ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 165 รองหัวหน้าเป็นอะไร!
บทที่ 165 รองหัวหน้าเป็นอะไร?!
ชายผู้นั้นยังพูดขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเคลื่อนไหว…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ถูกรัดคอ จากนั้นก็ถูกสหายฟาดลงมากลางศีรษะสองครั้ง “พอกันที! แค่แมวป่าในค่ายลับก็ทำให้เจ้าหวาดกลัว ต้องฝึกความกล้าหาญของเจ้าสักหน่อยแล้ว!”
ขณะพูด ผู้เป็นสหายก็กระชากคนผู้นั้นออกมาด้วยมือข้างเดียว ทั้งยังลงมือเบา ๆ อย่างต่อเนื่อง ก่อกวนเขาจนต้องโต้กลับ
ครั้นคนที่ระแวดระวังเพียงคนเดียวจากไป เสี่ยวเว่ยและจางเหยียนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกัน
ขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับ หลินเหราไม่มีทางปล่อยให้เสี่ยวเว่ยก่อความวุ่นวายอย่างแน่นอน เมื่อวิกฤตผ่านพ้นไปเขาจึงเอ่ยเตือนเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขืนยังขยับอีก ข้าจะบีบคอเจ้าซะ”
แม้ว่าประโยคนี้จะพูดกับเสี่ยวเว่ย แต่จางเหยียนกลับอดรู้สึกหนาวสะท้านไม่ได้ แม้แต่ตนเองก็ยังหดตัวให้เล็กลง
เดิมทีแล้วหลินเหรามักจะเย็นชาเป็นปกติ แต่กลับไม่เคยลงมือกับเหล่าสหายจริง ๆ เลยสักคนเดียว นิสัยใจคอของอีกฝ่ายดูรุนแรงขึ้นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เขาควรจะหลบเลี่ยงน่าจะดีกว่า….
เสี่ยวเว่ยรู้ว่าตัวเองนั้นไร้เหตุผล แถมในใจก็ยังสับสนวุ่นวาย จึงพูดจาดี ๆ ไม่ได้นอกจากต่อปากต่อคำกับหลินเหรา “ก็บีบเลยสิ ถ้าบีบคอข้าให้ตายไม่ได้ ข้าก็จะพูดต่อไปไม่มีวันจบ!”
หลินเหรามีสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปทำท่าทางจะบีบคอเขาจริง ๆ แต่กลับถูกจางเหยียนห้ามเอาไว้
เขาพยายามโน้มน้าวว่า “พี่ใหญ่หลิน เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ส่วนรวมเถอะ! สหายเว่ยอายุยังน้อย ท่านอย่าถือสาอะไรกับเขาเลย!
เสี่ยวเว่ยหัวเราะเย็นชาออกมา “ใครอายุน้อยไม่ทราบ? ข้าอยากช่วยคน มันผิดหรือไง?”
จางเหยียนรีบหันหน้าไปโน้มน้าวอีกฝ่ายทันที “ไม่ผิด ไม่ผิด! ความหมายของนายกองหลินก็คือ จะช่วยคนก็ต้องดูโอกาส….”
มือขวาของหลินเหราถูกจางเหยียนจับไว้แน่น แม้ว่าเขาจะไม่ดึงกลับไป แต่สีหน้ากลับเย็นชาลง พร้อมกับพูดกับเด็กหนุ่มว่า “ข้าว่าเจ้าคงลืมบทเรียนเมื่อครู่ไปแล้ว”
เมื่อสบตาของหลินเหรา เสี่ยวเว่ยก็พลันรู้สึกขนลุกซู่เล็กน้อย
ครั้นนึกถึงช่วงเวลาที่ถูกหลินเหราจัดการอย่างโหดเหี้ยมนั้น เขาพลันเงียบปากลง
จางเหยียนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะมีช่วงเวลาที่ต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อน แต่เพื่อส่วนรวม เขายังพยายามโน้มน้าวคนนี้ทีคนนั้นทีไม่ยอมหยุด “สหายเว่ย พี่ใหญ่หลินก็มีนิสัยเช่นนี้แหละ เราต่างก็อยากช่วยพี่รองออกมา เจ้าเชื่อฟังเขาสักครั้งเถอะ!”
เสี่ยวเว่ยส่งเสียง ‘หึ’ อย่างเย็นชาออกมาโดยไม่พูดสิ่งใด
เมื่อเห็นมือขวาของหลินเหราอ่อนกำลังลง จางเหยียนที่มือกำลังสั่นระริก ก็ลองปล่อยมือเขา
หนึ่งในสองคนนี้ คนหนึ่งดูเย็นชากว่าอีกคนหนึ่ง จางเหยียนรีบคว้าจังหวะนี้เอ่ยร้องทุกข์ทันที ไม่รู้ว่าหลินเหราไปเจอสหายเว่ยจากที่ใด แล้วเป็นสหายของพี่รองเหยาจริง ๆ หรือไม่?
นิสัยนี้ดูท่าจะเหมือนกับหลินเหรา…
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวมายังทิศตะวันตก อีกไม่นานตะวันก็จะลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเว่ยรู้สึกร้อนใจอยู่เงียบ ๆ แม้แต่จางเหยียนที่ปกติมักจะมีความอดทนค่อนข้างดี ก็ล้วนทนไม่ไหว
เขาเคลื่อนขาซ้ายและขยับขาขวา เพราะรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างชาจนไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว กระทั่งชำเลืองไปเห็นหลินเหราที่ดูมุ่งมั่น แม้แต่ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยก็ยังมีสีหน้าที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ จึงทำได้แค่ยิ้มและรอต่อไป
ทันใดนั้น หลินเหราก็ขยับตัวและเอ่ยเตือนทั้งสองคนด้วยเสียงเบา “มีคนออกมาแล้ว”
เสี่ยวเว่ยพลันหูผึ่งทันที จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังลานบ้าน “พี่รอง!”
ครั้นเห็นสีหน้าที่แดงก่ำ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย แต่ต่อจากนั้นกลับต้องหม่นหมองลง จากนั้นก็กัดฟันกรอดพลางพูดว่า “ทำไมพี่รองถึงถูกกอดเช่นนั้น? ไอ้สวะนั่น!”
จางเหยียนจึงรีบกดเด็กหนุ่มที่กำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “โอบที่ไหนกัน? เจ้าตาฝาดแล้ว! แค่ใกล้กันเล็กน้อย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย? สหายเว่ยใจเย็น ใจเย็น!”
เหยาเฉายังแต่งกายด้วยชุดแต่งงานสีแดงอันแสนรุ่มร่าม มุมปากแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ อิริยาบถไม่ต่างจากสตรีทั่วไป เพียงแต่ผู้นำโจรภูเขาเฮยหู่ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้น มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหัวหน้ารอง ซึ่งทั้งสองคนต่างก็มีใบหน้าเอิบอิ่ม แต่ในตอนนั้นกลับไม่รู้ว่าเหยาเฉาพูดสิ่งใดกับเขาถึงได้มีท่าทางระแวดระวัง
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นคิดจะวางมือลงบนเอวของเหยาเฉา แต่กลับคำนึงถึงบางอย่างจึงไม่กล้า
เสี่ยวเว่ยพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “อะไรคือใกล้กันแค่นั้นไม่เห็นจะเป็นอะไร? ถ้าถูกจับได้ว่าพี่รองมีฐานะเป็นบุรุษ เขาจะทำอย่างไรเล่า?!”
หลินเหรารู้จักนิสัยฉุนเฉียวของเด็กหนุ่มมานานแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของเขา จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจแค่เอ่ยถามมาประโยคหนึ่งว่า “เสี่ยวเว่ยมีวิธีการทำให้พี่รองรู้ถึงการมีตัวตนของเราภายใต้สถานการณ์ที่พวกโจรไม่ตื่นตระหนกใช่หรือไม่?”
จางเหยียนคิดจะพูดว่ามันยากเกินไป แต่กลับเห็นเสี่ยวเว่ยพยักหน้า
เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าซ่อนตัวไปก่อน ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็หมอบคลานเข้าไปอีกด้าน พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
จางเหยียนอดพูดขึ้นอย่างเป็นกังไวลไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่หลิน แบบนี้มันอันตรายเกินไป …. สหายเว่ยเขา… เขาจะทำอย่างไร?”
หลินเหราส่ายหน้า “เขามีหนทางของตัวเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก”
เมื่อสิ้นสุดเสียงลงกลับได้ยินเสียงแมวร้อง ‘เหมียว เหมียว’ ดังโหยหวนขึ้น พาให้จางเหยียนตื่นตระหนกฉับพลัน
แต่กลับเห็นเหยาเฉาที่เดินอยู่เบื้องหน้าตะลึงงันไปชั่วขณะ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
สายตาของหัวหน้าโจรผู้นั้นจ้องมองมายังเหยาเฉาตลอดเวลา ครั้นเห็นดังนั้นจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “แม่นางเหยา แมวป่าทำเจ้าตกใจงั้นหรือ?”
เหยาเฉาได้สติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แสดงท่าทางคล้ายกับตื่นกลัวจริง ๆ พร้อมกับถอยหลังไปครึ่งก้าว จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกไว้
เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ข้ากลัวแมวมาตั้งแต่เด็ก…”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องของ ‘แมวป่า’ ดังขึ้นอีกสามครั้ง เหยาเฉาถึงกับก้าวไม่ออก
หัวหน้าโจรจึงหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า แม่นางเหยาไม่ต้องกลัวไปหรอก แมวป่าก็ใช่ว่าจะไร้สมอง ไฉนเลยจะกล้าบุกเข้ามาหาเจ้า?”
ใบหน้าของเหยาเฉาเผยสีหน้าลำบากใจ กระทั่งมองไปยังหัวหน้าใหญ่ที่มีใบหน้าเอิบอิ่มผู้นั้น พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “แม้จะบอกว่าแมวไม่มีทางปรากฏกายตรงหน้ามนุษย์ได้โดยง่าย แต่เสียงร้องของแมวที่ข้าได้ยินเมื่อครู่นั้นมันโหยหวนมากจริง ๆ หากเป็นแมวที่กำลังคลุ้มคลั่ง ก็ไม่แน่เสมอไป”
หัวหน้าโจรดูเหมือนจะหลงใหลในท่าทางหวาดกลัวของหญิงงามยิ่งนัก จึงไม่ได้มีทีท่าจะหมดความอดทนต่อความกังวลของ ‘แม่นางเหยา’ เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับหยุดก้าวไปพร้อมกับนาง จากนั้นก็หันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างกายว่า “อาต้า เจ้าพาสหายสี่ถึงห้าคนไปหามันสิ ถ้าเห็นเดรัจฉานตัวนั้น ก็รีบจัดการมันซะ!”
โจรภูเขาที่มีรูปร่างสูงใหญ่ที่เดินตามหัวหน้าของมันมาโดยตลอดตอบรับ จากนั้นก็พาลูกน้องสองสามคนไปยังทิศทางของเสียงแมวตัวนั้นอย่างที่คิดไว้
ในตอนที่เสียงแมวดังขึ้นนั้น เหยาเฉาเดาได้ว่าจะต้องเป็นเสี่ยวเว่ยที่เล่นพิเรนทร์เป็นแน่
แต่ต่อมากลับได้ยินเสียงแมวร้องขึ้นอีกสามครั้ง จึงคาดเดาอยู่ในใจว่า บางทีเขาและหลินเหราอาจจะพบกันแล้ว ตอนนี้มีคนซ่อนตัวอยู่ในที่มืดสามคน
เขาสามารถแยกลูกน้องสองสามคนออกไปได้สำเร็จ จากนั้นก็ทำการคำนวณลูกน้องที่อยู่ข้างกายหัวหน้าพวกมันอย่างเงียบ ๆ คิดว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องสู้กัน จึงคลี่ยิ้มบางออกมา พร้อมกับพูดกับหัวหน้าโจรเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณท่านวีรบุรุษที่เข้าใจ”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าเอิบอิ่มยิ้มกว้างอีกครั้ง พลางแกล้งพูดอย่างเอาอกเอาใจ “สิ่งที่แม่นางเหยากลัว จะต้องไม่มีตัวตนอีกแน่นอน!”
หลังจากที่เสี่ยวเว่ยเลียนแบบเสียงแมวเสร็จแล้ว ก็แทรกตัวกลับมาข้างกายหลินเหราอีกครั้ง ครั้นเห็นเหยาเฉากำลังเสแสร้งนอบน้อมคล้อยตามโจรภูเขา ก็ได้แต่อดกลั้นข่มโทสะไว้
จางเหยียนตะลึงงัน พร้อมทั้งเอ่ยถามอย่างคนโง่เขลาประโยคหนึ่งว่า “สหายเว่ย แมวเมื่อครู่เป็นเจ้างั้นหรือ?”
เดิมทีในใจของเสี่ยวเว่ยมีความขุ่นเคืองอยู่แล้ว ในตอนนี้เขาก็ได้ค้นพบวิธีระบายอารมณ์ จึงพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “แมวเมื่อครู่อะไร พูดไม่รู้เรื่องก็เงียบปากไปเถอะ!”
จางเหยียนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพลั้งปากออกไป จึงยิ้มอย่างอึดอัดใจโดยไม่พูดสิ่งใดอีก
หลินเหราเฝ้าสังเกตสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ตลอด ครั้นเห็นผู้นำโจรภูเขาเหลือลูกน้องข้างกายแค่ห้าคน จึงรู้ได้ในทันทีว่าเวลานี้แหละคือโอกาสในการลงมือ
เขารีบพูดกับเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วว่า “โจรภูเขาไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน คิดหาทางวิ่งไปตรงหน้าของหัวหน้าพวกมันให้ได้ จากนั้นก็ดึงความสนใจของเขาไว้”
พูดจบ หลินเหราก็พูดกับจางเหยียนว่า “ระหว่างที่ข้าสู้กับผู้นำโจรคนนั้น เจ้าต้องเฝ้าพี่รองไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเขาให้ได้”
จางเหยียนบีบรัดหัวใจและความรู้สึก พลางตอบรับกลับไป “รับทราบ!”
เสี่ยวเว่ยเช็ดเหงื่อในฝ่ามือบนเสื้อผ้า จากนั้นก็วิ่งไปยังโจรภูเขาเหล่านั้น
เด็กหนุ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นตื่นตระหนกทันที จากนั้นก็วิ่งร้องตะโกนเสียงดังไปออกไป “หัวหน้า หัวหน้า! แย่แล้ว หัวหน้ารอง หัวหน้ารองเขา เขา….!”
หัวหน้าใหญ่และหัวหน้ารองเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เมื่อเห็นเสี่ยวเว่ยที่มีใบหน้าซีดเซียววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา แม้ว่าจะยังพูดไม่จบแต่ก็รู้ทันทีว่าน้องชายของตัวเองต้องเกิดเรื่องแล้ว
เขาจึงรีบถามทันที “หัวหน้ารองเป็นอะไร? เจ้าพูดดี ๆ นะ!”
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จะล่อโจรออกไปเพื่อช่วยพี่เฉาได้ไหมนะ ลุ้นๆ
ไหหม่า(海馬)