มากพอ
เขาอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เคยเดินเขากันบ้างหรือไม่? เส้นทางที่ไม่มีคนเดินผ่านเหล่านั้นย่อมเงียบเชียบมาก แต่ความเงียบนั้นแตกต่างจากความเงียบของที่แห่งนี้”
ความไวต่อความรู้สึกของหลินเหรามาจากการเคี่ยวเข็ญจากในสนามรบ เขาเคยนอนอยู่ท่ามกลางหิมะทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน เพียงเพื่อตีฝ่าแนวป้องกันของชาวซยงหนูในเวลาที่ดีที่สุด
ความเงียบสงัดนี้ เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
[1] เถาฮวาซิน คือไม้มะฮอกกานี
สารจากผู้แปล
หวานเจี๊ยบ หวานตัดขา คนหนึ่งก็แกะสลักปิ่นให้กับมือ อีกคนก็ปักผ้าเช็ดหน้าที่มีสัญลักษณ์ชื่อของเขาให้ ฮื้อออออ
มีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว พี่เหราระวังตัวนะคะ
ไหหม่า(海馬)