ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 156 มัดคนเหล่านี้ไว้
ไม่นานนัก เสียงของทหารประจำจวนคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกล ๆ “พี่ใหญ่หลิน พี่ได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?”
นี่เป็นสัญญาณเตือนของการปฏิบัติการ ทันทีที่ได้ยิน เหยาเฉาก็พลันลืมตาขึ้นทันใด
มาแล้ว!
“มีเสียงงั้นหรือ?”
กระทั่งเขาได้ยินหลินเหราพูดเช่นนี้ “ดูท่าคงไม่ดีนัก เราพักผ่อนกันพอแล้วรีบออกเดินทางกันเถอะ”
ทุกคนต่างตอบรับอย่างแข็งขัน แต่ไม่ทันที่จะลุกขึ้นยืน เสียงผิวปากแหลมยาวกลับดังขึ้นเสียก่อน แม้จะอยู่ไกลมาก แต่กลับแสบแก้วหูจนแม้แต่เหยาเฉาที่นั่งอยู่ในเกี้ยวแต่งงานก็ยังอยากปิดหูจนแทบทนไม่ไหว
คนกลุ่มหนึ่งจากป่าลึกได้ปรากฏตัวขึ้น ผู้ชายที่แต่งกายด้วยเสื้อสั้นสีเทา ใบหน้ามีรอยแผลเป็น มีดาบใหญ่ถืออยู่ในมือ เดินหัวเราะตรงเข้ามา “ไอ้หยา! นี่มันคู่บ่าวสาวจากที่ใดกัน? อีกทั้งยังพาเหล่าเพื่อนพ้องกลุ่มหนึ่งมาอีกด้วย จะไปส่งตัวเจ้าสาวหรือ? ไหนเจ้าสาวล่ะ?”
ใบหน้าของทุกคนในขบวนส่งตัวเจ้าสาวต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริด ตามมาด้วยเสียงตะโกนร้องที่ดังขึ้นเป็นระนาว “โจรภูเขา โจรภูเขา! เร็ว หนีเร็วเข้า!”
สมาชิกในขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่แต่งกายด้วยชุดคลุมแดงเริ่มก่อความวุ่นวาย หลินเหรารีบถอยหลังหลายก้าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนถามออกไป “ผู้มาเยือนคือใครกัน?!”
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าหัวเราะร่า ก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ล้อมพวกเขาไว้!”
ครั้นเสียงผิวปากหยุดลง ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากปรากฏกายออกมา แต่ละคนแต่งกายแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือใบหน้าของพวกเขาแฝงไปด้วยความโหดร้ายอันรุนแรง และความโลภที่ยากจะปิดบังได้
เฉินจิ่นคือผู้มีไหวพริบที่สุด เขาขยับเข้าไปใกล้หลินเหราพลางตะโกนดึงดูดความสนใจของทุกคน “นักดาบผู้เมตตา นักดาบผู้เมตตาทุกท่าน! เหล่าพี่ชายทุกคน! ผู้น้อยมาจากเมืองจินฉวนมาส่งตัวเจ้าสาว ไม่รู้สิ่งใดทั้งนั้น!”
ขณะพูดเขาก็ลอบใช้เท้าเขี่ยเซวียชางเงียบ ๆ
เซวียชางและเขาเข้าใจกันและกันมากที่สุด จึงกระชากหลินเหราด้วยมือข้างเดียว บดบังสายตาของโจรภูเขาไว้ และพูดขอความเมตตาในเวลาเดียวกันว่า “ใช่ พี่ชายทุกคน ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราก็มีแค่สินเดิมแต่งงานที่รวบรวมได้จากฝ่ายเจ้าสาวเพียงไม่กี่กล่องเท่านั้น ไม่มีสิ่งของจำพวกเงินทองอะไรหรอก!”
ชายที่มีแผลเป็นสั่งให้ลูกน้องรวมตัวไว้ให้คนล้อมอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่แสนโหดเหี้ยมออกมา “ไม่มีเงิน? เหอะ เราพี่น้องไม่สนใจเรื่องเงินไม่กี่เหรียญเหล่านี้อยู่แล้ว…พี่ใหญ่ของเราขาดก็แต่เจ้าสาวครองคู่ พวกเจ้ามีหรือไม่ล่ะ?”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเจ้าบ่าวตวาดออกมา “สวะหน้าไหนช่างบังอาจนัก?!”
เมื่อโจรภูเขาเห็นร่างกายที่สูงใหญ่ของเจ้าบ่าว แต่กลับซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของผู้อื่น ทั้งยังมีรูปลักษณ์ธรรมดา จึงไม่ได้สนใจอะไรเขานัก
กลับเป็นชายที่มีแผลเป็นกำลังมองพิจารณาหลินเหรา ก่อนจะพูดเป็นตุเป็นตะว่า “ไฉนเลยจะกล้าเล่า? หากเจ้าบ่าวไม่ตกลง งั้นเราสองคนมาประลองฝีมือกันหน่อยดีหรือไม่?”
เขาพูดพลางโบกดาบใหญ่ในมือขึ้น อาวุธอันแหลมคมส่งเสียง ‘ควับ’ อยู่กลางอากาศ สร้างความหวาดกลัวได้ไม่น้อย
เมื่อเซวียชางเห็นดังนั้น ไฉนเลยจะกล้าให้พวกเขาลงมือจริง? จึงรีบผลักหลินเหราไปด้านข้าง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะใส่ชายที่มีแผลเป็นผู้นั้น “นายน้อยของเราศึกษาตำรามากมาย พวกเตะต่อยก็เป็นแค่แจกันประดับชั้นวางเท่านั้น ไฉนเลยจะเทียบเคียงท่านได้? อีกอย่าง เรื่องเจ้าสาว หากท่านต้องการ เพื่อนพ้องของเราจะหามาให้ท่าน จะสิบคนหรือแปดคนล้วนไม่ใช่ปัญหา! เพียงแต่คนที่อยู่ภายในเกี้ยวนั้นไม่ได้จริง ๆ”
ชายร่างผอมใบหน้าหมองคล้ำราวกับเถ้าถ่านข้างกายชายที่มีแผลเป็นพลันยืนขึ้น ก่อนจะหัวเราะเสียงแหลม “จะสิบคนหรือแปดคนเราก็ไม่ต้องการ ขอแค่คนที่อยู่ในเกี้ยวของเจ้า!”
เสียงผิวปากเมื่อครู่น่าจะเป็นของเขาสินะ เซวียชางมองออกว่าหัวหน้าโจรพวกนี้คือชายที่มีแผลเป็นและชายหน้าดำคล้ำสองคนนี้ จึงหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดกับทั้งสองคนว่า “ไม่ได้หรอก ไม่ได้จริง ๆ! นายน้อยของเราต้องทุ่มเงินทองกว่าสามสิบตำลึงเพื่อหมั้นหมาย ถึงจะได้ตัวแม่นางที่งามที่สุดในเมืองชิงถงมาครอบครอง…”
เฉินจิ่นออกแรงกระชากตัวเซวียชางด้วยมือข้างเดียว กระชากจนเขาซวนเซเลยทีเดียว แม้แต่แขนเสื้อก็เกือบจะฉีกขาด
เขาหันกลับไปถลึงตาใส่ “ไอ้หยา! เจ้ากระชากข้าทำไมเนี่ย?!”
เฉินจิ่นไม่แม้แต่จะปรายตามองเซวียชาง แต่กลับหัวเราะใส่ชายที่มีแผลเป็นและชายหน้าดำที่อยู่ข้างกายเขา “จะงามหรือไม่ แค่เป็นคนที่ฮูหยินใหญ่ในตระกูลชื่นชอบ จนต้องรับกลับมาเป็นสะใภ้ เราในฐานะขี้ข้าก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่กล้าปฏิเสธ”
ชายหน้าดำรูปร่างผอมกระหร่องเอ่ยถามเสียงแหลมว่า “ไม่งามงั้นหรือ? ผู้ร่วมขบวนอย่างเจ้าได้หลุดปากออกมาแล้ว ผู้น้อยอย่างเราจะขอยลโฉมแม่นางบนเกี้ยวได้หรือไม่?! นำตัวเจ้าสาวลงมา! ข้าอยากเห็นว่างดงามจริงแท้แค่ไหน!”
เฉินจิ่นรีบพาทุกคนเข้าปกป้องแม่นางบนเกี้ยวทันที ก่อนจะเอ่ยวิงวอนว่า “พวกท่าน! พวกท่านทั้งหลาย! วันมงคลเช่นนี้ ตระกูลหลินจากเมืองจินฉวนก็ใช่ว่าจะหาเงินไม่ได้ ขอแค่พวกท่านปล่อยเราไป เราจะชดเชยค่าผ่านทางเป็นสิบเท่าร้อยเท่า แล้วจะชวนพี่ชายทุกท่านมาร่วมดื่มฉลองด้วย ดีหรือไม่?”
ดวงตาของชายที่มีแผลเป็นคู่นั้นเคร่งขรึมขึ้น พลางเอ่ยปากพูดว่า “พี่น้องข้า บอกพวกเขาไปสิ เราขัดสนเรื่องเงินทองหรือไม่?”
โจรภูเขากลุ่มหนึ่งต่างมีสีหน้าโหดเหี้ยม เห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเคยผ่านศึกนองเลือดมาก่อน ครั้นได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “ไม่ขัดสน!”
ชายร่างผอมยกเท้าข้างหนึ่งเตะไปบนเท้าของเฉินจิ่น ยังไม่ทันรู้สึกถึงแรงกลับเห็นเขาล้มลงไปบนพื้นเสียแล้ว พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดออกมา “โอ๊ย โอ๊ย!”
เขาเห็นคนเหล่านี้เป็นแค่หมากที่ไร้ประโยชน์ จึงพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยามว่า “ถอยไป! เห็นว่าพวกเจ้ารู้ความหรอกนะ จึงไม่ให้ดาบของพี่สามต้องเปื้อนเลือด ถ้ายังกล้าพล่ามไร้สาระอีก ข้าจะฆ่าเรียงตัวกันทั้งหมดเสีย!”
เฉินจิ่นที่เกลือกกลิ้งหลายตลบอยู่บนพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยดินฝุ่น แม้แต่น้ำตาที่เจือไปด้วยดินบนใบหน้าก็ยังกลายเป็นดินโคลน ก่อนจะพูดสะอึกสะอื้นว่า “พี่ชาย พี่ชาย! ไว้ชีวิตเหล่าผู้น้อยด้วยเถิด! คนที่ร่วมขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ที่เติบโตอยู่ในตระกูลหลินทั้งสิ้น ขอแค่ท่านปล่อยพวกเราไป ตราบใดที่ไม่ทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ไปเคาะประตูบ้านตระกูลหลินในเมืองจินฉวน ท่านพ่อท่านแม่ในตระกูลหลินจะต้องเห็นอกเห็นใจเรา จะขายคนละสิบตำลึงก็ย่อมได้”
เหยาเฉานั่งฟังอยู่ในเกี้ยวเป็นครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ จนต้องรีบปิดปากทันใด
ปกติเขามองไม่ออกด้วยซ้ำ ใครเล่าจะคิดว่าเฉินจิ่นจะมีปฏิภาณไหวพริบเช่นนี้
แม้แต่เซวียชางก็ยังไม่อาจควบคุมสายตาของตัวเองได้ จนต้องชำเลืองไปมองเฉินจิ่นที่มักจะเข้าขากับเขาที่สุด ทั้งยังพูดในใจว่า ‘ช่างน่าขายหน้าชะมัด’
ใครเล่าจะคิดว่าชายที่มีแผลเป็นกลับหัวเราะออกมา ก่อนจะกำชับว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้… เหล่าสหายมัดพวกเขาไว้ แล้วพากลับไปยังค่ายลับบนภูเขา!”
ชายร่างผอมขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดจะคัดค้าน “พี่สาม นี่…เราคุยกันแล้ว ว่าจะจัดการพวกเขาพวกเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องพากลับค่ายลับบนภูเขาด้วยเล่า?”
เหยาเฉาที่นั่งอยู่บนเกี้ยว ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วสูงทันใด ความตื่นตกใจพลันเกิดขึ้นเงียบ ๆ ดูท่าพวกเขาจะประเมินโจรกลุ่มนี้ต่ำเกินไปมาตลอด
มิน่าล่ะถึงไม่เคยได้ยินว่าทำร้ายใครถึงแก่ชีวิตมาก่อน หรือว่าทั้งหมดจะถูกโจรสติฟั่นเฟือนเหล่านี้ทำลายหลักฐานจนไม่เหลือซาก?!
ชายที่มีแผลผู้มีนิสัยดื้อรั้นไม่ฟังใคร แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยฟังความเห็นของใคร
เมื่อเห็นชายร่างผอมโต้แย้งตัวเอง เขาจึงได้แต่มองไปทางอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาวูบหนึ่ง ก่อนจะแสร้งยิ้ม “ใครว่าเงินน้อยบ้าง? พาคนกลุ่มนี้ขึ้นเขา คนละสิบตำลึง สิบสองคนก็หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตของนายน้อยตระกูลหลินผู้นี้ ก็น่าจะมีมูลค่าห้าร้อยตำลึงเห็นจะได้?! บัดนี้สหายโจวควบตำแหน่งสูงสุด เกรงว่าคงจะไม่สนใจเงินจำนวนน้อยนิดเหล่านี้หรอกนะ?”
เด็กหนุ่มที่ฟังอยู่ด้านข้างก็พากันอิจฉาตาร้อน
ถึงตอนนั้นหากเปลี่ยนเป็นการเรียกค่าไถ่ พวกเขาก็คงจะได้กันไม่น้อย! โจรที่ดูท่าทางเหมือนพวกหัวขโมยจึงคอยพูดสนับสนุนอยู่ด้านข้าง “พี่สามพูดถูก พี่สี่ คนเราไม่มีทางลืมกำพืดตัวเองหรอก เราล้วนเคยเป็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากมาก่อนนะ!”
ชายร่างผอมแซ่โจวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป แต่กลับข่มโทสะไว้ในใจ จากนั้นก็พูดกับชายที่มีแผลเป็นด้วยความเคารพว่า “พี่สามพูดถูก”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะโต้แย้งตัวเอง ชายที่มีแผลเป็นจึงชำเลืองไปมองเขาแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และโบกมือไปทางลูกน้องพลางพูดว่า “มัดคนเหล่านี้ไว้!”
……………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เฉินจิ่นเอารางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ เนียนมาก
เข้าแผนแล้วสินะ รอดูตอนปราบโจรเลย
ไหหม่า(海馬)