ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 160 แล้วเจ้าสู้กับข้าทำไม
บทที่ 160 แล้วเจ้าสู้กับข้าทำไม?
เหยาเฉาได้รับการดูแลปกป้องอย่างดีอยู่ภายในห้องรับรอง
แม้จะดูเหมือนเป็นการต้อนรับที่สมเกียรติ แต่ความจริงแล้วคือการถูกกักบริเวณ ไม่ให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
เขาไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงแค่ต้องดำเนินการตามแผน รอฟังข่าวคราวใหม่เท่านั้น
หลินเหราและคนอื่นถูกพาตัวไปขังไว้หลังค่ายลับอีกด้านหนึ่ง แต่เนื่องจากถูกจับมัดไว้ ประตูห้องขังจึงไม่ได้ลงกลอนแต่อย่างใด
บทสนทนาสองในสามส่วนของผู้คุมขังล้วนมีแต่คำบ่น ครั้นเห็นคนเหล่านี้มีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง แต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาแม้จะถูกเฆี่ยนตี จึงดูถูกพวกเขาอยู่ในใจไม่น้อย
ไม่นานผู้คุมขังสองคนนั้นก็หาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างได้ และเดินจากไปพร้อมกับเสียงก่นด่า
เมื่อบริเวณโดยรอบเงียบสงัดไร้ผู้คนแล้ว หลินเหราจึงรีบสลัดเชือกที่มัดอยู่บนมือออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยเสียงแผ่วเบา
“จ้าวซื่อ เจ้าซ่อนตัวและเฝ้าที่นี่ไว้ หากมีผู้คุมขังย้อนกลับมาให้จัดการปิดปากเขาอย่าให้ส่งเสียงได้อีก หลีกเลี่ยงไม่ให้ดึงดูดโจรคนอื่น”
จ้าวซื่อมีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าน้อมรับคำสั่ง
“หลี่เฟิง จางหลาน พวกเจ้าสองคนตรวจสอบกำลังการป้องกันทั้งหมดในค่ายและจำนวนโจรให้ชัดเจน จากนั้นก็ไปสบทบกับทุกคนที่ประตูทางทิศเหนือ จำไว้ว่าต้องปฏิบัติอย่างระวังตัวที่สุด อย่าให้มีข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด!”
ทั้งสองคนมีร่างกายที่ปราดเปรื่องว่องไว เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการย่องเบา
ต่อจากนั้นหลินเหราก็ยังกำชับอีกว่า “ประตูทางทิศเหนือที่เราเดินขึ้นเขามา เป็นบริเวณที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุด เซวียชาง เฉินจิ่น พาลูกน้องสามคนไปสำรวจทาง หากไม่มีทางออกอื่น ก็ปล่อยสหายที่ตามเรามาถึงค่ายเข้ามาทางประตูทิศเหนือ”
พูดจบ ใบหน้าที่เดิมทีดูเย็นเยือกของเขาได้แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา จากนั้นก็มองไปทางเซวียชางและเฉินจิ่น พร้อมกับกำชับว่า “การพาเหล่าพี่น้องเข้ามาเป็นตัวเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดของแผนการ หากไม่มีกองกำลังเสริม แล้วคนของเรากว่าสิบคนถูกจับได้ ไม่นานก็จะถูกจับได้ทั้งหมด”
เซวียชางและเฉินจิ่นต่างมองตากัน ก่อนจะยิ้มและพูดกับหลินเหราว่า “พี่ใหญ่หลินวางใจเถอะ เหล่าพี่น้องที่เข้าร่วมภารกิจในวันนี้ล้วนเป็นคนที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างละเอียด ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าพี่น้องรู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไรเมื่อต้องเจอกับเรื่องยุ่งยาก พี่หลินใหญ่ฝึกซ้อมให้เรามาหลายรอบแล้ว…. ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จลุล่วง เกียรติยศของสหายก็คงหมดสิ้น”
ในค่ายลับดูเหมือนมีการจัดการอย่างหละหลวมก็จริง แต่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดล้วนมีคนที่มีประสบการณ์โชกโชน และลูกน้องเฝ้าอยู่อีกสองสามคน
ถึงอย่างไรตลอดทางขึ้นจนมาถึงประตูทางทิศเหนือ ก็เป็นส่วนที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา
การวิเคราะห์ของหลินเหราก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เขาไม่ได้สร้างแรงกดดันมากมายให้แก่ทุกคน เพียงแค่พูดเสียงต่ำออกไปประโยคหนึ่งว่า “หัวหน้าผู้ตรวจการกำชับไว้เสมอว่าความปลอดภัยของตัวเองคือสิ่งสำคัญ หากถูกจับได้ในระหว่างการสำรวจในค่าย ให้ส่งสัญญาณและซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว ครั้นถูกจับเป็นเชลย…ก็ต้องรักษาชีวิตไว้ รอสหายเข้าไปช่วย”
ทุกคนต่างรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
ปฏิบัติการครั้งนี้นอกจากหลินเหราและเหยาเฉาแล้วก็ยังมีทหารอีกกว่าสิบสองคน ประกอบกับส่วนที่เหลืออีกกว่ายี่สิบคนที่รอฟังคำสั่งอยู่บริเวณตีนเขา พวกเขาต้องหาทางจับโจรกลุ่มนี้ไว้ให้ได้
โชคดีที่พวกเขาทุกคนต่างมาถึงค่ายลับกันหมดแล้ว จึงหลีกเลี่ยงปัญหากำลังคนขาดแคลนไปได้
บัดนี้คนหนึ่งเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย [1] สองคนแยกออกไปทำการสำรวจในค่าย อีกแปดคนพากันไปยังประตูทางทิศเหนือ
สุดท้าย หลินเหรามองไปยังหนึ่งคนที่เหลืออยู่และพูดว่า “จางเหยียน ตอนนี้พี่รองเหยาถูกคุมตัวอยู่ในห้องรับรอง หน้าที่ของเจ้าคือปกป้องเขา”
จางเหยียนตะลึงงัน “พี่ใหญ่หลิน หากข้าไป แล้วท่านมีคนเดียวจะทำอย่างไร…”
ตามแผนการแล้วเขาจะต้องปฏิบัติการกับหลินเหรา
จับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจร นอกจากพี่รองเหยาแล้ว หลินเหราและจางเหยียนก็เป็นทหารที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในหน่วยลาดตระเวน หากพวกเขาสองคนร่วมมือกัน จะต้องจับตัวผู้ที่ออกคำสั่งในค่ายอย่างหัวหน้าโจรที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้เป็นแน่
คิ้วทรงดาบของหลินเหราขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าคนเดียวยังพอไหว แต่พี่รองนั้นไม่ได้ ตอนนี้เขาถูกขังอยู่คนเดียว อีกทั้งยังไม่มีแหล่งข่าวอีก หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น พี่รองจะเป็นคนแรกที่ได้รับอันตราย”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน เซวียชางจึงอดพูดไม่ได้ว่า “บนตัวพี่รองไม่มีดาบ ตอนนี้ก็ยังถูกคุมขังไว้ จะต้องมีคนคอยปกป้องสักคน แต่ครั้นเป็นที่อยู่ของหัวหน้าโจรด้วยแล้วเกรงว่าคงเป็นส่วนที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาที่สุดเช่นกัน พี่ใหญ่หลินแค่คนเดียวจะสำเร็จได้อย่างไร? สู้พาหนึ่งในแปดคนของเราไปดีกว่า ให้จางเหยียนทำตามแผนเดิม ไปพร้อมกับพี่ใหญ่หลิน”
หลินเหรากลับส่ายหน้า “ไม่ได้ ทั้งแปดคนเป็นผู้ที่ได้รับการคัดกรองมาอย่างละเอียดแล้ว ขาดคนหนึ่งไป ความยากในการปฏิบัติภารกิจของพวกเจ้าจะเพิ่มมากขึ้น”
ทุกคนกำลังจะพูด แต่หลินเหรากลับตัดบทพวกเขาเสียก่อน “ไม่ต้องพูดมาก ทำเวลาให้ดี ก่อนฟ้ามืด จะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง”
เมื่อเห็นสีหน้ามาดมั่นของหลินเหรา แม้ว่าทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างมากจะรู้สึกจนปัญญาในใจ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบรับ
ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก อีกหนึ่งชั่วยามท้องฟ้าจะมืดลงแล้ว เหลือเวลาให้พวกเขาอีกไม่มากนัก
ทุกคนถอดชุดคลุมยาวสีแดงที่ดูสะดุดตาออกจากร่างกาย เผยให้เห็นชุดสำหรับปฏิบัติการที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดคลุมแดง ก่อนจะมองหน้ากันและเริ่มแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจ
หลินเหราไม่เคยมายังภูเขาเฮยหู่มาก่อน แต่กลับเคยเห็นโครงสร้างค่ายจากเหยาเฉา ที่ไหนเป็นไหน ล้วนจดจำได้ขึ้นใจทั้งหมด
ตอนนี้สถานที่ที่เขาต้องไปคือศูนย์กลางของค่ายลับ…ห้องโถงกลางของผู้นำค่าย
เนื่องจากถูกโจรคุมตัวขึ้นเขามาตลอดทาง พวกเขาจึงได้ยินเรื่องราวของผู้นำค่ายบางส่วนจากปากของคนเหล่านั้นไม่มากก็น้อย ซึ่งเรื่องหญิงงามก็เป็นจุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของผู้นำค่าย
หลินเหราถือโอกาสก่อนที่เขาจะเจอกับเหยาเฉา คิดหาหนทางกำจัดเขาให้สิ้นซาก
บนเส้นทางที่ตรงไปห้องโถงกลางนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงคนที่ลาดตระเวนไปมา ไม่คาดคิดว่าระหว่างทางกลับเจอคนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำผู้หนึ่งปรากฎกายออกมา สีหน้าของเขาดูไม่เป็นมิตรนัก
เขาพลันเอาตัวเองขวางหลินเหราที่อยู่บนเส้นทางเล็กและตะโกนถามว่า “เจ้าไม่ใช่คนในค่ายลับนี่ มาที่นี่ทำไม?”
หลินเหราซ่อนมือไว้ด้านหลังคว้ามีดสั้นที่ซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว สายตาหยุดอยู่บนลำคอของผู้มาเยือน หมายปลิดชีวิตในครั้งเดียว
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด กลับเห็นว่าชายชุดดำที่ดูอายุยังน้อยกลับไม่มีทีท่าจะตะโกนเรียกผู้อื่นให้เข้ามา ทั้งยังมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
หลินเหราไม่ได้เคลื่อนไหวต่อ แต่กลับจ้องเขม็งไปยังดวงตาสีดำทมิฬของเด็กหนุ่มคู่นั้น พลางเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่ใช่คนในค่ายลับ แล้วเจ้าเล่า?”
เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่โดนกำราบด้วยกลิ่นอายของหลินเหรา ตรงกันข้ามยังใช้พลังอำนาจของตัวเองขู่กลับมาอีกด้วย ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายบนใบหน้า นอกจากแววตาที่แฝงไปด้วยอันตราย ก็ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง “จะใช่หรือไม่ใช่ ให้ข้าตะโกนเรียกผู้อื่นมา ก็รู้แล้วนี่?”
ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาไร้เลือดฝาดแต่อย่างใด ภายใต้การประดับด้วยดวงตาที่ดำสนิทเหมือนกับหมึกดำ ยิ่งทำให้ดูป่วยอย่างชัดเจน
หลินเหราขมวดคิ้วแน่นก่อนจะจำผู้มาเยือนได้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถอยไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาก่อกวน”
เด็กหนุ่มตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เจ้ารู้จักข้างั้นเหรอ?”
ต่อจากนั้น เขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ นัยน์ตาจึงฉายแววตาที่ซุกซ่อนบางอย่างเล็กน้อย
หลินเหรารู้ว่าคนตรงหน้าแค่อยากขัดขวางเขาไว้ไม่ได้ต้องการทำร้ายเขา แต่สายตาที่จ้องเขม็งมาราวกับกำลังล่าสัตว์คู่นั้น ทำให้หลินเหราที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ที่อันตรายบางอย่าง
มือขวาของเขาชักมีดสั้นออกมา เลื่อนมาปกป้องตัวเองอยู่ด้านหน้าพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับพี่รองมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน แต่ศพสองศพในคุกใต้ดินของจวนผู้ตรวจการ เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”
ท่าทางปกป้องตัวเองนี้ราวกับกระตุ้นความอยากทำสงครามภายในร่างกายของเด็กหนุ่มได้ไม่น้อย เขาล้วงหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากด้านหลัง จากนั้นก็ถือเล่นอยู่บนมือขวาครู่หนึ่ง ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความกระหายอยากลิ้มลอง
“ข้าเอง ทำไมรึ? จะจับข้ากลับไปประณามงั้นสิ?”
หลินเหราคิดแค่ว่าจะต้องสลัดหลุดออกจากความยุ่งยากนี้ให้ได้ จึงพูดเสียงเย็นชาว่า “หยุดพล่ามไร้สาระสักที เข้ามาสิ!”
ทั้งสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มต่อสู้กันอยู่ในที่แคบของค่ายลับโดยไร้สุ้มเสียง
เนื่องจากหลินเหรามีรูปร่างสูงโปร่ง พละกำลังก็มากพอ ทว่าเด็กหนุ่มนั้นมีร่างกายที่ปราดเปรียว เรียกได้ว่าลื่นเป็นปลาไหลเลยทีเดียว
หลินเหราแค่คิดอยากจะสลัดตัว ไม่อยากทำร้ายเขาจริง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หมดหนทางไปชั่วขณะ
“เจ้าคงไม่ได้อยากจับข้าหรอกนะ? ความสามารถแค่นี้จับข้าไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มชุดดำต่อกรกับหลินเหราไปพลาง ปากก็ยังไม่ลืมจะพูดยั่วยุอีกฝ่าย
เขาแค่อยากทำเวลา หลินเหราไม่สนใจคำพูดยั่วยุของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ทันใดนั้นเขาก็พรวดพราดเข้าไปใกล้ บุกโจมตีอย่างรุนแรงและดุเดือดจนทำให้อีกฝ่ายตั้งรับไว้ไม่ได้
กระทั่งข้อมือที่ถือมีดสั้นของเด็กหนุ่มถูกเขาโจมตีอย่างแรง อาการชาอย่างฉับพลันทำให้เขาต้องทิ้งอาวุธโดยไม่ทันตั้งตัว แขนทั้งสองข้างได้ถูกบิดไปด้านหลัง
หลินเหราใช้มือข้างเดียวจับข้อมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไว้ จากนั้นก็กดเขาลงบนกำแพงอย่างโหดเหี้ยม จนเกิดเสียง ‘ตึก’ เขาใช้มืออีกข้างกระชากศีรษะอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “จะหยุดได้หรือยัง?”
เวลานี้ เมื่อต้องเผชิญกับความแตกต่างในด้านพลัง แค่ทักษะอย่างเดียวคงไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน
เด็กหนุ่มถูกจับกุมอย่างแน่นหนา ใบหน้าครึ่งหนึ่งแนบชิดอยู่บนกำแพงที่หยาบขุรขระและเปียกชื้น ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นอับออกมา
เขาออกแรงดิ้นสะบัด นอกจากแขนคู่นั้นที่ถูกรัดกุมอย่างแน่นหนาคล้ายกับห่วงเหล็กแล้ว หนังศีรษะที่ถูกดึงก็ยังเจ็บปวดราวกับถูกกระชากจนหลุดอีกด้วย
แต่เขาเพียงแลบลิ้นเลียมุมปากที่แตกเท่านั้น ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เจ้าชนะแล้ว เอาสิ จะฆ่าข้า หรือจะมัดข้าไปส่งจวนผู้ตรวจการดีเล่า?”
บุรุษผู้เย็นชาด้านหลังไม่ได้เป็นนักฆ่าที่ไร้ความปรานีอย่างที่เขาคาดคิดไว้ แต่กลับปล่อยศีรษะของเขาแล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ฆ่าเจ้า และจะไม่มัดเจ้า”
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถขยับศีรษะได้
มือทั้งสองข้างเจ็บปวดจนแทบหัก ใบหน้าด้านข้างถูกไถไปบนกำแพงที่หยาบขรุขระจนเกิดรอยเลือดสีแดงสด แม้ถูกอีกฝ่ายกดไว้จนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่กลับยังส่งเสียงหัวเราะได้อย่างหน้าตาเฉย “แล้วเจ้าสู้กับข้าทำไม? เพื่อจะทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ?”
เขาหันกลับไป มองเห็นร่องรอยความเย็นยะเยือกที่ปรากฎเด่นชัดอยู่บนใบหน้าของหลินเหราอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นการตั้งใจแต่งตัวให้ดูธรรมดาเป็นพิเศษ แต่กลิ่นอายกลับกำราบข่มผู้อื่นได้อย่างอยู่หมัด
นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ฉายแววแห่งความสุขจากการถูกทารุณอันโหดร้ายเหมือนที่เขาคาดคิดไว้ แต่กลับฉายแววเย็นเยือกเหมือนกับบึงน้ำที่เย็นเยียบ ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
เขาได้ยินบุรุษที่จับกุมเขาไว้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าลงมือทำร้ายคนที่พี่รองปกป้องไม่ได้หรอก กับแค่ลงโทษแล้วทำให้เจ้าเชื่องมากขึ้น ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้หรอกนะ”
วินาทีที่เด็กหนุ่มกำลังตกตะลึงนั้น อีกฝ่ายก็ปล่อยเขา
เรื่องแรกที่เขาทำหลังจากได้รับอิสระคือหยิบมีดสั้นที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา…
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าเพิ่งสู้กัน เดี๋ยวเสียแผนการที่จะช่วยพี่เฉาหมดนะ
ไหหม่า(海馬)