ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 139 ใครเป็นผู้รับช่วงต่อ
ในวันนั้นหลินเหรากำลังแบกรับความกดดันจากหัวหน้าผู้คุ้มกัน ช่วงเวลาคอขาดบาดตายก็ยังเข้ามาขัดขวางคมมีดให้ทหารประจำหน่วยที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยคนหนึ่งจนตนเองได้รับบาดเจ็บ
เซวียชางมีสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างมาก จึงส่ายหน้าพลางพูดอย่างทอดถอนใจว่า “จากความสามารถของนายกองหลิน เดิมทีไม่น่าบาดเจ็บได้”
เหยาเฉากลับไม่รู้ว่าเรื่องที่หลินเหราได้รับบาดเจ็บยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้
เขาพยักหน้าเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะยิ้มพลางพูดกับเซวียชางว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันข้างหน้าพวกเจ้าจะต้องฟังคำสั่งของนายกองหลินให้มากขึ้น ก็เท่านั้น”
เซวียชางพยักหน้าหงึกหงัก “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
คบไฟที่เขาถือมาตลอดทางไม่ได้ส่องไปด้านหน้า แต่กลับส่องให้แสงสว่างบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของเหยาเฉาอย่างระมัดระวัง พลางพูดว่า “พี่รองไม่ควรเข้ามาในคุกใต้ดินเลยขอรับ ที่นี่ทั้งหนาวทั้งชื้น บนพื้นก็เต็มไปด้วยหนู ระวัง!”
ในขณะที่พูดนั้นก็มีหนูสีเทาทั้งอ้วนทั้งใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งเฉียดเท้าของเหยาเฉาไป
เดิมทีคิดว่าเขาจะตกใจ แต่เหยาเฉาไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ตรงกันข้ามกลับพูดว่า “ส่องทางของเจ้าเถอะ ข้ามองเห็น”
เมื่อเซวียชางเห็นเหยาเฉาไม่ต้องการให้ตัวเองปกป้อง จึงแสดงสีหน้าเหยเกแล้วยื่นคบไฟไปด้านหน้า ส่องทางข้างหน้าให้สว่างขึ้นแทน
บางครั้งเหยาเฉาก็ไม่ค่อยเข้าใจจริง ๆ ว่าในสมองของทหารประจำหน่วยแสนซื่อในจวนกลุ่มนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
เห็นได้ชัดว่ายามถอดเสื้อเขาก็มีกล้ามเนื้อที่ชัดเจนกว่าผู้ใดบนสนามฝึก แม้แต่ทหารประจำหน่วยสองคนรวมกันก็ยังสู้เขาไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างมองว่าตนนั้นเป็นผู้ที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่…
ขนาดเมื่อวานในตอนที่ออกไปสำรวจทางนั้น หัวหน้าผู้ตรวจการยังพูดขึ้นว่า “ระหว่างทางอาจจะพบเจออันตรายจากพวกโจร อาเฉาไม่ต้องตามไปด้วยหรอก อยู่ออกคำสั่งในจวนก็พอ”
เช่นนั้นแล้วเขาจึงจนปัญญา ได้แต่น้อมรับอย่างเงียบ ๆ
ทั้งสองคนมาถึงสถานที่ที่ใช้คุมขังผู้คุ้มกันทั้งสองคนในส่วนลึกของคุกใต้ดิน เซวียชางได้นำคบไฟที่อยู่บนมือไปจุดตะเกียงน้ำมันบนกำแพงคุก แสงไฟสลัวก็พลันสว่างทั่วทั้งคุกใต้ดิน
“ใคร ใครกัน…”
ทั้งสองคนที่อยู่ในคุกใต้ดินเคยชินกับความมืดที่ไร้แสงไฟแล้ว เมื่อมีแสงสว่างขึ้นฉับพลัน จึงลืมตาได้อย่างยากลำบาก
รอกระทั่งพวกเขาปรับสายตาให้เข้ากับแสงไฟที่ไม่ถือว่าเจิดจ้านักได้ จึงมองเห็นชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีกรมท่าผู้หนึ่งยืนอยู่บนแผ่นหินที่เปียกชื้นด้านนอก ดูท่าไม่ใช่ปุถุชนทั่วไป แต่กลับเหมือนจอมยุทธผู้ไร้ร่องรอยอย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือ ไม่ก็เทพเซียนที่มาช่วยพวกเขา…
สมองของทั้งสองคนต่างเกิดความสับสน ก่อนจะเอ่ยถามความงุนงงว่า “เจ้ามาช่วยเราอย่างนั้นหรือ?”
เหยาเฉาเผยสีหน้าเอือมระอา เมื่อเห็นพวกเขาไม่เหลือแม้แต่แรงจะต่อสู้ จึงส่งสัญญาณให้เซวียชางเปิดประตูใหญ่ของคุกใต้ดิน
เมื่อโซ่เหล็กกระแทกกับประตูคุกเย็นเฉียบ ก็พลันเกิดเสียงก้องกังวานขึ้น ครั้นผู้คุ้มกันได้ยินเสียงเสรีภาพนี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าผู้ที่ยืนอยู่นอกประตูนั้นเป็นผู้ที่มาช่วยพวกเขาจริง ๆ
“พ่อหนุ่ม… เจ้าคือคนที่หัวหน้าส่งมาใช่หรือไม่?”
หนึ่งในผู้คุ้มกันชุดดำมีใบหน้าบวมเป่งจนมองไม่เห็นรูปโฉมเดิม ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายด้วยความซาบซึ้งใจ ทั้งยังคิดจะเดินไปจับมือของเหยาเฉา แต่อีกฝ่ายกลับหลบเลี่ยงอย่างว่องไว
ชายชุดฟ้าอีกคนที่มีเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมจนมองไม่เห็นสีเดิมได้กระชากสหายไร้สมองผู้นี้พลางพูดเสียงต่ำว่า “เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร เจ้านี่เป็นพวกเดียวกับพวกเขา”
เขาชี้ไปยังเซวียชางที่ถือคบไฟอยู่ในมือ สหายชุดดำจึงตัวสั่นเทากระทั่งนึกถึงความน่ากลัวที่ถูกเขาทุบตีจนใบหน้ายับเยินขึ้นได้
เมื่อเห็นพวกเขามีสีหน้าหวาดกลัว เหยาเฉาจึงได้มองไปทางเซวียชางด้วยความประหลาดใจ พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย เหมือนจะถามว่า ‘เหตุใดถึงได้ทำร้ายจนเขามีสภาพเช่นนี้?’
เซวียชางยิ้มอ่อนโดยไม่พูดสิ่งใด
เหยาเฉาพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาคิดหาทางข่มขู่โจรน้อยสองคนนี้ไปได้มากทีเดียว
“พวกเจ้าสองคนเคยชินกับคุกใต้ดินแห่งนี้แล้วสินะ? ยังอยากอยู่ต่ออีกสักสองวันใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงที่สดใสของเขาดังขึ้นภายในคุกใต้ดินที่เย็นยะเยือกและว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหู แต่เมื่อผู้คุ้มกันทั้งสองคนได้ยินกลับหวาดกลัวอย่างมากทีเดียว
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว….” ผู้คุ้มกันชุดดำถูกทารุณจนบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง ประกอบกับสถานที่มืดมิดไร้แสงตะวันและหนาวเหน็บถึงกระดูกแห่งนี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้เขามากพอแล้ว จึงกลัวว่าสองคนโฉดตรงหน้าจะทิ้งตนให้อยู่ต่ออีกสองสามวัน
เมื่อเซวียชางเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา จึงด่าประณาม “เมื่อวานยังหยิ่งผยองอยู่เลยนี่ ทั้งยังข่มขู่ว่าหน่วยคุ้มกันเมืองฉางเฟิงจะกวาดล้างเมืองชิงถงเล็ก ๆ แห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลองด้วย… แล้วเหตุใดตอนนี้หัวหน้าของพวกเจ้ายังไม่มาช่วยอีกเล่า? กลัวอย่างนั้นหรือ?”
ผู้คุ้มกันชุดดำเดิมทีคิดว่าตัวเองนั้นเป็นวีรบุรุษผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แม้ความตายมาเยือนตรงหน้าก็ไม่กลัว แต่บัดนี้กลับพบว่า แค่ทรมานเขารอบเดียวก็ทำให้เขายอมจำนนอย่างว่าง่ายแล้ว
เขาเกือบจะร้องไห้โฮออกมา กระทั่งพูดยอมรับผิด “ใต้เท้า ข้ารู้ผิดแล้ว ใต้เท้า … ความจริงแล้วสหายของเราไม่รู้ว่าได้บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของท่าน ทั้งยังล่วงเกินท่าน เป็นเราเองที่มีตาหามีแววไม่ พวกท่านได้โปรดเมตตาเราด้วย วันข้างหน้าหากเราสองสหายได้เดินทางมายังสถานที่อันรุ่งเรืองอย่างเมืองชิงถงอีก จะไม่มีวันลืมท่านผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแน่นอน!”
หน่วยคุ้มกันเมืองฉางเฟิงคือรังโจรแห่งหนึ่ง มักจะเลี้ยงผู้ที่มีร่างกายกำยำแต่ไร้สมองให้เป็นผู้คุ้มกัน ซึ่งสิ่งโปรดปรานที่สุดคือการเจรจาต่อรอง
เหยาเฉามองเห็นธาตุแท้ของหน่วยคุ้มกันเมืองฉางเฟิงได้จากคำพูดนี้ของเขา จึงทำได้แค่เอ่ยถามเขาว่า “หน่วยคุ้มกันของพวกเขามีหน้าที่อะไร? ทำเรื่องขาดคุณธรรมด้วยการออกปล้นผู้อื่นใช่หรือไม่? แล้วมีจำนวนเท่าไร อยู่ที่ใด? หัวหน้าที่เจ้าเอ่ยถึงเป็นผู้นำของหน่วยคุ้มกันใช่หรือไม่?”
เขาพ่นคำถามอย่างต่อเนื่อง โดยไม่รู้เหนื่อยหอบเลยแม้แต่น้อย และไม่กลัวว่าผู้คุ้มกันชุดดำจะไม่ตอบคำถามด้วย
ผู้คุ้มกันชุดดำคนนั้นบอกทุกอย่างที่รู้ บอกจนหมดเปลือกพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “เรา เราคือหน่วยคุ้มกันที่คอยคุ้มกันลูกค้า… เพียงแต่ เพียงแต่มีเหล่าพี่น้องบางคนขัดสนเรื่องเงินทอง จึงแต่งกายเป็นโจรภูเขา ออกปล้นชาวบ้าน จนเรื่องนี้สร้างประโยชน์ให้กับชื่อเสียงของหน่วยคุ้มกันของเราอย่างมาก…”
ฝ่ายหนึ่งก็แต่งกายเป็นโจรภูเขา อีกฝ่ายก็แต่งกายเป็นผู้คุ้มกัน ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน จนทำให้ชื่อเสียงของหน่วยคุ้มกันเมืองฉางเฟิงดีขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ?
เซวียชางรู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ จู่ ๆ ยกเท้าฉับพลัน จากนั้นก็ถีบชายชุดดำคนนั้นจนกระเด็นไปไกลสองจั้ง “สวะ! ยังมีหน้ามาเปิดร้านทำการค้าอีกนะ!”
เหยาเฉาหันไปถลึงตาใส่เซวียชาง “ข้ายังถามไม่จบ เจ้าช่วยอดทนหน่อยได้หรือไม่?”
โชคดีที่แม้ว่าชายชุดดำจะตีลังกาลงไปกองกับพื้นแล้ว แต่ก็ยังมีชายชุดฟ้าอีกคน สายตาของเหยาเฉาจึงหยุดอยู่บนใบหน้าของเขา จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าพูดต่อสิ”
ชายชุดฟ้าโกรธจนไม่กล้าพ่นลมหายใจออกมา เพราะกลัวว่าลมหายใจของตัวเองจะขัดหูขัดตาสองผู้นี้เข้า ทำได้เพียงแค่พูดอย่างเดียวว่า “หน่วยคุ้มกันของเรามีจำนวนทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบกว่าคน โดยส่วนใหญ่มักจะทำการค้าเป็นหลัก หน่วยคุ้มกันเมืองฉางเฟิงนั้นตั้งอยู่ในเมืองหลวง นอกจากเมืองทางทิศตะวันตกที่ไม่มีแล้ว เมืองทิศตะวันออกส่วนใหญ่ต่างก็มีหน่วยย่อย…”
เมื่อได้ยินว่าจำนวนสามร้อยห้าสิบคน เหยาเฉาก็เลิกคิ้วสูงแต่กลับไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด
ชายชุดฟ้าแอบสังเกตสีหน้าของเหยาเฉาเงียบ ๆ เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าโกรธเคืองแต่อย่างใด จึงได้พูดต่อว่า “หัวหน้าของเราเป็นพี่ใหญ่ของหน่วยสามในเมืองหลวง ส่วนเราสองพี่น้องก็เป็นคนของหน่วยสาม”
เซวียชางที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “เราไม่ใช่พวกเดียวกัน พูดดี ๆ หน่อยสิ!”
คนที่ออกท่องยุทธภพคุ้นเคยกับการเดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ บางครั้งก็มีบางคำพูดที่ช่วยให้กระชับความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยที่ไม่มีเจตนาอื่น ซึ่งกลับทำให้เซวียชางที่เกลียดการกระทำชั่วช้าของพวกเขายิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้น
ชายชุดฟ้ารีบพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ ใช่ ใช่ ใต้เท้าพูดถูก”
เหยาเฉาเข้าใจในสถานการณ์ของหน่วยคุ้มกันฉางเฟิงโดยรวมแล้ว จึงเอ่ยถามสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น “ครั้งนี้การคุ้มกันแม่นางผู้สูงศักดิ์ของเจ้าอาลักษณ์หลวง ใครเป็นผู้รับช่วงกิจการต่อ?”
ใบหน้าของชายชุดฟ้าผู้นั้นพลันเปลี่ยนสี ก่อนจะครุ่นคิดและพูดว่า “ผู้ดูแลหน่วยท่านหนึ่งได้มอบแม่นางผู้นี้ให้แก่หัวหน้าของเรา…. บอกว่าให้ช่วยคุ้มกันไปส่งยังสถานที่แห่งหนึ่งในทิศตะวันตก เหล่าพี่น้องก็ไม่ค่อยรู้แน่ชัดนักหรอก”
เหยาเฉาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของเรื่องราวได้อย่างว่องไว จึงถามต่อทันที “โดยทั่วไปเวลาที่หน่วยจะทำการค้า จะต้องจัดหน่วยย่อยของหน่วยคุ้มกันมาคุ้มกันลูกค้าอย่างนั้นหรือ?”
ชายชุดดำตะเกียกตะกายคลานขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ขดตัวอยู่อีกด้านไม่กล้าส่งเสียงแต่อย่างใด มีแต่ชายชุดฟ้าที่อธิบายต่อ “ไม่ใช่ หน่วยหลักและหน่วยย่อยนั้นแยกกัน ใครที่ทำการค้าต่อก็เป็นของผู้นั้น”
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เห็นท่าทางเอาใจใส่พี่เฉาอย่างดีก็เกือบจะก้าวขาลงเรือผีลำนี้แล้วค่ะ ยิ่งพี่เฉามีหน้าตาดึงดูดทั้งหญิงและชายอยู่ด้วย
ว่าแต่ทำไมขบวนรถม้าของคุณหนูต้องผ่านดงโจรป่าด้วยนะ ทำไมไม่ใช้ทางใหญ่ที่สะดวกกว่านี้
ไหหม่า(海馬)