ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 145 ทำให้รู้สึกเงียบสงบอย่างมาก
เจิ้งอันเองก็ไม่อยากทำลายไมตรีจิตเพียงเพราะความวู่วาม ให้เขาทรมานอย่างสูญเปล่า จึงจงใจหัวเราะฮิๆ และเอ่ยวาจาแทรกมุกตลกออกไป “ชาวชนบทอย่างเราไม่รู้จักคำพูดรื่นหูที่ชาวเมืองอย่างพวกท่านพูดกันหรอก ขำ ๆ นะ ขำ ๆ!”
ตู้เหิงปรายดวงตาคู่งามมองออกไป กระทั่งเห็นหลินเหราที่ยังคงยืนอย่างไม่แยแสอยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็บังเกิดความเจ็บปวดในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้
หญิงสาวรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้มีนิสัยเย็นชา แต่ในตอนที่นางกำลังเผชิญหน้ากับความเย็นชานี้ด้วยตนเอง นางกลับรับไม่ได้เสียอย่างนั้น
เขาเคยออกแรงช่วยเหลือนาง ด้วยการสร้างสุสานบรรจุร่างของนางอย่างระมัดะวัง ยอมขัดต่อเจตจำนงของเบื้องบนเพื่อตระกูลตู้อย่างชัดเจน…เขาปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด
ในยามดึกที่เงียบสงัด หญิงสาวเคยเห็นความอ่อนแอที่ฉายชัดในดวงตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการความอบอุ่นและโหยหาความรัก!
หากเหยาซูอยู่และรู้ความคิดของตู้เหิง จะต้องแอบด่านางว่า ‘รักจนโงหัวไม่ขึ้น’ แน่
ก่อนที่ตู้เหิงจะเจอกับหลินเหรา นางอยากใกล้ชิดเขาก็เพื่อจะใช้อำนาจของราชสำนักในอนาคตของเขามาแก้แค้นให้ตนเอง
แต่เมื่อตอนที่นางยืนอยู่ตรงหน้าของหลินเหรา สัมผัสถึงความรู้สึกของเขา ได้ใกล้ชิดเขา ก็ยิ่งเกิดความคิดมากมายในใจว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เขาตกหลุมรักตัวเอง
แต่ชายที่ไม่มีหัวใจเช่นนี้ ไฉนเลยจะหลงกลโดยง่าย!
ตู้เหิงสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มความรู้สึกปั่นป่วนที่สุมในทรวง ประคองมือของแม่นมเอาไว้และค่อย ๆ ยืนขึ้น
หน้าผากเนียนเกลี้ยงเกลาของหญิงสาวเปื้อนไปด้วยคราบน้ำชาที่ยังไม่แห้งสนิท แต่สีหน้ากลับยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามยิ่งยวดของความเป็นสตรีในตระกูลผู้สูงศักดิ์ไว้ ราวกับว่าความอึดอัดในใจเมื่อครู่ได้หายไปหมดสิ้น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าต้องขอขอบคุณท่านแม่ทัพมาก วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว สู้เราค่อยคุยกันวันหน้าดีกว่า”
จิตใจของหลินเหราไม่ได้อยู่ที่นี่นานแล้ว เมื่อเหลือบเห็นท้องฟ้าที่ใกล้มืดลงเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้ว่าที่บ้านนั้นจะมีอาหารเหลือให้เขาหรือไม่ เขาจึงยิ่งต้องกลับไปโดยเร็ว
แต่เมื่อนึกถึงคำกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างทางของเจิ้งอัน หลินเหราจึงพูดในสิ่งที่เจิ้งอันสั่งให้ท่องอย่างจริงจังกับตู้เหิงว่า “คุณหนูตู้รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยขอรับ แม้ว่ารสชาติอาหารจะไม่ถูกปาก แต่ก็ควรต้องกินสักหน่อย”
พูดจบเขาก็พูดเพิ่มเติมด้วยคำพูดของตัวเองว่า “หากไม่สบายตัวก็จงไปหาท่านหมอ เพราะข้าคงรักษาท่านไม่ได้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ สีหน้าของตู้เหิงก็ดูดีขึ้น
มีเพียงคนโง่เขลาเท่านั้นที่คิดว่าใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกและน้ำเสียงราบเรียบเหล่านี้ของหลินเหราเป็นคำห่วงใยที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจโดยแท้จริง หากแต่ตู้เหิงสามารถเดามันออก เพื่อปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย เขาจึงต้องมาหานางที่นี่ และพูดคำห่วงใยเช่นนี้กับตนเอง
หญิงสาวกำหมัดแน่นด้วยโทสะจนทำให้ปลายเล็บจิกลงบนฝ่ามือ แต่ถึงกระนั้นก็จนปัญญาต่อชายตรงหน้า
สุดท้ายก็ทำได้แค่แสร้งทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นด้วยการเดินออกมาส่งแขก “แล้วพบกันใหม่ท่านแม่ทัพหลิน”
หลินเหราพยักหน้า หมุนตัวและเดินจากไป
เจิ้งอันเดินตามหลังไป หลังจากออกจากลานเล็กแล้วจึงได้ส่งเสียงหัวเราะฮิๆ ออกมาพร้อมกับพูดชื่นชม “คำพูดที่สหายหลินพูดเมื่อครู่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ได้ดีเชียว”
หลินเหราพูดตามที่เจิ้งอันชี้แนะจริง ๆ เขาท่องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ พูดได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
กระทั่งได้ยินเจิ้งอันถามเขาด้วยความสงสัย “เจ้าโน้มน้าวแม่นางให้ไปหาท่านหมอ แสดงว่าเห็นนางแสร้งเป็นลมสินะ?”
หลินเหราส่ายหน้า ชำเลืองมองเจิ้งอันอย่างไม่เข้าใจ โดยที่เท้าทั้งคู่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน “นางเป็นลมจริง ๆ”
เจิ้งอันตะลึงงัน “เป็นลมจริง? บังเอิญเกินไปหรือไม่?”
ในตอนที่เขาได้สติกลับมา หลินเหราก็สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปไกลแล้ว
“ไอ้หยา! สหายหลิน ไฉนรีบเดินเช่นนั้น… คืนนี้เราไปกินข้าวที่หอไป๋เว่ยด้วยกันสักมื้อดีหรือไม่? อาหารที่นำไปให้คุณหนูใหญ่ผู้นั้น นางไม่แตะเลยแม้แต่น้อย แต่กลับตะกละตะกลามต่ออาหารที่ข้านำไปส่ง! ไม่รู้ว่าคุณหนูในตระกูลที่มีชื่อเสียงผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างไร คงไม่ใช่ต้องดื่มน้ำค้างหรอกนะ?”
เมื่อเห็นเขาเริ่มพล่ามไม่หยุดราวกับควบคุมไม่ได้ หลินเหราจึงไม่สนใจ เดินตรงไปยังคอกม้าที่อยู่ในลานหลังจวนตรวจการทันที
เจิ้งอันเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นหน้า พร้อมกับยื่นมือไปขวางหลินเหราไว้ แต่กลับถูกเขาเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยง
เขาพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ไหล่ของเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ จะขี่ม้าได้อย่างไร?”
หลินเหรากลับส่ายหน้า แก้มัดเชือกของบังเหียนบนหลังม้าสีน้ำตาลแดงโดยไม่สนใจ จากนั้นก็พูดโดยไม่หันหน้ากลับไปมองว่า “บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก ข้ากลับบ้านละนะ”
ขณะพูด เขาก็ได้กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า จากนั้นใช้แขนทั้งสองข้างบังคับมันราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
กระทั่งหลินเหราควบม้าไปไกล เจิ้งอันก็เพิ่งได้สติกลับมา ‘ข้ากลับบ้านละนะ’ ประโยคนั้นเป็นการปฏิเสธคำชวนกินข้าวในหอไป๋เว่ยเมื่อครู่ของเขา
เขายืนอยู่ที่เดิมพลางส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ “ดูท่าวีรบุรุษก็ต้องการหญิงงามมารักษาเช่นกัน นอกจากอาซูน้องข้าแล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดลดความพยศที่แสนโหดร้ายของหลินเหราผู้นี้ได้…”
ขณะพูด เจิ้งอันก็อดมองไปยังลูกม้าที่อยู่ในคอกไม่ได้ ในนั้นมีแม่ม้าที่เชื่องมาก และมีม้าป่าทุ่งหญ้าที่ยังคงมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าอีกสองสามตัว ส่งเสียงฟึดฟัดออกมาทางจมูก
เขาตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นใช้การเปรียบเทียบไม่เหมาะสม “ไม่สิ ทำไมสหายหลินถึงเป็นม้าพยศละ? เขา… เป็นลูกม้า เป็นม้าป่าที่ไม่เข้าใจนิสัยของมนุษย์ ไร้เหตุผล ไม่เชื่องเลยสักนิด เอาแต่วิ่งเล่นอยู่ในเทือกเขาสูง ซึ่งห่างจากโลกมนุษย์หนึ่งแสนแปดพันลี้… ทั้งป่าเถื่อน ทั้งเยือกเย็น ฮิๆ!”
ในใจพลันเกิดความคิดที่สับสนวุ่นวาย เจิ้งอันจึงจูงม้าสีเทาของตัวเองเดินออกไปนอกจวน ตั้งใจจะไปห่ออาหารจากหอไป๋เว่ยกลับมากินกับเหยาเฉา
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลินเหราอ้อมถนนเส้นเล็กไปไม่นาน พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไป
ในตอนที่ควบม้ามาถึงลานบ้านนั้น เขาพลันเห็นเหยาซูยืนอยู่ใต้ต้นหลิวสีเขียวอ่อนที่เพิ่งแตกตาใบออกมาไม่นาน กำลังมองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มบังคับให้ม้าเร่งความเร็วขึ้น กระทั่งมาถึงตรงหน้านาง “อาซู เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ข้างนอก?”
ดวงตาเย็นเยือกดุจบึงน้ำอันเย็นเฉียบฉายแววตาล้ำลึกภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงสดใสงดงามเกินจะบรรยายได้ เห็นได้ชัดว่าเย็นชา แต่กลับผสมผสานไปด้วยความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามอัสดง
หลินเหรานั่งอยู่บนหลังม้า เหยาซูจึงต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นเขา
ร่างที่สูงโปร่งเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายคอเท่าไรนัก จึงทำแก้มพองพลางพูดกับเขาว่า “ออกมาซื้อขนม ลูกสาวของท่านอยากกินขนมแป้งทอด”
ขนมแป้งทอดเป็นอาหารพิเศษอย่างหนึ่งของทางตอนเหนือ วิธีการทำก็ง่ายแสนง่าย แค่ดึงเส้นแป้งให้กลายเป็นรูปเกลียว จากนั้นก็ทอดลงในน้ำมัน เป็นขนมที่เด็ก ๆ โปรดปรานมากที่สุด
หลินเหรากระโดดลงจากหลังม้าอย่างชำนาญ จากนั้นก็เดินมาข้างกายของเหยาซู และใช้มือซ้ายจับมือของเหยาซูอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะพานางเดินเข้าไปในลานบ้าน
ระหว่างนั้นก็พูดขึ้นว่า “ลูกสาวข้า ก็คือลูกสาวเจ้าไม่ใช่หรือ?”
เหยาซูไม่รู้ว่าตนไม่อยากให้เขาจับมือเช่นนี้ หรืออยากเผชิญหน้ากับหลินเหราโดยตรงกันแน่ จึงประท้วงอย่างเล่นแง่ว่า “ไม่ว่าจะลูกสาวใคร ถ้าลูกอยากกิน ข้าก็ต้องไปซื้อ!”
หลินเหราหันกลับไป พลันเห็นท่าทางดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษของนาง ช่างคล้ายกับท่าทางอาซือในรูปแบบผู้ใหญ่ยิ่งนัก
มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับหญิงสาวอย่างอบอุ่น “เอาล่ะ ไม่ต้องไปซื้อแล้ว ข้ากลับบ้านมาทอดให้ลูกสาวตัวน้อยกินแล้วนี่อย่างไร”
ขนมแป้งทอดของหลินเหราเหลืออีกครึ่งสุดท้าย นอกนั้นลงไปอยู่ในท้องของเหยาซูแล้ว
อากาศยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิไม่เย็นแล้ว ประตูห้องครัวถูกเปิดออก หลินเหราในชุดคลุมสีเทาหยุดยืนอยู่ข้างเตา จากนั้นก็นำแผ่นแป้งที่นวดและตัดไว้แล้วกดเข้าด้วยกันอย่างชำนาญ โรยงาเล็กน้อย รอจนน้ำมันร้อนได้ที่ แล้วก็นำมันลงทอดในกระทะ
แผ่นแป้งที่เดิมทีเป็นสีขาวก็พองตัวและกลายเป็นสีเหลืองทองอย่างรวดเร็ว ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอออกมา
เมื่อขนมแป้งทอดได้ที่แล้ว หลินเหราก็ใช้ตะเกียบคีบมันขึ้นมา สะเด็ดน้ำมันเบา ๆ จากนั้นก็วางลงบนจานในมือของเหยาซูที่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ รออยู่ข้างกาย
“ข้าขอดมหน่อยว่าหอมหรือไม่หอม….” ใบหน้าของนางแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา มือทั้งสองข้างจับจานไว้ จากนั้นก็ยื่นจมูกออกไปดม
หลินเหรากำลังทอดขนมแป้งทอดอีกสองสามชิ้นในกระทะ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันกลับไปมองผู้เป็นภรรยาครู่หนึ่ง
ฝ่ายชายพูดเสียงต่ำแฝงไปด้วยเจตนาดีโดยที่คนภายนอกฟังไม่ออกว่า “สู้ชิมไปเลยดีกว่า ดูสิว่าอร่อยหรือไม่”
เหยาซูก็ตั้งใจเช่นนี้
หญิงสาวดมมันอีกครั้ง สุดท้ายก็ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปหยิบของว่างร้อน ๆ ที่เพิ่งยกออกจากกระทะขึ้นมา
ในสมัยปัจจุบันเมื่ออดีตชาติ คุณป้าที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามักจะทอดขนมแป้งทอดให้เด็ก ๆ ในสถานรับเลี้ยงในช่วงปีใหม่เสมอ
เหยาซูในตอนนั้นทั้งผอมทั้งตัวเล็ก ไม่ใช่เด็กที่ช่างพูดและเป็นที่รักของผู้ใหญ่ ทุกครั้งก็ทำได้แค่เข้าแถวอยู่ด้านหลัง ยืนมองตาปริบ ๆ ไปยังเพื่อนตัวน้อยที่คุณป้าโปรดปรานที่สุดกินขนมเสร็จ กว่าจะถึงตานาง
ความทรงจำในตอนนั้นค่อนข้างเลือนรางมาก แต่ช่วงเวลาที่ตัวเองเฝ้ารอคอยอย่างคาดหวังและเป็นกังวลอยู่ในใจนี้ กลับกลายเป็นความประทับใจแรกที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของนาง
จนกระทั่งวันนี้ หญิงสาวเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้ความคาดหวังของตน ไม่ใช่เด็กที่ได้กินขนมที่เพิ่งยกออกจากกระทะเป็นคนแรก แต่สิ่งที่นางคาดหวัง คืออยากให้เด็กที่คุณป้าโปรดปรานและได้รับความรักในวัยเด็กนั้นคือตัวนางเอง
หลินเหราถามหญิงสาว “ร้อนหรือไม่?”
ฝ่ายชายหันกลับไป พลิกขนมในกระทะต่อไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกไปของเหยาซู
เหยาซูสูดลมหายใจ บิขนมแป้งทอดและส่งมันเข้าปาก
เมื่อกินขนมเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อน รสสัมผัสที่กรุบกรอบ แม้ว่าจะไม่ได้มีรสชาติพิเศษอะไร แต่ยิ่งเคี้ยวกลับยิ่งยิ่งหอม ตลอดจนถึงการเคี้ยวครั้งสุดท้าย ทำให้หลงใหลในความหอมหวานของขนมประเภทเส้น สร้างความพอใจแก่นางยิ่งนัก
“ไม่ร้อน” นางตอบกลับเสียงแผ่วเบา แต่เห็นได้ชัดว่ามันลวกปากเล็กน้อย แต่เหยาซูกลับรู้สึกว่า อุณหภูมินี้ทำให้น่าหลงใหลอย่างมากทีเดียว
ราวกับนางเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยที่ได้กินของว่างเป็นคนแรก
นางแสดงท่าทางเป็นสุขที่แม้แต่หลินเหราก็ไม่เข้าใจออกมา หญิงสาวเคี้ยวกรอบแกรบพลางพูดอย่างพอใจว่า “อร่อยมาก!”
ไม่นานขนมที่ทอดอยู่ในกระทะอีกสองชิ้นก็ได้ที่ หลังจากที่หลินเหราสะเด็ดน้ำมันแล้ว ก็คีบวางลงในจานบนมือของเหยาซู
เหยาซูยิ้มตาหยีพลางพูดอย่างแง่งอน “อย่าได้คิดเพ้อเจ้อจะอู้เชียว อาหารค่ำยังเป็นหน้าที่ท่าน!”
หลินเหราไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
เขาไม่เคยเข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตร่วมกับอีกคนมาก่อน คล้ายกับว่าการแต่งงาน คลอดบุตร เป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนกับการกินข้าวนอนหลับอย่างไรอย่างนั้น เพราะเป็นธรรมชาติเกินไปคนเราจึงไม่คาดหวังสิ่งใด ๆ
การเปลี่ยนแปลงของเหยาซู ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความสุขของการอยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก
เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ คนหนึ่งทอด อีกคนกิน เสียงลั่นเปรี๊ยะของฟืนไม้ที่ถูกเผาและเสียงฉู่ฉ่าของน้ำมันในกระทะทำให้สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบอย่างมาก
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หวายยยย คุณหนู บางทีนกมันก็ไม่ได้บินอยู่บนฟ้าเสมอไปหรอกนะคะ ใจของผู้ที่เธอหมายตามันไม่เคยอยู่กับเธอเลย ลอยกลับไปหาภรรยาที่บ้านแล้วจ้า
สามีทอด ภรรยากิน บรรยากาศช่างอบอุ่นอะไรอย่างนี้
ไหหม่า(海馬)