ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 164 ที่แท้ก็เจ้าโจรคนนี้นี่เอง!
บทที่ 164 ที่แท้ก็เจ้าโจรคนนี้นี่เอง!
ครั้นเสี่ยวเว่ยมาถึงเรือนเล็ก ก็เห็นหลินเหรารอเขาอยู่แล้ว
เมื่ออีกฝ่ายเห็นเสี่ยวเว่ยพลันเอ่ยถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
เสี่ยวเว่ยแบะปาก แล้วใช้แขนเสื้อทั้งแขนเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าพลางพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แค่เจอปัญหานิดหน่อย”
หลินเหราขมวดคิ้ว “ปัญหานิดหน่อยหรือ? กลิ่นคาวเลือดบนตัวเจ้าคละคลุ้งถึงเพียงนี้ แม้จะห่างกันแค่กำแพงกั้นก็ยังได้กลิ่นเลย”
ไม่ทันรอให้เขาพูดจบก็ถูกเสี่ยวเว่ยตัดบทเสียก่อน “นี่มันกี่ยามแล้ว ยังจะมาสนใจเรื่องเหม็นหรือไม่เหม็นกลิ่นคาวเลือดอยู่อีก? เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าไอ้หัวหน้าโจรคนนี้มันไปหาพี่รองที่นั่นแล้ว!”
สีหน้าของหลินเหราพลันเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่?”
เด็กหนุ่มชำเลืองไปเห็นร่องรอยสีแดงที่แห้งเหือดอยู่บนฝ่ามือของตัวเอง จึงนำมาเช็ดกับเสื้อ จากนั้นก็เดินตามหลินเหราออกไปข้างนอก พลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าบังเอิญไปได้ยินหัวหน้ารองพูดพอดี ข่าวนั้นมาจากปากของเขา ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหกหรอก”
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรให้มากความ วิ่งตรงออกมาจากเรือนเล็กทันที
เสี่ยวเว่ยนำทางไป ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริเวณรอบนอกห้องรับรองที่ขังเหยาเฉาเอาไว้
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องที่ไม่ใหญ่นัก แต่กลับล้อมรอบไปด้วยผู้คนกว่าสิบคน ประตูห้องถูกเปิดทิ้งเอาไว้ หลินเหราสังเกตเห็นว่าภายในห้องยังมีคนยืนอยู่อีกหลายคน
เสี่ยวเว่ยหมอบตัวลง ซ่อนตัวอยู่บนฐานกำแพงที่ไม่ไกลนักถัดจากหลินเหรา จากนั้นก็พึมพำเสียงเบาว่า “ก็บอกว่าหัวหน้าพวกมันระมัดระวังตัวจะตายไป ดูอย่างในค่ายลับแห่งนี้สิยังมีคนเดินวนเวียนอยู่ทั้งภายในและภายนอกเลย รักตัวกลัวตายยิ่งเสียกว่าอะไร….”
ในตอนนั้นเองเขาได้ชำเลืองไปเห็นคนชะโงกหน้าออกมาจากฝั่งขวา จากนั้นก็เดินตรงมายังตำแหน่งที่ทั้งสองคนอยู่
ไม่รอให้เสี่ยวเว่ยตอบสนองอะไร คนผู้นั้นก็เอ่ยปากพูดกับหลินเหราว่า “พี่ใหญ่หลิน! ตอนนี้พี่รองถูกล้อมไว้หมดแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี?”
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดวิตก เห็นได้ชัดว่ากำลังสับสนวุ่นวายใจ
หลินเหรากำลังตัดสินสถานการณ์ที่ดูท่าไม่ดีตรงหน้าในใจ แต่สีหน้ากลับดูปกติ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบกำชับว่า “หากศัตรูไม่เคลื่อนไหว เราก็จะไม่เคลื่อนไหว เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของพี่รองอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอันตรายให้รีบบุกเข้าไปช่วยทันที”
จางเหยียนได้ซ่อนตัวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกนานแล้ว แต่ในเวลาไม่นานก็เห็นคนที่แต่งกายคล้ายกับหัวหน้าโจรพาพวกโจรกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้อง พูดบางอย่างที่ฟังแล้วไม่รื่นหูกับเหยาเฉา หากแต่เขาไม่ได้ยินมันทั้งหมด
มีคนล้อมอยู่ภายนอกเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้จางเหยียนรู้สึกกระวนกระวายใจ กระทั่งพร่ำบ่นไม่หยุดหย่อน
ถ้าบุกเข้าไป เขาจะช่วยออกมาได้อย่างไร? แม้ว่าจะช่วยพี่รองออกมาได้ แต่พวกเขากลับไม่คุ้นเคยค่ายลับแห่งนี้ จะสามารถหนีไปไหนได้
ครั้นพอได้เจอหลินเหรา ราวกับมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างไรอย่างนั้น ความกังวลในใจก็พลันลงลดทันใด
เขาพยักหน้าพร้อมตอบรับ “มีพี่ใหญ่หลินทั้งคน ข้าก็วางใจแล้ว”
การมีตัวตนของเสี่ยวเว่ยนั้นมีอิทธิพลอย่างมาก จางเหยียนอยากจะมองข้ามแต่ก็ทำไม่ได้ จึงจำต้องเอ่ยปากถามออกไปว่า “น้องชายผู้นี้คือ?”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าซีดเซียว ใบหน้าด้านขวายังปรากฏรอยแผล แม้ว่าจะสวมใส่ชุดดำที่สังเกตเห็นได้ยาก แต่กลิ่นคาวเลือดสดที่ลอยคละคลุ้งออกมานั้น ทำให้คิดได้ว่าบนเสื้อผ้าตัวนั้นคงจะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดไม่น้อย
ครั้นสบสายตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยิ่งทำให้สัมผัสถึงความหนาวสะท้านที่แผ่ขยายมาจากร่างกายอีกฝ่าย กระทั่งรู้สึกเหมือนถูกนักล่าจ้องมองจนรู้สึกชาไปทั่วทั้งศีรษะเลยทีเดียว
หลินเหราไม่ได้สนใจข้อพิพาทของทั้งสองคน เพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เสี่ยวเว่ยเป็นสหายของพี่รอง”
ในจวนผู้ตรวจการมีคนรู้จักคนที่ชื่อว่าเสี่ยวเว่ยไม่มากนัก เหยาเฉาตั้งใจปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกใต้ดิน มีเพียงแค่หลินเหราและเซวียชางที่ยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
ครั้นจางเหยียนได้ยินดังนั้นสีหน้าดูปกติ แต่กำลังครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนอยู่เงียบ ๆ
จางเหยียนขึ้นชื่อว่าเป็นคนพูดจาหยาบคาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากล่าวทักทายปราศรัย แค่ยกมือขึ้นมาแสดงความเคารพ “ต้องรบกวนสหายเว่ยที่เข้ามาช่วย ข้าน้อยขอขอบคุณในคุณธรรมอันดีงามของสหายเว่ยแทนพี่รองด้วย”
เด็กหนุ่มแบะปาก จากนั้นก็เมินหน้าไปทางอื่น
แค่เขามีความสัมพันธ์กับพี่รอง ต้องให้คนภายนอกมากล่าวขอบคุณเช่นนี้เลยหรือ?!
ความไม่พอใจของคนตรงหน้า จางเหยียนกลับมองไม่ออก เพียงแค่คิดว่าเสี่ยวเว่ยคงอารมณ์ไม่ดี ไม่ชอบสนใจผู้อื่นก็เลยไม่เข้าใกล้
ก่อนหันไปพูดกับหลินเหราเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ข้าแอบได้ยินบทสนทนาของพวกโจรที่อยู่ข้างนอก คนที่เข้าไปข้างในตอนนี้คือหัวหน้าสูงสุดของพวกเขา บอกว่าคืนนี้จะจัดเลี้ยงอะไรสักอย่าง…”
ข่าวที่ออกมาจากปากของจางเหยียนเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว หลินเหราพยักหน้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา จากนั้นก็เริ่มสังเกตการณ์โจรภูเขาที่อยู่นอกห้องอย่างเงียบ ๆ
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในค่ายลับ ระดับความระมัดระวังของทุกคนจึงไม่สูงนัก สีหน้าก็ดูวางใจลง
ทั้งยังมีบางคนหยอกล้อกันเสียงต่ำ ๆ กระทั่งผลักกันไปมาจนเกิดเสียงดังขึ้น….
ครั้นเห็นท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง จางเหยียนก็ยิ่งร้อนใจพลางพูดกับหลินเหราด้วยเสียงต่ำว่า “พี่ใหญ่หลิน อีกเดี๋ยวท้องฟ้าก็จะมืดลงแล้ว! หากพี่รองถูกพาตัวไปยังห้องโถงด้านหน้า เกรงว่าคงยากที่จะช่วยเขาออกมา”
“ไม่ต้องร้อนใจไป” เสียงของหลินเหรายังคงนิ่งสงบปลอบประโลมความรู้สึกที่ร้อนใจของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี “พี่รองมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง”
จางเหยียนปฏิบัติตามคำสั่งของหลินเหรา แต่เสี่ยวเว่ยกลับไม่ทำ “ไม่ได้! ตอนนี้ต้องหาโอกาสช่วยเหยาเฉาออกมา เรามัวแต่รอบ้าอะไรกันอีก?”
หลินเหราเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พรวดพราดออกไปตอนนี้ ถึงจะช่วยเขาออกมาได้ แต่หลังจากช่วยเสร็จเล่า? แค่พวกเราสี่คนจะฆ่าคนในค่ายลับตีฝ่าวงล้อมออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “ฆ่าตีฝ่าวงล้อมออกมาแล้วอย่างไร? เจ้าต้องการปราบโจร ข้าต้องการช่วยคน ไม่เหมาะสมตรงไหน?”
หลินเหราส่ายหน้าทันควัน “ไม่ได้ พวกโจรล้วนเป็นคนที่ชั่วช้าสามานย์ หากมีคนเล็ดลอดออกไปแค่คนเดียว แล้ววิ่งไปยังภูเขาไป๋หู่ หายนะคงจะตามมาไม่รู้จบ”
ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยแสดงสีหน้าหมดความอดทน “หายนะที่ตามมา อะไร ๆ ก็หายนะที่ตามมา มัวแต่คิดถึงหายนะที่ตามมา! แล้วทำไมไม่มองหายนะที่อยู่ตรงหน้าเล่า? ข้าว่าเจ้ากลัวตายมากกว่า ถึงไม่ยอมเข้าไปช่วยเขาใช่หรือไม่?!”
จางเหยียนเบิกตากว้าง “สหายน้อย เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้? พี่ใหญ่หลินไม่ใช่คนแบบนั้นนะ!”
เสี่ยวเว่ยโกรธจนหน้ามืดตามัว ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมพูดยอมจาเตรียมจะพุ่งตัวออกไป “ไม่ใช่คนแบบไหน? ข้าว่าพวกเจ้าทุกคนขี้ขลาดต่างหาก!”
เมื่อเห็นเขาก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้ว หลินเหราก็คว้าคอเสื้อด้านหลังของเด็กหนุ่มด้วยมือข้างเดียวและกระชากกลับมา
เขาออกตัวรุนแรง ไม่มีทีท่าว่าจะยับยั้งพละกำลังแต่อย่างใด เด็กหนุ่มที่มีรูปร่างเล็กและซูบผอมจึงถูกกดลงบนพื้นอย่างฉับพลัน ต่อให้เขาจะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
เสี่ยวเว่ยโกรธจนเส้นเลือดปูดโปน ลำคอล้วนแดงเถือกไปหมด “ปล่อยข้า เจ้ากลัวก็ช่างสิ แต่มีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้าด้วย?!”
หลินเหรามีสีหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มที่ยังคงดิ้นพล่านไม่มีหยุดด้วยสายตาเย็นชา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “โวยวายพอหรือยัง? อยากให้ข้าจับเจ้ามัดใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเว่ยยื่นมือออกไปจะคว้ากริชที่อยู่บนเอวด้านหลังออกมา แต่กลับถูกหลินเหราที่มือไวกว่ากดไว้ได้ ก็พลันร้อนใจขึ้นทันใด “ไอ้สวะ! ไอ้ขี้ขลาด! พี่รองช่างตาบอดยิ่งนัก ที่ยอมรับคนอย่างเจ้าเป็นพี่น้อง!”
การก่อความวุ่นวายของเด็กหนุ่มไม่เล็กเลย จางเหยียนจึงต้องมองออกไปข้างนอกด้วยความเป็นกังวลครู่หนึ่ง ครั้นเห็นพวกโจรยังไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจพวกเขาทางนี้ จึงได้วางใจลงเล็กน้อย
เขายังคงลังเล จึงมองไปยังเสี่ยวเว่ยที่แสดงท่าทางดุร้ายแต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของหลินเหราได้ ก่อนช่วยพูดแก้ให้ว่า “พี่ใหญ่หลินเป็นน้องเขยของพี่รอง ไม่ใช่พี่น้อง”
เสี่ยวเว่ยหันไปตะโกนเสียงต่ำ “ข้ารู้แล้ว!”
คราวนี้ได้สร้างความตื่นตกใจให้คนที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุด
โจรภูเขาคนนั้นเอ่ยด้วยความระแวดระวัง “ใครกัน?”
เสี่ยวเว่ยตัวแข็งทื่อไปในทันที ไม่กล้าขยับตัวอีก
หลินเหรามองไปทางเด็กหนุ่มราวกับต้องการเตือนสติชั่วครู่ จากนั้นก็ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ชักมีดสั้นออกมาจากเอวเตรียมต่อสู้
ทันใดนั้นก็ได้ยินความไม่พอใจในน้ำเสียงของอีกคน “ไอ้หน้าขน อย่าหวาดระแวงเกินไปสิ คราวที่แล้วก็เป็นเจ้า เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็ตื่นตกใจเสียยกใหญ่ เล่าเอาเหล่าสหายพากันตะเกียกตะกายลุกขึ้นมากลางดึก หาเงาดำอะไรไม่รู้กันให้วุ่น…”
คนที่เอ่ยในตอนแรกได้ทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง “ก็คืนนั้นข้าเห็นคนจริง ๆ นี่!”
“คงไม่ใช่เพราะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเจอผีหรอกนะ! เหล่าพวกพ้องเสาะกันทั่วพื้นที่แล้ว ไม่ยักจะเจอใครเลย?”
ได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวเว่ยได้แต่ด่าอยู่เงียบ ๆ ในใจ
เขาได้ยินว่าเหยาเฉาและคนอื่นต้องการปราบโจรบนภูเขาเฮยหู่ เมื่อหลายวันก่อนจึงแอบย่องขึ้นมาบนภูเขาเฮยหู่ในเวลากลางคืนอย่างเงียบ ๆ คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนเห็น ทั้งยังตะโกนเสียเสียงดัง เล่นเอาเขาต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ครึ่งค่อนคืน
ที่แท้ก็เจ้าโจรคนนี้นี่เอง!
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อย่าเพิ่งใจร้อนเข้าไป เดี๋ยวเสียแผนหมดแล้วตายหมู่นะ
ไหหม่า(海馬)