ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 138 ได้ยินเหล่าพี่น้องที่กลับมาพูดกัน
ตู้เหิงมองไปยังหลินเหราด้วยสายตาพร่ามัวเพราะหยาดน้ำตา โดยไม่รู้ว่ากำลังเฝ้ารอสิ่งใดในใจ บางทีอาจเป็นความอบอุ่นเพียงเล็กน้อยในสายตาที่เย็นชาคู่นั้น หรือไม่ก็การปลอบโยนด้วยประโยคง่าย ๆ
แต่สุดท้ายหลินเหราก็ไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ให้นาง
ทว่ากลับเหมาะสมกับนิสัยภายในร้อน ภายนอกเยือกเย็นของเขายิ่งนัก
เจิ้งอันที่อยู่ข้างกายจึงพูดขึ้นว่า “สหายหลินมีผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดผืนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ให้แม่นางผู้นี้เช็ดคราบน้ำตาเสียหน่อยเถอะ ดูน้ำตานี่สิ…”
หลินเหราขมวดคิ้ว คิดในใจว่าไม่ว่าอย่างไรจะไม่ยอมหยิบยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เหยาซูปักให้เขาให้ผู้อื่นใช้เด็ดขาด
เขาจึงปฏิเสธออกไปโดยตรง “ไม่สะดวก พวกเจ้าใครมีก็ให้แม่นางผู้นี้ยืมเองเถิด”
และแล้วบรรยากาศน่าอึดอัดใจก็พลันปรากฎอีกครั้ง
เป็นเจิ้งอันที่เอ่ยปาก “แม่นางตู้ ข้ามีพอดี เจ้าใช้ของข้าก่อนเถอะ”
ตู้เหิงพยักหน้าอย่างสุภาพ พร้อมรับผ้าเช็ดหน้ามา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ขอบคุณ”
ทุกอิริยาบถแสดงออกถึงลักษณะของสตรีผู้สูงศักดิ์
ตั้งแต่เล็กจนโต ตู้เหิงเป็นดุจดวงดาวที่เจิดจรัส ครอบครัวก็ดี หน้าตาก็ดี พรสวรรค์ก็ดี ทำให้มีชายหนุ่มรูปงามจำนวนไม่น้อยในเมืองต่างพากันมาเกี้ยวพาราสีแบบคลุมเครือไม่ก็ตรงไปตรงมา หากแต่นางก็ไม่ได้ชอบพอกับชายใดสักคน
ในบรรดาคนเหล่านี้ หากผู้ใดแสดงท่าทางเฉยชาเช่นนี้กับนาง ตู้เหิงไม่แม้แต่จะปรายตามองคนผู้นั้นเสียด้วยซ้ำ
แต่มีแค่หลินเหราเพียงผู้เดียวที่ทำให้นางต้องทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่ตัวเองกำหนดไว้
ความที่รู้ว่าหลินเหราเป็นคนพูดน้อย เจิ้งอันจึงเริ่มพูดคุยกับตู้เหิงและแม่นมที่อยู่ด้านหลังของนาง เพื่อวางแผนให้ทั้งสองคนในอนาคต
เมื่อได้ยินตู้เหิงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพเจอกับสาวใช้ของข้าหรือไม่? ข้าให้นางวิ่งออกมาตามคนไปช่วย…”
เจิ้งอันรีบพูดขึ้นทันที “แม่นางเรียกข้าว่าเจิ้งอันก็พอ เราเจอนางแล้ว แม่นางผู้นั้นบัดนี้ได้ถูกพาตัวไปอีกด้านหนึ่งของเส้นทางภูเขา ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน แม่นางวางใจได้”
รอจนกระทั่งทั้งห้าคนพักผ่อนเพียงพอแล้ว หลินเหราจึงหันกลับไปพูดกับทุกคน “เก็บของเตรียมเดินทาง ต้องไปดูสถานการณ์ของเซวียชางและคนอื่น ๆ สักหน่อย”
หลินเหรามักจะแสดงท่าทางเย็นชาเช่นนี้เสมอ คนที่ติดตามเขาต่างคุ้นชินแล้ว มีแค่แม่นมข้างกายของตู้เหิงที่ดูไม่เข้าใจ นัยน์ตาของนางดูไม่สบอารมณ์นัก เพราะมองออกถึงความคิดที่ตู้เหิงมีต่อหลินเหรา จึงเอ่ยเตือนหญิงสาวเสียงเบาว่า “คุณหนู เกรงว่าท่านแม่ทัพหลินท่านนี้จะไม่ใช่คนที่น่าคบค้าสมาคมได้นะเจ้าคะ”
ความตั้งใจเดิมของแม่นมคืออยากเตือนตู้เหิง คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะส่ายหน้าและพูดว่า “เรื่องของข้า แม่นมไม่ต้องมายุ่ง”
หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย อยากพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นเจิ้งอันเดินเข้ามาเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “แม่เฒ่า สู้ให้ข้าน้อยแบกท่านไปดีกว่าหรือไม่? ขาของท่านยังบาดเจ็บอยู่ กลัวว่าจะเดินเหินไม่สะดวก เส้นทางนี้ก็ไม่สั้นนัก”
แม่นมมองไปทางคุณหนูของตัวเองด้วยความลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นความสนใจทั้งหมดของนางหยุดอยู่บนใบหน้างดงามที่ดูเย็นชาผู้นั้น ก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างจนปัญญา
ท่าทางนี้ เจิ้งอันมองเพียงแวบเดียวก็เห็นถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแล้ว
แต่ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็เป็นสตรี ไม่สามารถโพล่งออกไปโดยตรงได้ เจิ้งอันจึงครุ่นคิดอยู่หลายตลบ ไม่รู้ว่าจะพูดให้ฟังรื่นหูได้อย่างไร ทำได้แค่พูดว่า “ท่านแม่ทัพหลินของเราไม่เพียงแต่จะนำทัพทำสงครามได้ ต่อภรรยาและลูก ๆ ของตัวเองก็ดูแลอย่างดี เป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวมากยิ่งนัก”
ว่าอย่างไรนะ?! ภรรยา? ผู้แซ่หลินคนนี้มีภรรยาแล้วหรือ?
แม่นมตกตะลึงพรึงเพริดอยู่ในใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของตู้เหิงไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด แม่นมที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งร้อนใจ
แม่นมชราไม่กล้าพูดมากความ ทำได้เพียงแค่แกล้งพูดอย่างประหลาดใจว่า “ท่านแม่ทัพหลินมีภรรยาและลูกแล้วหรือ? ข้าก็ว่าเช่นนั้นแหละ เพราะอายุก็คงไม่ใช่น้อยแล้ว?”
ยังไม่ทันรอให้เจิ้งอันเอ่ยปากพูด กลับเห็นตู้เหิงขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจว่า “แม่นม มีภรรยามีลูกแล้วอย่างไร? ท่านแม่ทัพหลินประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอยู่ในวัยที่จิตใจกำลังฮึกเหิม”
นางรู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว ในตอนที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนในอดีตก็เคยได้ยินคนพูดกันว่าคนที่เป็นภรรยาของเขา บัดนี้ได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว!
เมื่อได้ยินประโยคนี้ แม่นมก็พลันร้อนใจ “คุณหนู!”
มีภรรยามีลูกแล้วอย่างไรน่ะหรือ?! นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเจ้าอาลักษณ์หลวงในราชสำนัก แต่กลับอยากเป็นอนุภรรยาของนายกองผู้ต่ำต้อยในชนบทเนี่ยนะ?
ตู้เหิงรู้ว่าตัวเองได้พลั้งปากพูดกับคนภายนอกไปแล้ว
ในใจของตู้เหิงยังคงยืนหยัด แต่กลับไม่รู้ว่าสำหรับแม่นมที่ดูแลนางมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่นั้น ท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของนางน่าหวาดกลัวมากเพียงใด
แม่นมชราไม่กล้ากล่าวให้มากความ กลัวอย่างเดียวว่าจะกระตุ้นอารมณ์ตรงข้ามของตู้เหิง จึงทำได้แต่ปลอบโยนนาง “คุณหนู เราตามแม่ทัพรองเจิ้งกลับเข้าเมืองกันก่อนเถิด….”
ถึงกระนั้นเจิ้งอันก็เป็นบุรุษ ความคิดย่อมไม่ละเอียดอ่อนมากพอ อีกทั้งไม่อาจจับจ้องสตรีเป็นเวลานานได้ จึงมองไม่เห็นความคิดของตู้เหิง
เมื่อเห็นแม่นมพูดเช่นนี้ เขาก็แบกหญิงชราขึ้นหลังพลางเดินนำตู้เหิงไปยังทิศทางเข้าเมือง
ตู้เหิงไม่กล่าวคำใด หญิงงามผู้สูงศักดิ์บัดนี้กลับต้องทนเดินด้วยเท้าที่ปวดระบม
แล้วใครใช้ให้นางเลือกเล่า?
เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันนี้ขึ้น หลินเหราเองก็ได้รับบาดเจ็บ แผนการโจมตีโจรบนภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่จึงต้องล่าช้าไปอีกสองสามวัน
โชคดีที่หลินเหราจัดการให้เซวียชางและพรรคพวกตั้งรับอยู่ที่เดิม ไม่เพียงแต่จะคุ้มกันตู้เหิง นายและบ่าวส่งเข้าเมืองอย่างปลอดภัยแล้ว ทั้งยังจับผู้คุ้มกันในหน่วยคุ้มกันของฉางเฟิงทั้งสองคนกลับมาได้อีกด้วย
เพราะไหล่ของหลินเหราได้รับบาดเจ็บ หัวหน้าผู้ตรวจการจึงให้เขาหยุดพักสองวัน กลายเป็นเหยาเฉาที่ต้องมารับหน้าที่ไต่สวนเชลยผู้โชคร้ายสองคนนั้น
เช้าวันที่สองหลังจากจับคนชั่วได้ เหยาเฉาก็พาเซวียชางเข้าไปในคุก
วันนี้เหยาเฉาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีกรมท่า ส่วนผมถูกรวบด้วยผ้าคาดผมสีเดียวกัน ทั้งร่างดูสะอาดสะอ้านและหล่อเหลายิ่งนัก ทั้งยังมีบุคลิกภาพที่ดูเรียบง่ายไม่โดดเด่นเกินไป
เซวียชางก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็เปิดประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมให้เหยาเฉา พลางหันกลับไปถามเขาว่า “พี่รองเหยา เรานำตัวพวกเขากลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมจะต้องรอให้ถึงวันนี้ถึงจะไต่….”
เหยาเฉาไม่รีบตอบคำถามของเซวียชาง แต่กลับถามว่า “ทำไมเมื่อวานนี้ถึงขังสองคนนั้นในคุกใต้ดิน?”
เมืองชิงถงมีคุกสองแห่ง ส่วนใหญ่คุกบนพื้นดินจะเป็นที่กักขังของคนที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ มีเพียงโจรที่มีจิตใจอำมหิตเท่านั้นถึงจะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
เซวียชางหยิบคบไฟแท่งหนึ่งหน้าประตูคุกใต้ดิน จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ “เมื่อวานหลังจากที่กลับมาพร้อมกับนายกองหลินก็ขังพวกเขาไว้ทันที ตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าชั่วยามแล้ว ….”
เมื่อเหยาเฉาได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ห้าชั่วยามโดยที่ข้าวและน้ำไม่ตกถึงท้องแม้แต่น้อย แล้วยังต้องถูกขังอยู่ในสถานที่ที่เย็นยะเยือกและอับชื้น ดูท่าคงจะได้ที่แล้ว”
เซวียชางตะลึงงันไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด “ได้ที่แล้ว? ได้ที่แล้วอะไร?”
ทหารประจำในจวนตรวจการส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่เสียตรงที่สมองปราดเปรื่องไม่มากพอ
เมื่อเหยาเฉาพูดเช่นนี้ เซวียชางกลับสมองทื่อราวกับต้นไม้ ไร้ซึ่งสติปัญญา
ในใจของชายผู้สง่างามรู้สึกเอือมระอา เหยาเฉาจึงหยุดเดิน “แม่ทัพใหญ่เซวีย เรามาไต่สวน จะยังมีอะไรได้ที่ไปมากกว่านี้อีกเล่า?”
เมื่อเห็นเหยาเฉาส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ เซวียชางจึงเกาศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “พี่รอง สมองข้าคงปราดเปรื่องสู้ท่านไม่ได้ ต่อไปหากท่านมีเรื่องอะไร แค่ออกคำสั่งให้ข้าปฏิบัติก็พอ….”
เหยาเฉาใช้พัดในมือเคาะศีรษะของเซวียชางโดยไม่บีบบังคับใด ๆ อีก นอกจากพูดว่า “ถูกขังโดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหลายชั่วยาม คงจะหิวโหยมากน่าดู เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนที่มีปณิธานมุ่งมั่นพิเศษเท่านั้นที่จะอดทนได้ คนทั่วไปเกรงว่าคงจะทนไม่ไหว ถึงตอนนั้นเราอยากจะถามอะไร ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากแล้วไม่ใช่หรือไร?”
เซวียชางนิ่งอึ้ง “อ่อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
เขาไม่เคยไต่สวนมาก่อน และไม่คิดว่างานด้านนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เหยาเฉานั้นอ่อนโยนและใจกว้างต่อคนรอบข้างเสมอ วันนี้กลับมองเซวียชางแวบเดียวก็พูดเสริมขึ้นมาว่า “วันข้างหน้าหากเจ้าจะตามอาเหราไปปฏิบัติหน้าที่ ต้องใช้สมองมากกว่านี้”
หลินเหรามาหน่วยลาดตระเวนเพียงไม่กี่วัน ทุกคนต่างรู้ว่าเขาเป็นคนที่เข้มงวดและเย็นชามาก ทั้งยังเพิกเฉยต่อข้อบกพร่องของลูกน้องอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าคนเช่นนี้ ทุกคนแทบอยากจะเคารพอยู่ห่าง ๆ แต่เมื่อเป็นหลินเหรากลับเป็นเรื่องปกติเสียอย่างนั้น
เพราะเขาก็เป็นเช่นนี้กับตัวเอง ไม่เคยหละหลวมแต่อย่างใด
เซวียชางหัวเราะ “ฮิๆ” ออกมา จากนั้นก็พยักหน้า “พี่รองชี้แนะถูกต้อง นายกองหลินเข้มงวดจริง ๆ นั่นแหละ”
เหยาเฉามองไปทางเขาจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ในเมื่อคิดว่าหลินเหราเข้มงวด เหตุใดยังจะตามเขาไปปฏิบัติหน้าที่อีกเล่า?”
ชายหนุ่มจึงเผยรอยยิ้มออกมาและพูดอย่างจริงใจว่า “ปฏิบัติหน้าที่ให้นายกองหลิน เป็นความยินยอมสมัครใจ ที่ต้องทนต่อความยากลำบากก็ล้วนเพื่อตัวเราเอง”
เหยาเฉาแสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน อาเหราสามารถซื้อใจพวกเจ้าได้ทั้งหมดเลยหรือ? เมื่อสองสามวันก่อนยังได้ยินพวกเจ้าบ่นอยู่เลยไม่ใช่รึว่าตอนที่อาเหราลงโทษพวกเจ้าก็แทบเจียนตายเลยนี่?”
เซวียชางพูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อวานนายกองหลินพาเพื่อนพ้องไปตรวจสอบเส้นทาง พี่รองไม่เห็น… เราเห็นความสามารถของนายกองหลินกับตาตัวเอง เรื่องที่เขาวิเคราะห์ไตร่ตรองสถานการณ์ในสนามรบได้อย่างแม่นยำ แม้แต่ความสามารถในการเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้พวกเราเทียบไม่ติดเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น … นายกองหลินเขายอมให้ตัวเองบาดเจ็บ เพื่อช่วยสหายของตนเอง แค่เรื่องนี้ ก็มากที่เราจะขอสาบานว่าจะติดตามเขาไปทุกที่แล้ว”
ความจริงแล้วเขาได้ยินเรื่องเหล่านี้มาจากพี่น้องที่กลับมาแล้วพูดกัน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เริ่มรู้สึกหมั่นไส้คุณหนูนางนี้เสียแล้วสิ วานพี่เจิ้งช่วยสั่งสอนให้นางหายจากโรคองค์หญิงด้วยเถิดเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นนางปีศาจจิ้งจอกคงจะถือกำเนิด รู้ว่าพี่เหรามีเมียแล้วยังคิดจะจับเหรอ เหอะ เกิดมาสูงส่งเสียเปล่าแต่ทำตัวเยี่ยงเดรัจฉานไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตำแหน่งนางเอกเธอวืดแล้วล่ะ
เฮ้อ ถ้านางได้ยินผู้แปลแซะแบบนี้แล้วจะร้องไห้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)