ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 161 เจ้าอยากให้ข้านำทางเจ้าหรือ
บทที่ 161 เจ้าอยากให้ข้านำทางเจ้าหรือ?
เมื่อหลินเหราเห็นดังนั้น ยังไม่ทันขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาก็ยกเท้าข้างหนึ่งแล้วออกแรงถีบออกไป
เด็กหนุ่มรีบหลบเลี่ยงทั้งยังตะโกนออกไปว่า “ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว! ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ช่วยยกโทษให้ข้าด้วย!”
หลินเหรากลับไม่เชื่อ ทั้งยังจะเข้าไปจับตัวเขา แต่ชายชุดดำกลับเก็บมีดสั้นเข้าที่เดิม แล้วยกมือทั้งสองข้า’ขึ้น “ก็ได้! ข้ายอมแพ้! ดูมือทั้งสองข้างสิ ถูกเจ้าจิกจนดูไม่ได้… ”
เขายกมือที่ถูกจับเมื่อครู่ขึ้นมา บนผิวหนังที่ซีดขาวนั้นปรากฏรอยสีแดงอมม่วงเข้มขึ้นมา เป็นรอยนิ้วมือของหลินเหรา
หลินเหราไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ก่อนเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่ตัดขาเจ้าก็ดีเท่าไรแล้ว ทางที่ดีเจ้าควรเชื่อฟังดีกว่า”
รู้ว่าเขาไม่ได้ข่มขู่ตัวเองแน่ เด็กหนุ่มจึงไม่ส่งเสียงโต้แย้งกลับไป
ตอนนี้ข้อมือของเขาคล้ายจะหักอยู่แล้ว อีกทั้งยังรู้สึกปวดแสบไปทั่วทั้งใบหน้า ในปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทำได้เพียงแค่พึมพำด้วยเสียงเบาว่า “ไฉนเลยจะไม่เชื่อฟัง ขืนเจ้าลงมือจริง ๆ ขึ้นมาก็แย่นะสิ”
หลินเหราไม่ได้สนใจบาดแผลตามร่างกายของเด็กหนุ่ม นอกจากเอ่ยถามออกไปว่า “เสี่ยวเว่ย เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เด็กหนุ่มเงยหน้า “เจ้ารู้ว่าข้าชื่ออะไรงั้นหรือ? พี่รองบอกเจ้าใช่หรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีรูปลักษณ์ที่งดงาม อายุก็ไม่มากนัก แต่เรื่องสร้างปัญหาให้ผู้อื่นต้องยกนิ้วให้เลยจริง ๆ
หลินเหราจึงอดนึกถึงอวี๋จือที่อาศัยอยู่ในบ้านของเหยาเฉาในตอนนี้ไม่ได้ เขามีอายุไล่เลี่ยกับเสี่ยวเว่ย แต่กลับรู้จักกาลเทศะรู้มารยาท ไม่เคยทำให้ต้องเป็นกังวล
หลินเหราขมวดคิ้วแน่น นั่นเป็นสัญญาณว่าความอดทนได้หมดลงแล้ว เขากุมมือพร้อมกับรุดขึ้นหน้า
หลังจากที่เสี่ยวเว่ยถูกลงโทษอย่างรุนแรงแล้ว ไฉนเลยจะกล้าสู้กับอีกฝ่าย เขาพลันถอยหลังไปสองก้าวก่อนรีบเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ถามและยอมพูดก็ได้ ข้าแค่ตามมาดูเท่านั้น!”
คำตอบนี้ทำให้หลินเหราเกิดความไม่พอใจอย่างชัดเจน
สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “พูดความจริงมา”
แม้ว่านิสัยของเสี่ยวเว่ยจะโผงผางตรงไปตรงมา แต่วินาทีที่หลินเหราเอ่ยถึงเหยาเฉานั้น เขากลับไม่คิดว่าหลินเหราเป็นศัตรูโดยแท้จริง
บัดนี้หลังจากถูกทารุณไปฉาดหนึ่ง เขาย่อมปรับตัวได้โดยธรรมชาติ “ข้าต้องไปเจอกับหัวหน้าโจรภูเขา ได้ยินพี่รองบอกว่าไอ้สวะนั่นจะจับพี่รองเป็นเจ้าสาวของเขา….”
หลินเหรารู้ว่าคำพูดของเสี่ยวเว่ยไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด ดูจากนิสัยของเหยาเฉาแล้วเขาไม่น่าพูดจาเช่นนี้
สีหน้าของหลินเหราไม่มีทีท่าจะอ่อนโยนลงสักนิด ยังคงไร้ความรู้สึกเฉกเช่นเดิม ทำได้แค่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไปเจอกับพี่รองมาแล้วหรือ?”
เสี่ยวเว่ยนวดข้อมือพลางเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจอแล้ว”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักมักจี่กับหลินเหรา แต่ก็ยังได้ยินคนรอบข้างพูดถึง อีกทั้งยังเห็นรูปแบบการปฏิบัติการณ์ของชายผู้นี้มาแล้ว จึงเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไร จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตอนนี้พี่รองถูกขังอยู่ในห้องรับรอง ข้าเข้าไปทางหน้าต่าง พูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยค ด้านนอกมีคนเฝ้าอยู่สองคน ดูท่าทางพวกเขามีฝีมือใช้ได้ พี่รองน่าจะปลอดภัยชั่วคราว”
หลินเหราถามถึงข้อมูลที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป ไม่มีแม้แต่จะพยักหน้าตอบรับ
เสี่ยวเว่ยรีบเดินตามเขาไป “ไอ้หยา พี่ใหญ่หลิน ท่านจะไปที่ใด?”
หลินเหราไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายรู้ชื่อของเขา ในตอนที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในจวนผู้ตรวจการเป็นเวลาหลายวัน ชายหนุ่มที่ลื่นไหลเสียยิ่งกว่าปลาไหลผู้นี้คงน่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและพี่รองชัดเจนแล้ว
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กหนุ่มคนนี้ถึงไล่ตามเขามา ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เจ้าตามข้ามาทำไม?”
เด็กหนุ่มรู้จักนิสัยของหลินเหราดี แม้ว่าเวลาปกติแล้วจะเข้าถึงได้ยาก แม้แต่คนสนิทก็ล้วนยากที่จะประชิดตัวเขาในระยะห่างเพียงสามก้าว นับประสาอะไรกับการต่อสู้กันเมื่อครู่ ในใจของหลินเหรายังเก็บเขาไว้รอลงโทษอีกงั้นหรือ?
เขาทำได้แค่เอามือไพล่หลังอย่างจริงจัง ยืนนิ่งและพูดว่า “ข้าถามเจ้านะ”
หากไม่ใช่เพราะเหยาเฉาเคยเอ่ยถึงเรื่องเสี่ยวเว่ยกับเขา หลินเหราก็คงไม่ยอมเสียเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ วินาทีที่เสี่ยวเว่ยจะลงมือทำร้ายเขาก่อนหน้านั้น อีกฝ่ายก็คงจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปแล้ว
สุดท้ายหลินเหราก็พยายามข่มอารมณ์ไว้ จากนั้นเอ่ยกลับไป “ข้าจะไปไหนย่อมไม่เกี่ยวกับเจ้า ดูแลตัวเจ้าเองให้ดีก็พอ ในค่ายลับแห่งนี้อันตรายมาก แค่ความสามารถนั้นของเจ้าก็ยังต้องระวังตัวให้มาก”
พูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ชายชุดดำเบะปากเล็กน้อย กระทั่งอีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว จึงได้ล้วงมีดสั้นออกมา จากนั้นก็ฟาดฟันไปบนอากาศในทิศทางที่หลินเหราจากไปสองสามครั้ง
ส่วนปากก็ยังเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ตามพวกเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ เจ้าจะทำอะไรคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ยังมีหน้ามาบอกให้ข้าระวังตัว ในแผนการไม่ได้บอกว่าให้บุกรังโจรภูเขาแค่สองคนนี่ เจ้าคนเดียวถูกจับมาเฆี่ยนตีจนตายก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรอก…”
ขณะพูด เขาก็ได้ลูบไปบนคราบเลือดที่ซึมออกมาบนใบหน้าด้านข้าง และเพื่อไม่ให้เสียเวลาเขาจึงไล่ตามไปยังทิศทางที่หลินเหราจากไปพร้อมกับก่นด่าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฝีมือของเสี่ยวเว่ยนั้นธรรมดา แต่ความสามารถในการแทรกซึมกลับแนบเนียนจนยากที่คนภายนอกจะล่วงรู้ได้
อย่าว่าแต่เรื่องที่เขาแอบเข้ามาเป็นคนรับใช้ในจวนผู้ตรวจการก่อนหน้านั้นเลย ทั้งยังเข้าออกคุกใต้ดินราวกับไม่มีใครอยู่ ครั้งนี้ได้ไล่ตามขบวนทหารส่งตัวเจ้าสาว แล้วตอนนี้ยังจะเดินสำรวจเส้นทางในค่ายลับภูเขาเสือดำตามหลังของหลินเหราอีก แม้หลินเหราที่มีประสบการณ์โชกโชน และมีประสาทที่ไวต่อความรู้สึกก็ยังไม่อาจสังเกตเห็นเขา
ระหว่างทางเสี่ยวเว่ยเฝ้าดูการก้าวเดินของหลินเหราอย่างเงียบเชียบ บางครั้งที่พบเจอกับโจรที่หลงมาเพียงลำพัง หลินเหราก็จะใช้มีดปาดคอปลิดชีวิตอย่างไร้ความปรานี จากนั้นก็จัดการกับศพโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงด้วยท่าทางเย็นชา นั่นทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านบนลำคอเลยทีเดียว
หากหลินเหราลงมือสังหารจริง ๆ ไฉนเลยเขาจะยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้?
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่หลินเหราไม่ได้ลงมือกับเขาจริง ๆ นั้นเป็นเพราะเหตุผลที่เหยาเฉากำชับเขาไว้ มือที่เย็นยะเยือกของเสี่ยวเว่ยก็เริ่มร้อนขึ้นอย่างไม่สามารถอธิบายได้ แม้แต่รอยยิ้มก็ยังเป็นรอยยิ้มที่เบาบางดูจริงใจอีกด้วย
ในสมองของเขาเริ่มเกิดความคิดที่สับสนวุ่นวาย
เหตุใดพี่รองถึงพูดเรื่องเขากับคนภายนอก? พูดแค่กับหลินเหรา หรือว่าผู้อื่นจะรู้จักเขาด้วย?
ตอนนั้นที่เขาสังหารผู้คุ้มกันสองคนในคุกใต้ดินนั้นไม่ใช่เพียงแค่การเล่นตลก
เดิมทีเขาอยากจะล่อเหยาเฉาออกไป แค่คิดอยากแกล้งเขา แต่ใครจะไปคาดคิดเล่าว่าผู้คุ้มกันสองคนนั้นจะลั่นวาจาหยาบคายออกมาจากปาก ครั้นเขาได้ยินจึงไม่อาจอดกลั้นโทสะลงได้
จึงลงมือสังหารทั้งสองคนด้วยความโกรธชั่ววูบ แต่เหยาเฉาไม่ได้ว่าอะไร เขาจึงสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายไม่เว้นแต่ละวัน เพียงแค่อยากเห็นว่าพี่รองจะบันดาลโทสะใส่เขาภายในสถานการณ์ไหน
ในขณะที่คิดเช่นนี้ สายตาของเสี่ยวเว่ยก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่หลินเหรา
หลินเหราเป็นน้องเขยไม่ใช่หรือ คิดว่าน่าจะเป็นคนสำคัญต่อเขามากเช่นกัน? หากฆ่าหลินเหราพี่รองจะโกรธหรือไม่?
ยังไม่ทันที่ความคิดนี้จะกลายเป็นความจริง สายตาที่เย็นยะเยือกของผู้ชายที่เขาเดินตามมาตลอดก็เบนมายังที่ซ่อนตัวของเสี่ยวเว่ย
แย่แล้ว ถูกจับได้แล้ว…
“ออกมา”
เมื่ออีกฝ่ายจัดการกับศพของโจรภูเขาคนหนึ่งเรียบร้อย ก็ยกมีดสั้นที่เปื้อนไปด้วยเลือดขึ้นมาโบกสะบัดกลางอากาศ เลือดที่เปื้อนอยู่บนปลายมีดแหลมคมนั้นสาดกระเด็น ไม่นานใบมีดที่แหลมคมก็สะอาดขึ้นในทันที
เสี่ยวเว่ยตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัว ทั้งยังคาดหวังให้หลินเหราไม่เห็นเขาจริง ๆ แค่เอ่ยทิ้งให้เขายอมปรากฏตัวเองเท่านั้น
หลินเหรากลับไม่ได้มีความอดทนมากเพียงนั้น ทั้งยังทอดมองมาทางตำแหน่งของเสี่ยวเว่ยด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด “จะให้ข้าไปลากตัวเจ้าออกมาใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเว่ยตบตาไม่สำเร็จ จึงทำได้แค่เดินออกมาจากที่มืด
หลินเหราเลิกคิ้วขึ้น “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วยที่ตามข้ามา”
เด็กหนุ่มตะลึงงัน “เมื่อครู่เจ้าไม่เห็นข้านี่?”
หลินเหรามีประสาทที่ไวต่อความรู้สึก ในเมื่อเจอกับเสี่ยวเว่ยแล้ว เหตุใดเขาจะไม่รู้สึกระแวงอยู่อยู่ตลอดเวลา แต่แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเลือนรางกลับไม่แน่ใจ นี่สินะคือความสามารถของเสี่ยวเว่ย
หลินเหราไม่ปริปากพูดว่าใช่หรือไม่ แต่เอ่ยถามกลับไปว่า “บอกมา ตามข้ามานานเพียงนี้เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เสี่ยวเว่ยรู้สึกว่าตัวเองถูกดักทางไว้แล้ว หากจะสู้กันจริง ๆ ตัวเองก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทำได้แค่ฝืนพูดออกไป “หนทางช่างใหญ่ไพศาล ต่างคนต่างเดิน ค่ายลับในภูเขาเฮยหู่กว้างใหญ่เพียงนี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าข้าตามเจ้าเล่า?”
หลินเหราขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา ขอแค่เด็กหนุ่มไม่สร้างปัญหาให้เขา เขาก็ไม่อยากมาสนใจเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้
เพียงแค่รู้สึกราวกับว่ามีมีดปลายแหลมด้ามหนึ่งตามอยู่ด้านหลัง จะแทงตัวเองหรือแทงคนข้างกายเมื่อไรก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
ในเมื่อสลัดให้หลุดไม่ได้ หลินเหราจึงตั้งใจจะเก็บมีดนั้นไว้เสียเอง
“เจ้ารู้ทางหรือไม่?” หลินเหรามองไปทางเด็กหนุ่ม สายตานั้นยังคงแฝงไปด้วยความเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง
เสี่ยวเว่ยตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด “รู้ ทำไม? เจ้าอยากให้ข้านำทางเจ้าหรือ?”
หลินเหราไม่ได้พยักหน้า แต่กลับชี้ไปบนท้องฟ้า “เมื่อครู่มัวแต่เล่นอยู่กับเจ้า ท้องฟ้าใกล้มืดลงแล้ว หากหาผู้นำโจรไม่เจอก่อนฟ้ามืด พี่รองจะต้องถูกนำตัวไปยังห้องโถงกลาง กลายเป็นเจ้าสาวเขาแน่นอน”
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เสี่ยวเว่ยชอบเขาแหละเลยหาทางเรียกร้องความสนใจ แต่ความอดทนต่ำก็เลยฆ่าคนไปเยอะ
หาตัวพี่เฉาให้เจอไวๆ กันนะคะ
ไหหม่า(海馬)